ยักษ์ใหญ่ประกาศ! ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เงินเดือนเท่าเดิม
กระแสการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานทั่วโลกกำลังทวีความสำคัญขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเครือบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งได้จุดประกายการถกเถียงครั้งสำคัญในประเทศไทย ด้วยการประกาศใช้นโยบายถาวรที่ให้พนักงาน ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เงินเดือนเท่าเดิม ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจและถูกนำไปปรับใช้ในหลายประเทศชั้นนำทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงเทรนด์การทำงานแห่งอนาคต แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณว่าสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) และสวัสดิการพนักงานกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรยุคใหม่
- โมเดลการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์โดยไม่ลดค่าจ้าง กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีบริษัทชั้นนำในหลายประเทศนำไปใช้และพบผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์
- ผลการทดลองในสหราชอาณาจักรชี้ชัดว่า ประสิทธิภาพการทำงานยังคงเท่าเดิมหรือดีขึ้น ในขณะที่ความสุขและสมดุลชีวิตของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโปรตุเกส ได้เริ่มโครงการนำร่องในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในวงกว้าง
- หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการทำงานอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ของงานมากกว่าจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไป
- การปรับตัวสู่รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการวัดผลผลิตภาพ การปรับวัฒนธรรมองค์กร และการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น
ภาพรวมของเทรนด์การทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน
แนวคิดเรื่องการ ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เงินเดือนเท่าเดิม หรือที่รู้จักกันในชื่อ 4 day work week ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้องค์กรและพนักงานทั่วโลกต้องทบทวนนิยามของ “การทำงาน” และ “ประสิทธิภาพ” กันใหม่ แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าการลดชั่วโมงการทำงานลงโดยยังคงจ่ายค่าจ้างเท่าเดิม จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลง ส่งผลให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวพนักงานและองค์กร
เหตุผลที่เทรนด์นี้กลายเป็นที่จับตามองในปี 2568 และหลังจากนี้ มีรากฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่สำคัญหลายประการ องค์กรต่างๆ เริ่มตระหนักว่าการทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอไป ในทางกลับกัน อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ (Burnout) และปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่งผลเสียต่อผลิตภาพในระยะยาว นอกจากนี้ กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ยังให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตการทำงานและสวัสดิการพนักงานมากขึ้น ทำให้บริษัทที่เสนอความยืดหยุ่นและใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพนักงานมีความน่าดึงดูดใจมากกว่าในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง
กรณีศึกษาจากนานาชาติ: ผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้ว
แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีอีกต่อไป แต่ได้ถูกนำไปทดลองและใช้งานจริงในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีข้อมูลและผลการวิจัยที่ชัดเจนมายืนยันถึงความสำเร็จ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้บริษัทต่างๆ กล้าที่จะปรับเปลี่ยนตาม
สหราชอาณาจักร: ต้นแบบความสำเร็จที่จับต้องได้
สหราชอาณาจักรได้จัดการทดลองการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี 2022 โดยมีบริษัทเข้าร่วม 61 แห่ง และพนักงานกว่า 2,900 คน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง หลังจากสิ้นสุดโครงการทดลองเป็นเวลา 6 เดือน บริษัทถึง 56 แห่ง (หรือประมาณ 92%) ตัดสินใจใช้นโยบายนี้ต่อไปอย่างถาวร รายงานระบุว่าองค์กรส่วนใหญ่ไม่พบการลดลงของผลิตภาพการทำงาน ในขณะที่ตัวชี้วัดด้านอื่นๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น พนักงานมีความเครียดลดลง มีความพึงพอใจในงานมากขึ้น และสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความสำเร็จของการทดลองนี้ได้กลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้องค์กรทั่วโลกหันมาพิจารณาโมเดลนี้อย่างจริงจัง
ญี่ปุ่น: เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานหนักสู่ความสมดุล
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมการทำงานหนักจนมีคำว่า “คาโรชิ” (Karoshi) หรือการเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป การที่ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นเริ่มหันมาสนใจแนวคิดสัปดาห์การทำงานที่สั้นลงจึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ ในปี 2025 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการนำร่องให้ข้าราชการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์โดยได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ผลการวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นทิศทางที่เป็นบวก พนักงานมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น และที่สำคัญคือผลการดำเนินงานขององค์กรไม่ได้ลดลง ตรงกันข้าม บางแห่งยังมีผลกำไรที่ดีขึ้นด้วยซ้ำ การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับการทำงานในสังคมญี่ปุ่น
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโปรตุเกส: ภาครัฐนำร่องสู่การเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และโปรตุเกส ได้เริ่มทดลองระบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหน่วยงานภาครัฐตั้งแต่ปี 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การที่ภาครัฐเป็นผู้นำร่องในการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการส่งสารที่ทรงพลังไปยังภาคเอกชน ว่านี่คือทิศทางของอนาคตและเป็นนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ผลการศึกษาในประเทศเหล่านี้สอดคล้องกันว่า พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น และองค์กรยังคงรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินงานไว้ได้
เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา: ก้าวสู่ความยืดหยุ่นที่มากขึ้น
ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน ได้เริ่มมีการทดลองทำงาน 4.5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ผลสำรวจล่าสุดพบว่า 22% ของนายจ้างได้เริ่มนำเสนอระบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 14% ในปี 2022 สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลสำรวจในสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า 80% ของพนักงานเชื่อว่าพวกเขาจะมีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากได้ทำงานเพียงสัปดาห์ละ 4 วัน
| ประเทศ | สถานะโครงการ | ผลลัพธ์ที่สำคัญ |
|---|---|---|
| สหราชอาณาจักร | ทดลองปี 2022, 92% ใช้ถาวร | พนักงานมีความสุขขึ้น, สมดุลชีวิตดีขึ้น, ผลงานไม่ลดลง |
| ญี่ปุ่น | นำร่องในภาครัฐปี 2025 | สุขภาพพนักงานดีขึ้น, ผลงานคงที่, องค์กรมีกำไรดีขึ้น |
| สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ / โปรตุเกส | นำร่องในภาครัฐปี 2025 | คุณภาพชีวิตพนักงานดีขึ้น, องค์กรมีประสิทธิภาพคงเดิม |
| เกาหลีใต้ | ทดลอง 4.5 วัน/สัปดาห์ | มุ่งเน้นการปรับสมดุลชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพ |
| สหรัฐอเมริกา | 22% ของนายจ้างเริ่มใช้ | แนวโน้มการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 14% ในปี 2022 |
แก่นของโมเดล 100-80-100: ทำงานน้อยลงแต่ได้ผลเท่าเดิม

เบื้องหลังความสำเร็จของนโยบาย ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เงินเดือนเท่าเดิม คือหลักการที่เรียกว่า “โมเดล 100-80-100” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นได้จริงและมีประสิทธิภาพ โดยตัวเลขแต่ละตัวมีความหมายดังนี้:
- 100% ของค่าจ้าง: พนักงานยังคงได้รับเงินเดือนและสวัสดิการเต็มจำนวนเท่าเดิม ไม่มีการลดค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานยอมรับและทุ่มเทให้กับการเปลี่ยนแปลงนี้
- 80% ของเวลา: พนักงานทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็น 80% ของเวลาทำงานปกติ (5 วัน) ทำให้มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัวเพิ่มขึ้น 1 วันเต็มๆ
- 100% ของผลิตภาพ: องค์กรคาดหวังว่าพนักงานจะสามารถสร้างผลงานหรือผลผลิตได้เท่าเดิม (หรือมากกว่า) แม้ว่าชั่วโมงการทำงานจะลดลงก็ตาม
โมเดลนี้ไม่ได้หมายถึงการทำงานอัดแน่น 5 วันให้เสร็จภายใน 4 วัน แต่เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการวัดผลด้วย “เวลา” ไปสู่การวัดผลด้วย “ผลลัพธ์” องค์กรและพนักงานต้องร่วมมือกันปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ลดการประชุมที่ไม่จำเป็น, นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดขั้นตอนซ้ำซ้อน, และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก เมื่อพนักงานมีสมาธิและแรงจูงใจสูงขึ้นจากการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พวกเขาก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลงได้
ผลกระทบต่อองค์กรและพนักงานในบริบทของไทย
การที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยประกาศใช้นโยบายนี้อย่างเป็นทางการ ได้สร้างแรงกระเพื่อมและกดดันให้บริษัทอื่นๆ ต้องหันมาทบทวนรูปแบบการทำงานของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเป็นความท้าทายต่อตลาดแรงงานไทย
ข้อดีสำหรับพนักงาน: มากกว่าแค่วันหยุดที่เพิ่มขึ้น
สำหรับพนักงาน ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการมีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในหลายมิติ:
- สมดุลชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น: มีเวลาสำหรับครอบครัว, งานอดิเรก, หรือการพัฒนาตนเองมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความเครียดและป้องกันภาวะหมดไฟ
- สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น: การได้พักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ทำให้มีพลังในการทำงานมากขึ้น
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดค่าเดินทาง, ค่าอาหารกลางวัน, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมาทำงานลงได้ 1 วันต่อสัปดาห์
- เพิ่มความภักดีต่อองค์กร: นโยบายที่แสดงถึงความใส่ใจในสวัสดิการพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันและอยากอยู่กับองค์กรในระยะยาว
ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ
ในมุมขององค์กร การปรับใช้นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า:
- ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ: ในยุคที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงคนเก่งเป็นไปอย่างดุเดือด นโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ถือเป็นสวัสดิการที่โดดเด่นและน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง
- เพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพ: พนักงานที่มีความสุขและได้พักผ่อนเต็มที่จะมีสมาธิและแรงจูงใจในการทำงานสูงขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรดีขึ้น
- ลดอัตราการลาออกของพนักงาน: เมื่อพนักงานมีความพึงพอใจสูง อัตราการลาออกก็จะลดลง ช่วยลดต้นทุนในการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานใหม่
- ภาพลักษณ์องค์กรที่ดี: การเป็นองค์กรที่ทันสมัยและใส่ใจพนักงานช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของลูกค้า, คู่ค้า, และนักลงทุน
ความท้าทายและข้อควรพิจารณาในการปรับใช้
แม้ว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะมีข้อดีมากมาย แต่การนำมาปรับใช้ก็มีความท้าทายที่องค์กรในประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด
การวัดผลผลิตภาพ (Productivity) รูปแบบใหม่
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีวัดผลการทำงาน จากเดิมที่อาจคุ้นเคยกับการวัดจาก “ชั่วโมงการทำงาน” หรือการปรากฏตัวในที่ทำงาน ไปสู่การวัด “ผลลัพธ์ของงาน” (Output-based) อย่างแท้จริง องค์กรจำเป็นต้องกำหนดตัวชี้วัด (KPIs) ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สามารถวัดผลได้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภาพโดยรวมจะไม่ลดลง ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่ชัดเจนและความเข้าใจร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน
ความเหมาะสมกับทุกอุตสาหกรรมหรือไม่?
โมเดลนี้อาจไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรมในรูปแบบเดียวกัน ธุรกิจที่เน้นงานบริการลูกค้าซึ่งต้องเปิดทำการ 5-7 วันต่อสัปดาห์, โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องเดินเครื่องจักรต่อเนื่อง, หรือสถานพยาบาล อาจต้องมีการวางแผนการจัดตารางเวรที่ซับซ้อนขึ้น หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสม เช่น การแบ่งทีมทำงานสลับวันหยุด เพื่อให้การบริการลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ การปรับใช้นโยบายนี้จึงต้องมีการวิเคราะห์ลักษณะของธุรกิจอย่างละเอียด
การบริหารจัดการและวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องเปลี่ยนไป
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรและการบริหารจัดการครั้งใหญ่ ผู้บริหารต้องเปลี่ยนจาก “การควบคุม” (Controlling) ไปสู่ “การให้อำนาจและความไว้วางใจ” (Empowering and Trusting) ต้องมีการส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลง เช่น การประชุมที่ยาวนานและไม่มีประสิทธิภาพต้องถูกปรับเปลี่ยนให้กระชับและตรงประเด็นมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการความมุ่งมั่นจากผู้นำองค์กรและการยอมรับจากพนักงานทุกระดับ
สรุป: อนาคตของการทำงานในประเทศไทย
การประกาศใช้โมเดล ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เงินเดือนเท่าเดิม ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ท้าทายแนวคิดการทำงานแบบดั้งเดิม และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติรูปแบบการทำงานในประเทศไทยในวงกว้าง ข้อมูลจากนานาชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, การดึงดูดบุคลากรคุณภาพ, และการสร้างสมดุลชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่พนักงาน
นี่คือหนึ่งในเทรนด์การทำงาน 2568 ที่น่าจับตามองที่สุด แม้จะยังมีความท้าทายในการปรับใช้ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว องค์กรที่สามารถปรับตัวและนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและกลายเป็นองค์กรแห่งอนาคตที่พนักงานทุกคนใฝ่ฝันอยากจะร่วมงานด้วย

