วางแผนภาษี 2569: ส่องมาตรการลดหย่อนใหม่รับปีใหม่
การวางแผนภาษีเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารการเงินส่วนบุคคล โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากภาครัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อภาระภาษีของผู้มีเงินได้ทุกคน บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการวางแผนภาษี 2569 โดยพิจารณาถึงมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์มาตรฐานที่มีอยู่เดิม
- มาตรการใหม่ที่น่าจับตา: นโยบาย Quick Win ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง อาจปรับเปลี่ยนเกณฑ์การลดหย่อนภาษีจากการลงทุน โดยมีเพดานรวมสูงสุด 800,000 บาท และปรับอัตราการหักลดหย่อนตามระดับรายได้
- บัญชี TISA: มีการเสนอให้จัดตั้งบัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุนในหุ้นไทย (Thailand Individual Saving Account) ซึ่งให้สิทธิลดหย่อนภาษีและยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผล/ดอกเบี้ย 200,000 บาทแรก
- สิทธิลดหย่อนมาตรฐานยังคงอยู่: สิทธิลดหย่อนภาษีพื้นฐานสำหรับปีภาษี 2568 (ยื่นปี 2569) เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ครอบครัว, กองทุน RMF, Thai ESG, SSF, และประกัน ยังคงสามารถใช้ได้ตามปกติ
- การวางแผนล่วงหน้าคือหัวใจสำคัญ: การทำความเข้าใจเกณฑ์ใหม่ควบคู่ไปกับสิทธิเดิม และเริ่มวางแผนการลงทุนและการใช้สิทธิ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ภายในปี 2568 จะช่วยให้บริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ภาพรวมมาตรการลดหย่อนภาษีที่ควรรู้ในปี 2569
การวางแผนภาษี 2569: ส่องมาตรการลดหย่อนใหม่รับปีใหม่ ถือเป็นหัวข้อที่ผู้มีเงินได้ทุกคนควรให้ความสนใจตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากเป็นปีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเชิงนโยบายภาษี การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงต้นปี 2569 จะเป็นการคำนวณจากรายได้ที่เกิดขึ้นตลอดปีภาษี 2568 ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้ในปีดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิที่มีอยู่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและช่วยประหยัดภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย
ภาพรวมของการลดหย่อนภาษีในปีนี้ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือสิทธิลดหย่อนมาตรฐานที่ผู้เสียภาษีคุ้นเคยกันดี ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ค่าลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว ไปจนถึงการลงทุนในกองทุนต่างๆ และผลิตภัณฑ์ประกันภัย ส่วนที่สองซึ่งเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง คือข้อเสนอมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ภายใต้นโยบาย Quick Win ที่กระทรวงการคลังกำลังพิจารณา ซึ่งหากมีผลบังคับใช้ จะเป็นการปรับโครงสร้างการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวในประเทศให้มากขึ้น การทำความเข้าใจทั้งสองส่วนนี้จะช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ทางการเงินส่วนบุคคลได้อย่างรอบคอบและสอดคล้องกับเป้าหมายในระยะยาว
เจาะลึกนโยบายใหม่ Quick Win และบัญชี TISA
หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดต่อการวางแผนภาษีปี 2569 คือข้อเสนอ “นโยบาย Quick Win” จากกระทรวงการคลัง ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการออมระยะยาวของประชาชน แม้ว่ารายละเอียดสุดท้ายยังต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่แนวทางที่นำเสนอได้สร้างความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบาย Quick Win ถูกออกแบบมาเพื่อปรับโครงสร้างการลดหย่อนภาษีจากการลงทุน โดยมุ่งเน้นการให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามระดับรายได้ เพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและกระตุ้นการออมในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง
หลักการสำคัญของนโยบายส่งเสริมการออมระยะยาว
หัวใจของนโยบายนี้คือการรวบยอดการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์เพื่อการออมระยะยาวต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันภายใต้เพดานเดียว โดยผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะอยู่ภายใต้เกณฑ์ใหม่นี้ ได้แก่
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
- กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ
- และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เสนอขึ้นมาพร้อมกันคือ บัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุน (TISA)
การรวมศูนย์ลักษณะนี้จะทำให้ผู้เสียภาษีมีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับเพดานของแต่ละผลิตภัณฑ์แยกกันเหมือนในอดีต
เพดานลดหย่อนใหม่และการคำนวณตามฐานรายได้
ตามข้อเสนอเบื้องต้น เพดานการลดหย่อนจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกกำหนดไว้สูงสุดไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการนำเกณฑ์ “ปรับตามรายได้” มาใช้ ซึ่งหมายความว่าจำนวนเงินที่สามารถนำไปหักลดหย่อนได้จริงจะขึ้นอยู่กับระดับเงินได้พึงประเมินของผู้เสียภาษี ดังนี้
| รายได้ต่อปี | อัตราการหักลดหย่อน | ตัวอย่าง (เมื่อลงทุน 100,000 บาท) |
|---|---|---|
| ไม่เกิน 1,500,000 บาท | 1.3 เท่าของเงินลงทุน | สามารถหักลดหย่อนได้ 130,000 บาท (+30%) |
| เกิน 1,500,000 บาท | 0.7 เท่าของเงินลงทุน | สามารถหักลดหย่อนได้ 70,000 บาท (-30%) |
กลไกนี้สะท้อนเจตนาที่ต้องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมากขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนกลุ่มนี้เริ่มต้นหรือเพิ่มการออมเพื่อการเกษียณ ในขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้สูงจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดลงเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ลงทุน
บัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุน (TISA): มิติใหม่ของการลงทุนในหุ้นไทย
ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ถูกเสนอขึ้นมาพร้อมกับนโยบายนี้คือ บัญชี TISA (Thailand Individual Saving Account) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะ จุดเด่นของบัญชี TISA คือการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสองต่อ:
- สิทธิในการลดหย่อนภาษี: เงินที่ลงทุนในบัญชี TISA สามารถนำไปรวมคำนวณเพื่อหักลดหย่อนภาษีภายใต้เพดานรวม 800,000 บาทได้
- การยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย: เงินปันผลหรือดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนผ่านบัญชี TISA จำนวน 200,000 บาทแรกต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%
การเกิดขึ้นของ TISA หากได้รับการอนุมัติ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดทุนไทยพร้อมกับได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กันไป
สถานะล่าสุดและขั้นตอนต่อไป
สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำคือ ณ สิ้นปี 2567 แนวคิดและรายละเอียดทั้งหมดของนโยบาย Quick Win และบัญชี TISA ยังคงเป็น “ข้อเสนอ” ที่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของ ครม.เศรษฐกิจ และ ครม.ชุดใหญ่ เพื่ออนุมัติและประกาศเป็นกฎหมายต่อไป ดังนั้น ผู้เสียภาษีควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 เพื่อให้มีผลบังคับใช้สำหรับปีภาษี 2568 (ยื่นปี 2569)
ทบทวนสิทธิลดหย่อนภาษีมาตรฐานสำหรับปีภาษี 2568
นอกเหนือจากมาตรการใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแล้ว สิทธิลดหย่อนภาษีมาตรฐานสำหรับปีภาษี 2568 (ซึ่งใช้ยื่นในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2569) ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการภาษี ซึ่งผู้มีเงินได้สามารถวางแผนใช้สิทธิ์เหล่านี้ได้ทันที โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้
กลุ่มลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้เสียภาษีทุกคนและครอบครัวจะได้รับ ประกอบด้วย:
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ หรือจดทะเบียนสมรสระหว่างปี
- ค่าลดหย่อนบุตร: คนละ 30,000 บาท (สำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม)
- ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท สำหรับบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส (บิดามารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี)
- ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ: คนละ 60,000 บาท
กลุ่มกองทุนการออมและการลงทุนเพื่ออนาคต
เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงในการวางแผนภาษีควบคู่ไปกับการวางแผนเกษียณ ซึ่งมีวงเงินลดหย่อนแยกตามประเภทกองทุน (ตามเกณฑ์ปัจจุบันก่อนการเปลี่ยนแปลง)
| ประเภทกองทุน/มาตรการ | วงเงินลดหย่อนสูงสุด |
|---|---|
| กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) | 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
| กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG / ESGX) | 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท |
| กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท |
| กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กบข. / กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน | ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
| กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) | ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท |
| เงินสมทบประกันสังคม | ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท |
หมายเหตุ: วงเงินลงทุนใน RMF, SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., กอช. และประกันบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กลุ่มประกันภัย ดอกเบี้ย และรายการอื่นๆ
กลุ่มนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลากหลายประเภทที่สามารถนำมาลดหย่อนได้:
- เบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ: เบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพของตนเอง สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- เบี้ยประกันบำนาญ: ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- เงินบริจาค: สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ (และอาจได้ 2 เท่าสำหรับบางกรณี)
- มาตรการพิเศษของรัฐบาล: เช่น โครงการช้อปปิ้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องติดตามประกาศเป็นรายปี
กลยุทธ์การวางแผนภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การมีข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนทั้งเก่าและใหม่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การนำข้อมูลเหล่านั้นมาวางเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของตนเองคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพื่อให้การประหยัดภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการทำความเข้าใจภาษีอัตราก้าวหน้า
ระบบภาษีของไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า หมายความว่ายิ่งมี “เงินได้สุทธิ” (รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) สูงเท่าไหร่ อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย (ตั้งแต่ 5% ถึง 35%) ดังนั้น เป้าหมายหลักของการใช้สิทธิลดหย่อนคือการทำให้เงินได้สุทธิลดลงมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ฐานในการคำนวณภาษีอยู่ในขั้นบันไดที่ต่ำลง หรือเสียภาษีในอัตราที่น้อยลงนั่นเอง ทุกๆ บาทของค่าลดหย่อนที่ใช้ไป จะช่วยลดภาระภาษีได้โดยตรงตามอัตราภาษีสูงสุดที่ตนเองต้องเสีย
ขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับยื่นภาษีปี 2569
- ประเมินรายได้ทั้งปี: คำนวณรายได้พึงประเมินทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 เพื่อให้เห็นภาพรวมของฐานภาษีเบื้องต้น
- สำรวจสิทธิลดหย่อนพื้นฐาน: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัวที่สามารถใช้ได้ทั้งหมด
- วางแผนการลงทุนและการออม: กำหนดจำนวนเงินที่จะลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีต่างๆ (RMF, SSF, Thai ESG) และประกันภัย โดยพิจารณาทั้งเป้าหมายการเงินและความสามารถในการลงทุน
- ติดตามนโยบายใหม่: ติดตามความคืบหน้าของนโยบาย Quick Win อย่างใกล้ชิด หากมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ต้องรีบปรับแผนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่และใช้สิทธิ์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- รวบรวมเอกสาร: เตรียมเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ เช่น หนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุน, ใบเสร็จเบี้ยประกัน, ใบเสร็จรับเงินบริจาค ไว้ให้พร้อมสำหรับการยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2569
การเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้มีเวลาในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม และสามารถทยอยลงทุนหรือใช้จ่ายเพื่อรับสิทธิ์ได้อย่างไม่กดดันในช่วงปลายปี
บทสรุปและแนวทางปฏิบัติ
การวางแผนภาษีสำหรับปี 2569 เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความใส่ใจในรายละเอียดและการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญจากภาครัฐ นโยบาย Quick Win และการนำเสนอบัญชี TISA ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางการส่งเสริมการออมระยะยาวที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ซึ่งอาจเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้เสียภาษี ในขณะเดียวกัน สิทธิลดหย่อนมาตรฐานยังคงเป็นเครื่องมือหลักที่ทุกคนสามารถใช้เพื่อบริหารจัดการภาระภาษีของตนเองได้
ดังนั้น ผู้มีเงินได้ควรเริ่มต้นจากการทบทวนสิทธิลดหย่อนพื้นฐานที่ตนเองมี และวางแผนการลงทุนในผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีตามเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ควบคู่ไปกับการติดตามความชัดเจนของมาตรการใหม่ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันท่วงที การเตรียมความพร้อมตั้งแต่บัดนี้ จะทำให้การยื่นภาษีในปี 2569 เป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับองค์กรหรือแบรนด์ที่กำลังมองหาผู้ผลิตเสื้อผ้าคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าพิมพ์ลาย เสื้อกีฬา หรือเสื้อสำหรับองค์กร เพื่อสร้างเอกลักษณ์และตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สามารถ ติดต่อเรา ได้ที่ KDC SPORT ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการรับผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการรับผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ
ที่อยู่: 888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ: 094-295-9898


