Third Place: พื้นที่ที่ 3 จำเป็นต่อใจคนเมืองยุคใหม่
- ประเด็นสำคัญที่คุณจะได้เรียนรู้
- ทำความเข้าใจแนวคิด Third Place หรือ “พื้นที่ที่สาม”
- คุณลักษณะสำคัญที่นิยามความเป็น Third Place
- ตัวอย่างของ Third Place ในชีวิตประจำวัน
- ความจำเป็นของ Third Place ต่อสุขภาพจิตและสังคมเมืองสมัยใหม่
- ความท้าทายและบริบทของ “พื้นที่ที่สาม” ในสังคมไทย
- วิธีค้นหาและสร้างสรรค์ Third Place ของตัวเอง
ในชีวิตที่หมุนไปอย่างรวดเร็วของคนเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่มักถูกจำกัดอยู่เพียงสองแห่งหลักๆ คือ “บ้าน” (First Place) และ “ที่ทำงาน” (Second Place) แต่การมีอยู่เพียงสองพื้นที่นี้อาจไม่เพียงพอต่อการเติมเต็มความต้องการทางสังคมและอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แนวคิดเกี่ยวกับ Third Place: พื้นที่ที่ 3 จำเป็นต่อใจคนเมืองยุคใหม่ จึงเกิดขึ้นเพื่ออธิบายถึงความสำคัญของพื้นที่ทางสังคมที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ แต่เป็นระบบนิเวศทางสังคมที่สำคัญซึ่งช่วยลดความเครียด สร้างปฏิสัมพันธ์ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในระยะยาว
ประเด็นสำคัญที่คุณจะได้เรียนรู้
- นิยามและความสำคัญ: Third Place หรือ “พื้นที่ที่สาม” คือพื้นที่สาธารณะที่ไม่เป็นทางการนอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน เช่น คาเฟ่ สวนสาธารณะ หรือห้องสมุด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและส่งเสริมสุขภาวะทางใจ
- คุณลักษณะเด่น: พื้นที่ที่สามที่ดีจะต้องเป็นกลาง เข้าถึงง่าย มีบรรยากาศสบายๆ ไม่ผูกมัด และเปิดโอกาสให้ผู้คนจากหลากหลายกลุ่มได้พบปะพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
- ประโยชน์ต่อคนเมือง: การมีอยู่ของพื้นที่ที่สามช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมเมือง สร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
- บริบทในสังคมไทย: แนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ของไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยทำหน้าที่เป็นพื้นที่ยึดเหนี่ยวทางสังคมสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่คนเดียวหรือในครอบครัวเดี่ยว
- ความท้าทายในปัจจุบัน: การลดลงของพื้นที่สาธารณะจากการพัฒนาเมืองหรือการแปรรูปเป็นพื้นที่เอกชน ถือเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ปัญหาสังคมและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนลดลง
ทำความเข้าใจแนวคิด Third Place หรือ “พื้นที่ที่สาม”
แนวคิด Third Place: พื้นที่ที่ 3 จำเป็นต่อใจคนเมืองยุคใหม่ เป็นแนวคิดทางสังคมวิทยาที่อธิบายถึงพื้นที่ทางกายภาพนอกเหนือจากสองสภาพแวดล้อมหลักในชีวิตประจำวัน ได้แก่ บ้าน (พื้นที่ที่หนึ่ง) และที่ทำงาน (พื้นที่ที่สอง) พื้นที่ที่สามนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของชีวิตชุมชนที่ไม่เป็นทางการ เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมได้อย่างอิสระ โดยปราศจากแรงกดดันหรือข้อผูกมัดเหมือนในบ้านหรือที่ทำงาน ความสำคัญของพื้นที่นี้ไม่ได้อยู่ที่การเป็นเพียงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่จำเป็นต่อการหล่อเลี้ยงจิตใจและสร้างความผูกพันในชุมชนเมืองที่นับวันจะมีความซับซ้อนและเร่งรีบมากขึ้น
ต้นกำเนิดของแนวคิดโดย เรย์ โอลเดนเบิร์ก
แนวคิดเรื่อง “พื้นที่ที่สาม” ถูกนำเสนออย่างเป็นทางการครั้งแรกโดย เรย์ โอลเดนเบิร์ก (Ray Oldenburg) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า The Great Good Place ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1989 โอลเดนเบิร์กได้ชี้ให้เห็นว่าสังคมอเมริกันกำลังเผชิญกับปัญหาการสูญเสียพื้นที่ชุมชนที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งเคยเป็นหัวใจสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในอดีต เขาโต้แย้งว่าพื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างประชาธิปไตยฐานราก การมีส่วนร่วมของพลเมือง และการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หากไม่มีพื้นที่ที่สาม สังคมจะถูกแบ่งแยกออกเป็นเพียงชีวิตส่วนตัวที่บ้านและชีวิตการทำงานที่เคร่งเครียด ทำให้ผู้คนขาดโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางและหลากหลาย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของชุมชนที่เข้มแข็งและสุขภาพจิตที่ดีของปัจเจกบุคคล
ใครคือผู้ที่ต้องการพื้นที่ที่สามมากที่สุด?
ในยุคสมัยใหม่ที่วิถีชีวิตในเมืองมีความหนาแน่นและเต็มไปด้วยความกดดัน กลุ่มคนที่ต้องการพื้นที่ที่สามมากที่สุดคือ “คนเมือง” ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงานและการเดินทางเป็นประจำ ผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียวหรือในครอบครัวเดี่ยวซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจำกัด และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาพื้นที่ในการแสดงออกถึงตัวตนและเชื่อมต่อกับผู้คนที่มีความสนใจคล้ายกัน พื้นที่ที่สามมอบโอกาสให้พวกเขาได้หลีกหนีจากความจำเจของชีวิตประจำวัน ได้พบปะผู้คนใหม่ๆ และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเหงา ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล ที่มักพบได้บ่อยในสังคมเมือง
คุณลักษณะสำคัญที่นิยามความเป็น Third Place
ไม่ใช่ทุกสถานที่จะสามารถทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ที่สาม” ได้อย่างสมบูรณ์ โอลเดนเบิร์กได้ระบุคุณลักษณะสำคัญหลายประการที่ทำให้พื้นที่แห่งหนึ่งกลายเป็น Third Place ที่ดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์สังคมและหล่อเลี้ยงจิตใจของผู้คนได้อย่างแท้จริง
“พื้นที่ที่สามคือหัวใจของชีวิตชุมชน เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางสังคมที่สำคัญไม่แพ้บ้านและที่ทำงาน เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกิดการสนทนา การแลกเปลี่ยน และการสร้างความสัมพันธ์ที่หล่อเลี้ยงความเป็นพลเมืองและจิตวิญญาณของชุมชน”
คุณลักษณะเด่นเหล่านี้ประกอบด้วย:
- ความเป็นกลาง (Neutral Ground): ผู้คนสามารถเข้าและออกจากพื้นที่ได้อย่างอิสระ โดยไม่มีข้อผูกมัดหรือพันธะใดๆ ที่จะต้องเข้าร่วม ทุกคนมีความเสมอภาคกันในพื้นที่นี้
- เป็นพื้นที่สาธารณะที่เข้าถึงง่าย (Accessible): โดยทั่วไปมักตั้งอยู่ในระยะที่สามารถเดินถึงได้สะดวก เปิดให้บริการเป็นเวลานาน และต้อนรับทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยก
- เน้นการสนทนาเป็นหลัก (Conversation is the Main Activity): บรรยากาศของสถานที่เอื้อให้เกิดการพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงพูดคุยที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาเป็นลักษณะเด่นของพื้นที่ที่สาม
- มี завсегдатаи หรือ “ขาประจำ” (Regulars): การมีกลุ่มคนที่มาใช้บริการเป็นประจำช่วยสร้างบรรยากาศที่คุ้นเคยและเป็นกันเอง ทำให้ผู้มาใหม่รู้สึกอบอุ่นใจและอยากกลับมาอีก
- บรรยากาศสบายๆ ไม่โอ้อวด (A Plain and Unpretentious Atmosphere): การตกแต่งที่ไม่หรูหราจนเกินไปทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่
- ต้นทุนต่ำหรือไม่เสียค่าใช้จ่าย (Low Profile): ค่าใช้จ่ายในการเข้าใช้บริการไม่สูง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่รู้สึกเป็นภาระทางการเงิน
- สร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน (Playful Mood): เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถปลดปล่อยความเครียด หัวเราะ และมีปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนานได้
| คุณลักษณะ | พื้นที่ที่หนึ่ง (บ้าน) | พื้นที่ที่สอง (ที่ทำงาน) | พื้นที่ที่สาม (Third Place) |
|---|---|---|---|
| วัตถุประสงค์หลัก | การพักผ่อน, ชีวิตส่วนตัว, ครอบครัว | การผลิต, การทำงาน, สร้างรายได้ | การเข้าสังคม, การผ่อนคลาย, สร้างชุมชน |
| ลักษณะความสัมพันธ์ | ใกล้ชิด, เป็นส่วนตัว, ผูกพัน | เป็นทางการ, มีโครงสร้าง, ตามบทบาทหน้าที่ | ไม่เป็นทางการ, เท่าเทียม, เป็นมิตร |
| ระดับความเป็นทางการ | ต่ำ (เป็นส่วนตัวสูง) | สูง (มีกฎเกณฑ์ชัดเจน) | ต่ำ (ผ่อนคลายและอิสระ) |
| การเข้าถึง | จำกัดเฉพาะสมาชิกในครอบครัว | จำกัดเฉพาะพนักงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง | เปิดกว้างสำหรับสาธารณะ |
| แรงจูงใจในการอยู่ | ความผูกพัน, ความรับผิดชอบ | หน้าที่, ผลตอบแทน, เป้าหมาย | ความสมัครใจ, ความเพลิดเพลิน |
ตัวอย่างของ Third Place ในชีวิตประจำวัน
พื้นที่ที่สามสามารถปรากฏอยู่ในหลากหลายรูปแบบรอบตัวเรา ตั้งแต่พื้นที่สาธารณะที่จัดสรรโดยภาครัฐ ไปจนถึงสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ที่สามารถสร้างบรรยากาศของความเป็นชุมชนขึ้นมาได้สำเร็จ
พื้นที่สาธารณะและพื้นที่ชุมชน
กลุ่มนี้เป็นตัวอย่างคลาสสิกของพื้นที่ที่สาม ซึ่งมักจะเข้าถึงได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย
- สวนสาธารณะ: เป็นพื้นที่เปิดโล่งให้ผู้คนมาทำกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ ไปจนถึงการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเต้นแอโรบิก หรือการเล่นดนตรี
- ห้องสมุดประชาชน: นอกจากจะเป็นแหล่งความรู้แล้ว ห้องสมุดยังเป็นพื้นที่เงียบสงบที่ผู้คนสามารถมาใช้เวลาร่วมกันโดยไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง แต่ยังคงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
- ศูนย์ชุมชน (Community Center): เป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมต่างๆ ของท้องถิ่น เช่น การจัดอบรมอาชีพ การจัดงานเทศกาล หรือเป็นพื้นที่สำหรับให้กลุ่มต่างๆ มาพบปะกัน
พื้นที่เชิงพาณิชย์ที่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคม
สถานประกอบการหลายแห่งสามารถพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นพื้นที่ที่สามได้ หากสามารถสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมและมี “ขาประจำ” ที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมของสถานที่นั้นๆ ขึ้นมา
- ร้านกาแฟและคาเฟ่: ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในยุคปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมมานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือนัดพบปะเพื่อนฝูง บรรยากาศสบายๆ และกลิ่นหอมของกาแฟช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย
- บาร์และผับ: เป็นพื้นที่ทางสังคมยามค่ำคืนที่ผู้คนมาสังสรรค์และผ่อนคลายหลังเลิกงาน
- ร้านตัดผมและร้านเสริมสวย: สถานที่เหล่านี้มักเป็นศูนย์กลางของการพูดคุยและแลกเปลี่ยนข่าวสารในชุมชน มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างช่างและลูกค้าประจำ
- โรงยิมและฟิตเนส: เป็นพื้นที่ที่คนรักสุขภาพมารวมตัวกัน สร้างแรงบันดาลใจและก่อให้เกิดมิตรภาพใหม่ๆ
ความจำเป็นของ Third Place ต่อสุขภาพจิตและสังคมเมืองสมัยใหม่
ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารดูเหมือนจะง่ายขึ้น แต่กลับสวนทางกับความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นในสังคมเมือง การมีอยู่ของพื้นที่ที่สามจึงทวีความสำคัญมากขึ้นในฐานะกลไกทางสังคมที่ช่วยเยียวยาและเสริมสร้างความเข้มแข็งทั้งในระดับบุคคลและชุมชน
การรับมือกับความเหงาและความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มักทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกแยกและไม่เปิดเผยตัวตน การปฏิสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะผิวเผินและเป็นทางการ พื้นที่ที่สามเปิดโอกาสให้เกิด “การปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้” (unplanned interactions) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทลายกำแพงความเหงา การได้ทักทายบาริสต้าเจ้าประจำ การพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ กับคนที่มาออกกำลังกายในสวน หรือการเข้าร่วมวงสนทนาในร้านหนังสือ ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ช่วยสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงและยืนยันว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
บทบาทในการสร้างสมดุลชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance)
พื้นที่ที่สามทำหน้าที่เป็น “กันชน” ที่สำคัญระหว่างโลกของบ้านและโลกของที่ทำงาน การได้ใช้เวลาในพื้นที่ที่เป็นกลางช่วยให้บุคคลสามารถ “สลัด” ความเครียดจากที่ทำงานทิ้งไปก่อนกลับบ้าน หรือในทางกลับกัน ก็เป็นพื้นที่สำหรับหลีกหนีจากความรับผิดชอบในบ้านชั่วคราวเพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเอง การมีพื้นที่สำหรับ “เปลี่ยนโหมด” นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสมดุลทางอารมณ์และป้องกันภาวะหมดไฟ (burnout)
การเสริมสร้างอัตลักษณ์ชุมชนและทุนทางสังคม
พื้นที่ที่สามเป็นเบ้าหลอมของ “ทุนทางสังคม” (Social Capital) ซึ่งหมายถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ และบรรทัดฐานทางสังคมที่ช่วยให้ชุมชนดำเนินไปอย่างราบรื่น เมื่อผู้คนจากภูมิหลังที่หลากหลายได้มาพบปะและมีปฏิสัมพันธ์กันในพื้นที่ที่เป็นกลาง พวกเขาจะเริ่มสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน สิ่งนี้นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนที่เข้มแข็ง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะมากขึ้น และความสามารถในการรวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหาของชุมชนร่วมกัน
ความท้าทายและบริบทของ “พื้นที่ที่สาม” ในสังคมไทย
แม้ว่าแนวคิด Third Place จะมีต้นกำเนิดจากสังคมตะวันตก แต่ก็สามารถนำมาปรับใช้และทำความเข้าใจบริบทของสังคมเมืองในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว
“พื้นที่ที่สาม” ในวิถีชีวิตคนเมืองของไทย
ในสังคมไทย พื้นที่ที่สามอาจมีรูปแบบที่หลากหลายและผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น:
- ร้านกาแฟและคาเฟ่สไตล์ไทย: ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่
- ตลาดนัดและตลาดสด: นอกจากจะเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าแล้ว ยังเป็นพื้นที่ทางสังคมที่สำคัญที่ผู้คนมาพบปะพูดคุยกัน
- ลานกิจกรรมในวัด: ในบางชุมชน วัดยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางสังคม ที่จัดกิจกรรมและเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน
- พื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียมและหมู่บ้าน: เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือ co-working space ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่สามสำหรับผู้พักอาศัย
พื้นที่เหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สมอทางสังคม” (social anchor) ที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่และอาศัยอยู่ตามลำพัง ช่วยให้พวกเขาสร้างเครือข่ายสังคมใหม่และลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงได้
ความเสี่ยงจากการลดลงของพื้นที่สาธารณะ
ความท้าทายสำคัญประการหนึ่งคือการลดลงหรือการแปรรูปพื้นที่สาธารณะให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น (Privatization) การพัฒนาเมืองที่เน้นการสร้างห้างสรรพสินค้าหรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อาจทำให้พื้นที่สาธารณะที่เข้าถึงได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายลดน้อยลง เมื่อพื้นที่ที่สามถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ที่ต้อง “จ่ายเงินเพื่อเข้าใช้บริการ” ย่อมเป็นการกีดกันผู้คนบางกลุ่มออกไป และลดทอนโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลายและเท่าเทียม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการแบ่งแยกทางสังคมและความเปราะบางของชุมชนในระยะยาว
การฟื้นฟูพื้นที่ทางสังคมในยุคหลังการระบาดใหญ่
การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและผลกระทบของความโดดเดี่ยวได้อย่างชัดเจน ในช่วงเวลาของการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนต่างโหยหาสถานที่ที่จะได้กลับไปพบปะกันอีกครั้ง ดังนั้น ในยุคหลังการระบาดใหญ่ การฟื้นฟูและสร้างสรรค์พื้นที่ที่สามจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการช่วย “ซ่อมแซม” สายใยทางสังคมที่ขาดหายไป และสร้างเสริมความ resilience หรือความสามารถในการปรับตัวและฟื้นคืนของทั้งบุคคลและชุมชน
วิธีค้นหาและสร้างสรรค์ Third Place ของตัวเอง
Third Place ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่หรือพิเศษเสมอไป แต่เป็นพื้นที่ใดก็ได้ที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เป็นตัวของตัวเอง และได้เชื่อมต่อกับผู้อื่น การค้นหาพื้นที่ที่สามของตัวเองคือการสำรวจโลกรอบตัวและเปิดใจให้กับโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ
เริ่มต้นจากการสำรวจกิจวัตรประจำวันและสถานที่ใกล้บ้าน ลองเปลี่ยนร้านกาแฟที่เคยซื้อกลับบ้านเป็นนั่งดื่มที่ร้านบ้าง ลองเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ๆ หรือสมัครเป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน การเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนหรือกลุ่มกิจกรรมตามความสนใจ เช่น คลาสโยคะ ชมรมวิ่ง หรือเวิร์กชอปงานฝีมือ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีในการค้นหาพื้นที่และกลุ่มคนที่จะกลายเป็น Third Place ของเราได้
ท้ายที่สุดแล้ว Third Place: พื้นที่ที่ 3 จำเป็นต่อใจคนเมืองยุคใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิดทางวิชาการ แต่เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตที่มีคุณภาพในสังคมเมืองสมัยใหม่ พื้นที่เหล่านี้เป็นมากกว่าแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่หล่อเลี้ยงสุขภาพจิต สร้างความเท่าเทียมทางสังคม และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การตระหนักถึงความสำคัญและร่วมกันส่งเสริมให้มีพื้นที่เหล่านี้มากขึ้นในการวางผังเมืองและวัฒนธรรมของสังคม จึงเป็นการลงทุนที่สำคัญเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมีความสุขของทุกคน


