โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษี 68: เช็คกองทุน SSF/RMF ตัวเด็ด
- สรุปประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนภาษีปลายปี
- เจาะลึกกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): โอกาสสุดท้ายในการลดหย่อนภาษี
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เครื่องมือสร้างความมั่งคั่งเพื่อวัยเกษียณ
- กลยุทธ์การลงทุน SSF และ RMF เพื่อประสิทธิภาพภาษีสูงสุด
- ขั้นตอนสุดท้ายก่อนสิ้นปี: เตรียมพร้อมยื่นภาษี 2568
- บทสรุปและการวางแผนสู่อนาคตทางการเงิน
เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญสำหรับการบริหารจัดการภาษีบุคคลธรรมดา การพิจารณา โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษี 68: เช็คกองทุน SSF/RMF ตัวเด็ด จึงกลายเป็นวาระสำคัญสำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการลดภาระภาษี แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีภาษี 2567 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในกองทุน SSF ได้ การวางแผนอย่างรอบคอบจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
สรุปประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนภาษีปลายปี
- ปี 2567 คือโอกาสสุดท้าย: การลงทุนในกองทุน SSF เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสามารถทำได้ถึงสิ้นปี 2567 เท่านั้น นับเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้
- เงื่อนไขที่แตกต่างกัน: กองทุน SSF มีเงื่อนไขการถือครอง 10 ปีเต็ม ในขณะที่ RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ การทำความเข้าใจเงื่อนไขของแต่ละกองทุนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดเงื่อนไข
- การกระจายความเสี่ยง: ทั้ง SSF และ RMF มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำในตราสารหนี้ไปจนถึงความเสี่ยงสูงในหุ้นต่างประเทศ ทำให้สามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- การวางแผนที่ครอบคลุม: การลดหย่อนภาษีที่มีประสิทธิภาพต้องพิจารณารายการลดหย่อนอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, เบี้ยประกัน และเงินบริจาค เพื่อให้สามารถวางแผนการลงทุนใน SSF/RMF ได้อย่างเหมาะสมกับฐานภาษีของตนเอง
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี ผู้มีเงินได้พึงประเมินทุกคนต่างเริ่มวางแผนเพื่อจัดการภาระภาษีสำหรับปีภาษี 2567 ซึ่งจะต้องยื่นแบบแสดงรายการในช่วงต้นปี 2568 หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือการลงทุนในกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่าง SSF และ RMF การทำความเข้าใจในรายละเอียด หลักการทำงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขพิเศษที่เกิดขึ้นในปีนี้ จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างมีหลักการและบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ ทั้งในด้านการประหยัดภาษีปัจจุบันและการสร้างความมั่นคงในอนาคต
บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษี 68: เช็คกองทุน SSF/RMF ตัวเด็ด โดยจะวิเคราะห์ความแตกต่างของกองทุนทั้งสองประเภท กลยุทธ์การเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตนเอง และขั้นตอนที่ต้องเตรียมการก่อนสิ้นปี เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสครั้งสำคัญนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
เจาะลึกกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): โอกาสสุดท้ายในการลดหย่อนภาษี
กองทุน SSF ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ แม้จะมีระยะเวลาการให้สิทธิ์ที่ไม่ยาวนานนัก แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นิยามและหลักการทำงานของ SSF
SSF หรือ Super Savings Fund คือกองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาวประเภทหนึ่งที่ภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีการออมเงินที่ยาวนานขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต หลักการทำงานของ SSF คือการนำเงินจากนักลงทุนรายย่อยไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน เช่น หุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกทั้งในและต่างประเทศ โดยมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จุดเด่นที่สำคัญคือ เงินลงทุนใน SSF สามารถนำไปใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ SSF ฉบับสมบูรณ์
เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างครบถ้วน ผู้ลงทุนในกองทุน SSF จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ อย่างเคร่งครัด ดังนี้:
- วงเงินลงทุน: สามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท
- เพดานรวม: เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ เช่น RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ วงเงินลดหย่อนทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ระยะเวลาการถือครอง: ต้องถือหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ (นับแบบวันชนวัน) หากมีการขายคืนก่อนครบกำหนด จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไปพร้อมเงินเพิ่ม และกำไรจากการขายคืน (ถ้ามี) จะต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีในปีนั้นๆ
- ความต่อเนื่องในการลงทุน: กองทุน SSF ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขว่าต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี และไม่มีขั้นต่ำในการลงทุนแต่ละครั้ง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง ผู้ลงทุนสามารถเลือกซื้อในปีที่มีรายได้สูงและต้องการลดหย่อนภาษีได้
ทำไมปี 2567 จึงเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับ SSF?
สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน SSF เป็นมาตรการชั่วคราวที่ภาครัฐกำหนดให้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี คือตั้งแต่ปีภาษี 2563 ถึง 2567 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ปี 2567 (การลงทุนที่เกิดขึ้นภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567) เป็นปีสุดท้ายที่นักลงทุนจะสามารถซื้อหน่วยลงทุน SSF และนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ สำหรับการลงทุนในปี 2568 เป็นต้นไป จะไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้อีก (เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากภาครัฐในอนาคต) ดังนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ไม่ควรพลาด
แนวนโยบายการลงทุนของ SSF ที่น่าสนใจ
กองทุน SSF มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของนักลงทุนแต่ละราย โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้:
- SSF ตราสารหนี้ (ความเสี่ยงต่ำ): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้นและไม่ต้องการรับความผันผวนสูง กองทุนประเภทนี้จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง ผลตอบแทนคาดหวังไม่สูงนัก แต่มีความมั่นคง
- SSF ผสม (ความเสี่ยงปานกลาง): เป็นการกระจายการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของเงินลงทุนและเสถียรภาพของพอร์ต สัดส่วนการลงทุนจะแตกต่างกันไปในแต่ละกองทุน เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้บ้าง
- SSF หุ้นไทย (ความเสี่ยงสูง): เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงตามการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในประเทศ แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่สูงขึ้นเช่นกัน
- SSF หุ้นต่างประเทศ (ความเสี่ยงสูง): เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตจากอุตสาหกรรมที่ไม่มีในไทย เช่น เทคโนโลยี, นวัตกรรมสุขภาพ หรือตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง กองทุนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นต่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เครื่องมือสร้างความมั่งคั่งเพื่อวัยเกษียณ
ในขณะที่ SSF เป็นมาตรการระยะสั้น กองทุน RMF ยังคงเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการวางแผนเกษียณอายุระยะยาวที่มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่อง
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง SSF และ RMF
แม้ว่าทั้ง SSF และ RMF จะเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้จะช่วยให้สามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองได้
ประเด็น | กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) |
---|---|---|
วัตถุประสงค์หลัก | ส่งเสริมการออมระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) | ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุ |
วงเงินลดหย่อนภาษี | สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท | สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
เพดานลดหย่อนรวม | เมื่อรวมกับ PVD/กบข./กองทุนสงเคราะห์ครูฯ/ประกันบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท | |
ระยะเวลาถือครอง | ไม่น้อยกว่า 10 ปี (นับวันชนวัน) | ลงทุนจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี |
ความต่อเนื่องในการลงทุน | ไม่บังคับลงทุนทุกปี ไม่มีขั้นต่ำ | ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน) ไม่มีขั้นต่ำ |
ปีที่ให้สิทธิ์ลดหย่อน | ปีภาษี 2563 – 2567 (ปี 2567 เป็นปีสุดท้าย) | ต่อเนื่อง ไม่มีกำหนดสิ้นสุด (ตามกฎหมายปัจจุบัน) |
เงื่อนไขสำคัญของการลงทุนใน RMF
RMF มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่า SSF และต้องการวินัยในการลงทุนที่สูงกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการออมเพื่อวัยเกษียณ เงื่อนไขหลักประกอบด้วย:
- การลงทุนต่อเนื่อง: ผู้ลงทุนต้องซื้อหน่วยลงทุน RMF ต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี การขาดการลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกันจะถือเป็นการผิดเงื่อนไขในอดีตทั้งหมด
- การขายคืน: จะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขและได้รับยกเว้นภาษีจากกำไร ก็ต่อเมื่อผู้ลงทุนมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และได้ลงทุนใน RMF มาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี (โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน)
การเลือก RMF ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยง
เนื่องจาก RMF เป็นการลงทุนระยะยาวมาก การเลือกระดับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับช่วงอายุและเป้าหมายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในช่วงเริ่มต้นวัยทำงานซึ่งมีระยะเวลาลงทุนอีกยาวนาน อาจเลือกลงทุนใน RMF ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น RMF หุ้น เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูง เมื่ออายุมากขึ้นและใกล้เกษียณ อาจพิจารณาปรับพอร์ตโดยการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยัง RMF ที่มีความเสี่ยงต่ำลง เช่น RMF ตราสารหนี้หรือ RMF ผสม เพื่อรักษาเงินต้นและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
การลงทุนใน RMF ไม่ใช่เพียงการลดหย่อนภาษีรายปี แต่เป็นการวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงสำหรับชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งต้องอาศัยวินัยและความเข้าใจในเป้าหมายระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุน SSF และ RMF เพื่อประสิทธิภาพภาษีสูงสุด
การใช้ประโยชน์สูงสุดจากการลดหย่อนภาษีไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลือกกองทุน แต่คือการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับโครงสร้างรายได้และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคล
วิธีการคำนวณสิทธิ์ลดหย่อนภาษี
ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเริ่มต้นจากการคำนวณเงินได้พึงประเมินทั้งปี และคำนวณสิทธิ์ลดหย่อนสูงสุดของตนเองเสียก่อน เพื่อให้ทราบว่าควรลงทุนเป็นจำนวนเงินเท่าใด
ตัวอย่าง:
นาย ก. มีเงินได้พึงประเมินทั้งปี 1,200,000 บาท มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ที่นายจ้างและตนเองสมทบรวมกัน 60,000 บาทต่อปี
- คำนวณสิทธิ์ SSF: 30% ของ 1,200,000 บาท = 360,000 บาท แต่เพดานสูงสุดของ SSF คือ 200,000 บาท ดังนั้น นาย ก. สามารถลงทุนใน SSF เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท
- คำนวณสิทธิ์ RMF: 30% ของ 1,200,000 บาท = 360,000 บาท เพดานสูงสุดของ RMF คือ 500,000 บาท
- พิจารณาเพดานรวม 500,000 บาท:
- นาย ก. มี PVD แล้ว 60,000 บาท
- หากต้องการใช้สิทธิ์ SSF เต็มจำนวน 200,000 บาท
- จะเหลือวงเงินสำหรับ RMF และประกันบำนาญ = 500,000 – 60,000 (PVD) – 200,000 (SSF) = 240,000 บาท
ดังนั้น ในปี 2567 นี้ นาย ก. สามารถวางแผนลงทุนใน SSF 200,000 บาท และ RMF อีก 240,000 บาท เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามโครงสร้างรายได้ของตนเอง
การจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย
- ช่วงเริ่มต้นทำงาน (อายุ 20-30 ปี): มีระยะเวลาการลงทุนยาวนาน สามารถรับความเสี่ยงได้สูง อาจเน้นลงทุนใน SSF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั้งในและต่างประเทศเป็นหลัก เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว
- ช่วงสร้างครอบครัว (อายุ 30-45 ปี): เริ่มมีภาระทางการเงินมากขึ้น แต่อาจมีรายได้ที่สูงขึ้นเช่นกัน ควรจัดพอร์ตแบบผสมผสาน โดยอาจมีทั้งกองทุนหุ้นเพื่อการเติบโตและกองทุนผสมเพื่อลดความผันผวน การใช้สิทธิ์ SSF ให้เต็มที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากมีระยะเวลาถือครองสั้นกว่า RMF
- ช่วงใกล้เกษียณ (อายุ 45 ปีขึ้นไป): ควรให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นมากขึ้น อาจพิจารณาสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน RMF ไปยังกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และใช้สิทธิ์ SSF เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อประโยชน์ทางภาษี โดยเลือกลงทุนในกองทุนที่มีความผันผวนไม่สูงนัก
ข้อควรระวังและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
การลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก่อนตัดสินใจ
- ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) สามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตามสภาวะตลาด ซึ่งอาจทำให้พอร์ตการลงทุนขาดทุนได้
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): เงินที่ลงทุนใน SSF และ RMF จะถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขระยะเวลาการถือครอง ไม่สามารถถอนออกมาใช้ก่อนกำหนดได้โดยง่าย หากมีเหตุฉุกเฉินอาจไม่สามารถนำเงินส่วนนี้ออกมาใช้ได้ทันที
- ความเสี่ยงจากการผิดเงื่อนไข: การขายคืนก่อนกำหนดหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนจะส่งผลให้ต้องคืนภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมติดลบได้
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนสิ้นปี: เตรียมพร้อมยื่นภาษี 2568
เพื่อให้การวางแผนภาษีสมบูรณ์แบบ ควรตรวจสอบรายการอื่นๆ และจดจำกำหนดการที่สำคัญ
ตรวจสอบรายการลดหย่อนภาษีอื่นๆ
ก่อนที่จะสรุปยอดเงินลงทุนใน SSF/RMF ควรสำรวจสิทธิ์ลดหย่อนพื้นฐานและสิทธิ์อื่นๆ ที่มีอยู่ให้ครบถ้วนเสียก่อน เพื่อให้การคำนวณฐานภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง รายการลดหย่อนที่สำคัญ ได้แก่:
- ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว: ค่าลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
- เบี้ยประกัน: เบี้ยประกันชีวิต, เบี้ยประกันสุขภาพ, เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย
- เงินบริจาค: เงินบริจาคเพื่อการศึกษา, การกีฬา, การพัฒนาสังคม และเงินบริจาคทั่วไป
กำหนดการสำคัญที่ต้องจดจำ
- วันสุดท้ายของการซื้อกองทุน: โดยทั่วไปคือวันทำการสุดท้ายของปีปฏิทิน ซึ่งสำหรับปี 2567 คือวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ควรตรวจสอบกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ใช้บริการอีกครั้งเพื่อความแน่นอน
- ระยะเวลาการยื่นภาษี: การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) สำหรับปีภาษี 2567 จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกรา