ประโยชน์จากอะโวคาโดมีมากมาย เป็นแหล่งพลังงานของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือที่เรียกว่า “ไขมันดี” ซึ่งถือเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี จึงทำให้ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อีกทั้งอะโวคาโดยังเป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต แถมยังสามารถกินได้หลายรูปแบบ หลากหลายเมนู หากคุณกำลังคิดอยากลองกินอะโวคาโดก็มาดูกันก่อนดีกว่าว่า อะโวคาโดมีประโยชน์อะไรบ้าง
10 ประโยชน์จากอะโวคาโด แหล่งไขมันดี
- ช่วยลดน้ำหนัก อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง แต่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลในปริมาณต่ำ มีกรดโอเลอิกที่ช่วยกระตุ้นสมองให้อิ่มเร็ว ไม่หิวบ่อย อีกทั้งยังช่วยลดไขมันไม่ดีในเลือดให้ลดลง จึงส่งผลให้น้ำหนักลงได้
- โปรตีนสูง โปรตีนในอะโวคาโดนั้นเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีจึงไม่ทำให้ท้องผูก จึงเกี่ยวโยงกับการช่วยลดน้ำหนัก
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ หากรับประทานอะโวคาโดอย่างเป็นประจำ ก็จะช่วยลดไขมันที่ไม่ดี และคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งช่วยให้ไม่เกิดไขมันสะสมในเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และหัวใจตีบ
- ช่วยลดน้ำตาล อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ การรับประทานช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ป้องกันโรคปากนกกระจอก และลดอาการเหน็บชา อะโวคาโดนั้นมีวิตามินบี ที่ช่วยลดการอักเสบให้กับร่างกายทั้งภายนอกและภายใน การทานอะโวคาโดเป็นประจำ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคปากนกกระจอก และลดอาการเหน็บชาได้
- บำรุงสายตา อะโวคาโดจะมีวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงสายตาให้สุขภาพตาดี
- ต้านสารอนุมูลอิสระ ในอะโวคาโดนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นตัวช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งภายในและภายนอก
- ป้องกันหวัด อะโวคาโดมีวิตามินซี ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เมื่อร่างกายแข็งแรงก็ลดโอกาสการเป็นหวัดได้มาก
- คงความเยาว์วัย ในยุคสมัยนี้ อะโวคาโดถูกนำมาพัฒนาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณมากมาย เพราะมีการค้นพบว่า อะโวคาโดสามารถช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย
- บำรุงผิวและเส้นผม อะโวคาโดมีไขมันดีที่สามารถสกัดออกมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและผิวพรรณได้ โดยมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผมและผิว
5 สายพันธุ์อะโวคาโดที่ควรลอง!
อะโวคาโดหรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ลูกเนย ด้วยรสชาติที่มีความมัน และเนื้อสัมผัสที่มีความเหมือนครีมคล้ายกับเนยนั่นเอง ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นอะโวคาโดเหมือนกัน แต่รสชาติและเนื้อสัมผัสของอะโวคาโดแต่ละพันธุ์ก็แตกต่างกันออกไป มาทำความรู้จักกับอะโวคาโดแต่ละสายพันธุ์ว่าอโวคาโดพันธุ์ไหนอร่อยที่สุดเพื่อที่จะได้เลือกซื้อกินให้อร่อยถูกปากก็มาติดตามดูกันเลย
-
อะโวคาโดพันธุ์บูธ 7 (Booth 7)
อะโวคาโดพันธุ์บูธ 7 (Booth 7) เป็นอะโวคาโดลูกผสมระหว่างพันธุ์ Guatemalan และ West Indian ผลนั้นจะลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดเล็กถึงปานกลาง ผิวมีสีเขียวค่อนข้างเนียน เนื้อนุ่มหนึบ ออกสีเหลือง รสชาติมัน ออกครีมมี่ ไม่หวาน รสชาติอร่อย กินง่าย สำหรับในประเทศไทยมีการปลูกอะโวคาโดสายพันธุ์นี้อยู่ด้วย ทำให้สามารถหาซื้อได้ง่าย แถมยังมีราคาที่ถูกอีกด้วย
- อะโวคาโดพันธุ์บูธ 8 (Booth 8)
อะโวคาโดพันธุ์บูธ 8 (Booth 8) มีถิ่นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา มีขนาดไม่ใหญ่ ลักษณะผลเป็นรูปไข่ เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม เมื่อสุกเนื้อจะมีสีเขียวเหลือง เนื้อสัมผัสมีความหนึบ และครีมมี่ เปลือกหนาและขรุขระ อะโวคาโดพันธุ์บูธ 8 (Booth 8) พอหาซื้อในไทยได้ แต่ค่อนข้างหายากเพราะไม่ค่อยนิยมปลูก
-
อะโวคาโดพันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson)
อะโวคาโดพันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson) มีลักษณะกลม ขนาดเล็กจนถึงปานกลาง มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 200-350 กรัมต่อลูก ผิวเปลือกเนียนสีเขียว เนื้อสีเหลืองอมเขียว มีรสชาติอมหวานอร่อย เนื้อครีมมี่ สามารถหาซื้อได้ในไทยผ่านเกษตรกรหรือทางโครงการหลวง
-
อะโวคาโดพันธุ์บัคคาเนียร์ (ฺBuccaneer)
อะโวคาโดพันธุ์บัคคาเนียร์ (ฺBuccaneer) เป็นพันธุ์ที่ผลมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยน้ำหนักจะอยู่ระหว่าง 300-500 กรัม สำหรับอะโวคาโดพันธุ์นี้ให้ลูกดก เปลือกสีเขียวขรุขระ เนื้อมีสีเหลืองอ่อน รสชาติอร่อย เนื้อเนียนแน่น หอมมัน หาซื้อกินได้ง่ายมีขายทั่วไป ที่สำคัญราคาไม่แพง
-
อะโวคาโดพันธุ์แฮสส์ (Haas)
อะโวคาโดพันธุ์แฮสส์ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีรสชาติดีที่สุด มีแหล่งกำเนิดมาจากรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา ให้ผลผลิตทั้งปี ด้วยรสชาตินุ่มนวล คล้ายเนยและถั่ว เนื้อเหนียว เมื่อสุกเปลือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีดำเข้มเหลือบม่วง ในประเทศไทยเองก็มีการปลูกอะโวคาโดสายพันธุ์นี้อย่างแพร่หลาย สามารถหาซื้อมากินได้ง่ายๆ แต่ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ
ข้อควรระวังในการกินอะโวคาโด
หากเรากินอะโวคาโดแบบไม่ถูกวิธี ก็จะเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ มาดูกันว่า ถ้าจะกินอะโวคาโดเพื่อสุขภาพ มีเรื่องอะไรที่เราควรระวัง!
- อะโวคาโดมีสารบางอย่าง ที่สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะอะโวคาโดผลดิบ มีสารอันตราย เช่น ก่อให้เกิดอาการคัน ผื่นแดงขึ้น ปากบวม อาการหนักสุดคือ หายใจติดขัด หายใจลำบาก
- แคลอรีสูง แม้ว่าอะโวคาโดจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่การกินต่อเนื่องในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่มากเกินความจำเป็น จะกลายเป็นน้ำหนักขึ้นแทนได้
- สารแทนนินสูง ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเน่าเปื่อยของอาหารในกระเพาะ ซึ่งถ้าหากกินเข้าไปในปริมาณที่มาก อาจส่งผลให้ท้องผูกได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ควรรับประทานอะโวคาโดที่สุกพอดี
- เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นผู้ที่รักษาโรคหัวใจด้วยการกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด จึงควรระมัดระวังในการกินอะโวคาโด หรือควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการกิน
เมนูสุขภาพน่าสนใจที่ทำจากอะโวคาโด
ในปัจจุบันกระแสการรักสุขภาพ เข้ามาส่งผลต่อการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่เรื่องของอาหารการกิน ดังนั้น ความอเนกประสงค์ของ อะโวคาโด จึงมีบทบาทมากในอาหารเพื่อสุขภาพ และโดดเด่นในด้านอาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งสามารถนำมาใช้สร้างสรรค์เมนูอาหารที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการได้หลากหลาย และน่ารับประทาน ตัวอย่างอาหารที่ใช้วัตถุดิบหลักจากอะโวคาโด
- แซนด์วิชอะโวคาโดถั่วขาว
- ไก่ย่างมะนาวอะโวคาโด
- สลัดอะโวคาโดกุ้งย่าง
- กราแตงอะโวคาโดมะกะโรนีทูน่า
- อะโวคาโดกุ้งค็อกเทล
- แซนด์วิชทูน่าอะโวคาโด
- ไข่ดาวอะโวคาโด
- น้ำสลัดอะโวคาโด
ใครที่ยังไม่เคยลองกินอะโวคาโดมาก่อน หรือว่าเคยกินแล้ว แต่ไม่รู้ว่าประโยชน์จากอะโวคาโดมีอะไรบ้าง มีข้อควรระวังอย่างไร หรือแม้กระทั้งอะโวคาโดพันธุ์ไหนอร่อยที่สุด อาจจะลองหาสักสายพันธุ์มาลองก่อน จะกินเปล่า ๆ หรือนำไปประกอบอาหารในเมนูประจำวันก่อนก็ได้ นอกจากอะโวคาโดเป็นแหล่งของไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายแล้ว อะโวคาโดยังช่วยบำรุงเส้นผม และผิวพรรณได้อีกด้วย
ที่มา: allwellhealthcare.com