Shopping cart






ไม่ต้องลุ้น! ‘AI ตาทิพย์’ ชี้เป้าจุดน้ำท่วม


ไม่ต้องลุ้น! ‘AI ตาทิพย์’ ชี้เป้าจุดน้ำท่วม

สารบัญ

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ภัยธรรมชาติมีความรุนแรงและคาดเดายากขึ้น ปัญหาน้ำท่วมจึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การพึ่งพาระบบเตือนภัยแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังในการรับมือกับปัญหานี้

  • เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลและพยากรณ์สถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
  • ระบบ AI สามารถแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้าได้นานถึง 7 วัน ช่วยให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลาเตรียมความพร้อม
  • การแสดงผลข้อมูลผ่านแผนที่แบบเรียลไทม์ที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินความเสี่ยงและวางแผนเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เทคโนโลยีนี้เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อสร้างความปลอดภัยและความยั่งยืนในระยะยาว

ภาพรวมของเทคโนโลยีพยากรณ์น้ำท่วมด้วยปัญญาประดิษฐ์

สถานการณ์น้ำท่วมในเขตเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจอย่างกว้างขวาง การมีระบบที่สามารถชี้เป้าจุดเสี่ยงน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำและทันท่วงทีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แนวคิดเรื่อง ไม่ต้องลุ้น! ‘AI ตาทิพย์’ ชี้เป้าจุดน้ำท่วม ได้กลายเป็นจริงขึ้นมาด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนดวงตาที่มองเห็นอนาคต สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อคาดการณ์พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมล่วงหน้าได้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางและป้องกันทรัพย์สินได้ทันท่วงที แต่ยังสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐในการวางแผนการระบายน้ำและการให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

เทคโนโลยี AI สำหรับการพยากรณ์น้ำท่วมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับแนวคิด แต่มีการพัฒนาและใช้งานจริงแล้วในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือระบบ Flood Hub ของ Google ซึ่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม ระดับน้ำในแม่น้ำลำคลอง และแบบจำลองสภาพภูมิประเทศ เพื่อสร้างการคาดการณ์ที่มีความแม่นยำสูง บทบาทของ AI ในบริบทนี้จึงเป็นการปฏิวัติวิธีการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเปลี่ยนจากการตั้งรับเมื่อเกิดเหตุการณ์ ไปสู่การป้องกันและเตรียมความพร้อมเชิงรุก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลดความสูญเสียทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

ทำความรู้จัก ‘AI ตาทิพย์’: เทคโนโลยีเบื้องหลังการพยากรณ์

คำว่า ‘AI ตาทิพย์’ เป็นการเปรียบเปรยถึงความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถ “มองเห็น” หรือคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่มนุษย์ไม่สามารถประมวลผลได้ในเวลาอันสั้น ในบริบทของการจัดการน้ำท่วม เทคโนโลยีนี้คือระบบพยากรณ์อัจฉริยะที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของการเตือนภัยแบบเดิมๆ

หัวใจสำคัญของระบบ AI เตือนน้ำท่วมคือการผสานแบบจำลองทางอุทกวิทยา (Hydrological Models) และแบบจำลองการเกิดน้ำท่วม (Inundation Models) เข้าด้วยกัน เพื่อคาดการณ์ทั้งปริมาณน้ำที่จะเกิดขึ้นและพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบอย่างละเอียด

นิยามและความสามารถของระบบเตือนภัยน้ำท่วมอัจฉริยะ

ระบบเตือนภัยน้ำท่วมอัจฉริยะ หรือ AI Flood Warning System คือ แพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลตามเวลาจริงจากหลากหลายแหล่ง เพื่อสร้างแบบจำลองการคาดการณ์น้ำท่วมที่มีความแม่นยำสูง ความสามารถหลักของระบบเหล่านี้ประกอบด้วย:

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: AI สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ปริมาณน้ำฝนสะสม ความชื้นในดิน อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำ และสภาพภูมิประเทศ เพื่อประเมินความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุม
  • การพยากรณ์เชิงพื้นที่และเวลา: ระบบสามารถระบุได้ว่าพื้นที่ใดจะเกิดน้ำท่วม จะเริ่มท่วมเมื่อใด และคาดว่าระดับน้ำจะลึกเท่าใด ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนรับมือ
  • การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: แบบจำลอง AI สามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นจริงในอดีต เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของการพยากรณ์ในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น

Google Flood Hub: ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม

Google Flood Hub คือหนึ่งในแพลตฟอร์มชั้นนำที่นำแนวคิด ‘AI ตาทิพย์’ มาทำให้เกิดขึ้นจริงและพร้อมใช้งานสำหรับสาธารณะ ระบบนี้ให้บริการครอบคลุมกว่า 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ เข้าถึงข้อมูลการเตือนภัยน้ำท่วมได้อย่างง่ายดายและทันท่วงที แพลตฟอร์มนี้เป็นผลจากการผสมผสานเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ากับข้อมูลสาธารณะและข้อมูลจากดาวเทียม ทำให้สามารถสร้างการคาดการณ์ที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในภาวะวิกฤต

กลไกการทำงาน: การผสมผสานข้อมูลและแบบจำลองขั้นสูง

เบื้องหลังความแม่นยำของระบบอย่าง Flood Hub คือกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก:

  1. ข้อมูลการพยากรณ์อากาศ: ระบบดึงข้อมูลพยากรณ์อากาศล่าสุด เช่น ปริมาณฝนที่คาดการณ์ อุณหภูมิ และทิศทางลม จากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาทั่วโลก
  2. ข้อมูลจากดาวเทียม: ภาพถ่ายดาวเทียมให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ ความหนาแน่นของพืชพรรณ และระดับน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่
  3. ข้อมูลสาธารณะ: ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น ระดับน้ำในแม่น้ำและเขื่อน จะถูกนำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์

จากนั้น AI จะนำข้อมูลทั้งหมดนี้มาประมวลผลผ่านแบบจำลองสองประเภทหลัก:

  • แบบจำลองอุทกวิทยา (Hydrological Model): ใช้คาดการณ์ปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง โดยพิจารณาจากปริมาณน้ำฝนและสภาพพื้นที่รับน้ำ
  • แบบจำลองน้ำท่วม (Inundation Model): เมื่อทราบปริมาณน้ำแล้ว แบบจำลองนี้จะคาดการณ์ว่าน้ำจะไหลเอ่อล้นไปยังพื้นที่ใดบ้าง และระดับความลึกของน้ำท่วมในแต่ละจุดจะเป็นเท่าใด

ผลลัพธ์สุดท้ายคือแผนที่พยากรณ์น้ำท่วมที่แสดงพื้นที่เสี่ยงและระดับความรุนแรง ซึ่งจะถูกอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ข้อมูลมีความทันสมัยและพร้อมใช้ในการตัดสินใจอยู่เสมอ

ศักยภาพและคุณสมบัติเด่นของระบบ AI เตือนน้ำท่วม

ศักยภาพและคุณสมบัติเด่นของระบบ AI เตือนน้ำท่วม

ระบบพยากรณ์น้ำท่วมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นเครื่องมือที่มีคุณสมบัติโดดเด่นหลายประการ ซึ่งช่วยยกระดับการจัดการภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคยเป็นมา

การพยากรณ์ล่วงหน้า 7 วัน: เพิ่มเวลาในการเตรียมตัว

หนึ่งในความสามารถที่สำคัญที่สุดของระบบ AI อย่าง Flood Hub คือการพยากรณ์สถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าได้นานถึง 7 วัน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการรับมือกับภัยพิบัติ การมีเวลาเตรียมตัวที่นานขึ้นนี้ส่งผลดีในหลายมิติ:

  • ประชาชน: มีเวลาเพียงพอในการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินมีค่าขึ้นที่สูง เตรียมเสบียงอาหารและน้ำดื่มที่จำเป็น หรือวางแผนอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากจำเป็น
  • ภาคธุรกิจ: สามารถวางแผนป้องกันสถานประกอบการ ขนย้ายสินค้าคงคลัง และวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
  • เกษตรกร: สามารถวางแผนเก็บเกี่ยวผลผลิตล่วงหน้าหรือป้องกันพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อลดความเสียหาย

แผนที่แสดงผลเรียลไทม์พร้อมระดับความเสี่ยง

การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ระบบ AI เตือนน้ำท่วมจึงมักแสดงผลผ่านแผนที่ดิจิทัลแบบอินเทอร์แอคทีฟ ผู้ใช้เพียงแค่ระบุตำแหน่งที่สนใจ ก็จะเห็นพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วมปรากฏขึ้นบนแผนที่ พร้อมทั้งมีการแบ่งระดับความอันตรายด้วยรหัสสีที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

ตารางแสดงระดับความเสี่ยงน้ำท่วมตามรหัสสีในระบบพยากรณ์ AI
รหัสสี ระดับความเสี่ยง คำอธิบายและแนวทางปฏิบัติ
สีเขียว ปกติ สถานการณ์น้ำอยู่ในระดับปกติ ไม่มีความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่
สีเหลือง มีความเสี่ยงต่ำ มีโอกาสเกิดน้ำท่วมในระดับต่ำ ควรติดตามสถานการณ์และข่าวสารอย่างใกล้ชิด
สีส้ม มีความเสี่ยงปานกลาง มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดน้ำท่วม ควรเตรียมความพร้อมในการป้องกันทรัพย์สิน
สีแดง มีความเสี่ยงสูง คาดว่าจะเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ ควรเตรียมพร้อมอพยพหากได้รับการแจ้งเตือนจากทางการ
สีแดงเข้ม มีความเสี่ยงรุนแรง สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ควรปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
สีเทา ไม่มีข้อมูล พื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลการพยากรณ์ที่ครอบคลุมในขณะนั้น

การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายและสะดวกผ่านแพลตฟอร์มที่คุ้นเคย

อุปสรรคสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงกว้างคือความซับซ้อนในการเข้าถึง แต่ระบบอย่าง Google Flood Hub ได้แก้ไขปัญหานี้โดยการบูรณาการข้อมูลเข้ากับแพลตฟอร์มที่ผู้คนใช้งานเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น Google Search และ Google Maps ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลเตือนภัยได้โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม เพียงแค่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมในพื้นที่ของตนเอง ระบบก็จะแสดงการแจ้งเตือนและแผนที่ความเสี่ยงขึ้นมาทันที ซึ่งช่วยลดช่องว่างทางดิจิทัลและทำให้ข้อมูลสำคัญกระจายไปสู่ผู้คนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

บทบาทของ AI ในการปฏิวัติการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วม

การนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในระบบเตือนภัยน้ำท่วมได้สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับการบริหารจัดการเมืองและประเทศ

สำหรับภาคประชาชน: เครื่องมือป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน

สำหรับประชาชนทั่วไป เทคโนโลยี AI เตือนน้ำท่วมเปรียบเสมือนเครื่องมือเสริมสร้างความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ทรงพลัง การได้รับข้อมูลเตือนภัยล่วงหน้าที่แม่นยำช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจว่าจะเดินทางไปทำงานในเส้นทางใดเพื่อหลีกเลี่ยงจุดน้ำท่วมขัง หรือการตัดสินใจว่าจะต้องเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมที่บ้านอย่างไร สิ่งนี้นำไปสู่การลดความเสียหายต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และที่อยู่อาศัย ที่สำคัญที่สุดคือการช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องการเวลาในการเคลื่อนย้ายมากกว่าคนทั่วไป

สำหรับหน่วยงานภาครัฐ: เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

ในมุมมองของหน่วยงานภาครัฐและทีมกู้ภัย ข้อมูลจากระบบพยากรณ์ AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Tool) ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่และระดับความรุนแรงของน้ำท่วมที่คาดการณ์ไว้ ช่วยให้หน่วยงานต่างๆ สามารถ:

  • วางแผนจัดสรรทรัพยากร: สามารถส่งเจ้าหน้าที่ เครื่องสูบน้ำ และอุปกรณ์ช่วยเหลือไปยังพื้นที่เสี่ยงสูงได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที
  • บริหารจัดการการระบายน้ำ: หน่วยงานที่ดูแลระบบระบายน้ำ เช่น สำนักการระบายน้ำ กทม. สามารถใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนเปิด-ปิดประตูระบายน้ำและพร่องน้ำในคลองล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
  • วางแผนเส้นทางอพยพ: สามารถกำหนดและประกาศเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยและจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวได้อย่างเหมาะสม
  • สื่อสารกับประชาชน: สามารถแจ้งเตือนและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความตื่นตระหนกและสร้างความร่วมมือในการรับมือสถานการณ์

การบูรณาการสู่แนวคิด Smart City เพื่อเมืองที่ยั่งยืน

ระบบพยากรณ์น้ำท่วมด้วย AI ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างเมืองที่สามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน การมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐาน (Resilient Infrastructure) ทำให้เมืองสามารถฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้จากระบบยังสามารถนำไปใช้ในการวางผังเมืองระยะยาว เช่น การกำหนดพื้นที่ที่ไม่ควรมีการก่อสร้าง หรือการออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมในอนาคตให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้างเมืองที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคน

ความท้าทายและแนวโน้มในอนาคต

แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายบางประการที่ต้องพิจารณา เช่น ความแม่นยำของข้อมูลนำเข้า (Input Data) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความถูกต้องของการพยากรณ์ การเข้าถึงเทคโนโลยีของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่อาจมีข้อจำกัดด้านอินเทอร์เน็ต และความสามารถของแบบจำลองในการรับมือกับสถานการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงผิดปกติและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความละเอียดของแบบจำลองให้สามารถพยากรณ์ได้ในระดับถนนหรือชุมชนย่อยๆ การบูรณาการข้อมูลจากเซ็นเซอร์ IoT (Internet of Things) ที่ติดตั้งตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองเพื่อเพิ่มความแม่นยำแบบเรียลไทม์ และการใช้ AI เพื่อช่วยวางแผนการป้องกันในระยะยาว ซึ่งจะทำให้การจัดการน้ำท่วมมีความชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

บทสรุป: อนาคตของการรับมือน้ำท่วมในยุคดิจิทัล

เทคโนโลยี ‘AI ตาทิพย์’ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ต้องรอให้ฝนตกหนักแล้วจึงเริ่มประเมินสถานการณ์ ปัจจุบันเราสามารถมองเห็นความเสี่ยงล่วงหน้าได้หลายวันด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้น ระบบอย่าง Google Flood Hub และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนและแปลงให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง

การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการรับมือเชิงรับไปสู่การเตรียมความพร้อมเชิงรุกนี้ คือกุญแจสำคัญในการลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การบูรณาการเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับการทำงานของภาครัฐ การวางแผนของภาคธุรกิจ และการเตรียมตัวของภาคประชาชน จะช่วยสร้างสังคมที่พร้อมรับมือและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ดียิ่งขึ้น การติดตามและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างความปลอดภัยให้แก่ตนเองและชุมชนในยุคที่ภัยธรรมชาตินับวันจะทวีความรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930