“`html
ลาก่อนแผงผัก! ซูเปอร์ฯดังปลูกเองในห้าง
- ภาพรวมของนวัตกรรมเกษตรในเมือง
- บทนำสู่ยุคใหม่ของการเลือกซื้อของสด
- เจาะลึกเทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้ง: หัวใจของการเปลี่ยนแปลง
- AI ปลูกผัก: ความฉลาดเบื้องหลังความสดใหม่
- ผลกระทบต่อระบบนิเวศธุรกิจและวิถีชีวิต
- เปรียบเทียบเกษตรกรรมในห้างกับเกษตรกรรมดั้งเดิม
- อนาคตเกษตรกรรมในมหานครกรุงเทพฯ และเมืองอื่นๆ
- บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นในวงการค้าปลีกและเกษตรกรรม เมื่อแนวคิดเรื่อง ลาก่อนแผงผัก! ซูเปอร์ฯดังปลูกเองในห้าง เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น นวัตกรรมนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูงและพื้นที่ค้าปลีกสมัยใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์การเลือกซื้อที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในด้านความสดใหม่และความปลอดภัยของอาหาร
ภาพรวมของนวัตกรรมเกษตรในเมือง
- การนำฟาร์มแนวตั้งมาใช้ในพื้นที่ค้าปลีก: เทคโนโลยีการปลูกพืชในชั้นซ้อนแนวตั้งภายในอาคาร ช่วยให้สามารถผลิตผักสดได้ในใจกลางเมือง ลดระยะทางการขนส่งจากฟาร์มสู่ผู้บริโภคให้เหลือศูนย์
- เทคโนโลยี AI และ IoT: ปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพแวดล้อมการเพาะปลูก ทั้งแสง อุณหภูมิ ความชื้น และสารอาหาร เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูงสุด
- ผักปลอดสารพิษและความโปร่งใส: ผู้บริโภคสามารถเห็นกระบวนการเพาะปลูกได้ด้วยตาตนเอง สร้างความมั่นใจในความสะอาด ปลอดภัย และไร้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
- ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน: โมเดลธุรกิจนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรคู่ค้าดั้งเดิมและโครงสร้างของตลาดค้าส่งผักผลไม้ในระยะยาว
- อนาคตเกษตรกรรมที่ยั่งยืน: การทำฟาร์มในเมืองช่วยลดการใช้น้ำ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง และเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากรในเขตเมือง
บทนำสู่ยุคใหม่ของการเลือกซื้อของสด
แนวคิดเรื่อง ลาก่อนแผงผัก! ซูเปอร์ฯดังปลูกเองในห้าง ไม่ใช่เพียงจินตนาการอีกต่อไป แต่เป็นภาพสะท้อนของอนาคตที่เทคโนโลยีกำลังจะเปลี่ยนวิถีการผลิตและบริโภคอาหารของเราไปอย่างสิ้นเชิง ในยุคที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น การเข้าถึงผักสดที่เพิ่งเด็ดจากต้นเพียงไม่กี่นาทีก่อนนำไปปรุงอาหาร ถือเป็นที่สุดของความสดใหม่และคุณค่าทางโภชนาการ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้ง (Vertical Farming) และระบบควบคุมอัจฉริยะด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งทำให้การทำเกษตรกรรมในพื้นที่จำกัดอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตกลายเป็นความจริงได้
ปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภคในเขตเมืองที่ต้องการความโปร่งใสในแหล่งที่มาของอาหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มองหาจุดขายใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง และแม้กระทั่งนักวางผังเมืองที่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังส่งสัญญาณถึงการปฏิวัติเงียบที่อาจปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและค้าปลีกไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างตรงจุด
เจาะลึกเทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้ง: หัวใจของการเปลี่ยนแปลง
การจะเข้าใจถึงศักยภาพของการปลูกผักในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น จำเป็นต้องทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานสำคัญ นั่นคือ “ฟาร์มแนวตั้ง” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ทลายข้อจำกัดของการเกษตรแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง
ฟาร์มแนวตั้ง (Vertical Farming) คืออะไร?
ฟาร์มแนวตั้ง คือ รูปแบบการทำเกษตรกรรมในร่ม (Indoor Farming) โดยปลูกพืชซ้อนกันเป็นชั้นๆ ในแนวตั้ง แทนที่จะเป็นการปลูกบนพื้นดินในแนวราบเหมือนเกษตรกรรมทั่วไป ระบบนี้มักจะใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ทั้งหมด (Controlled Environment Agriculture – CEA) ซึ่งหมายความว่าปัจจัยการเจริญเติบโตทุกอย่าง เช่น แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น คาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหาร จะถูกควบคุมอย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยี
แทนที่จะใช้ดิน ระบบฟาร์มแนวตั้งมักใช้เทคนิคการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics – รากแช่ในสารละลายธาตุอาหาร), แอโรโปนิกส์ (Aeroponics – ฉีดพ่นสารละลายธาตุอาหารที่รากโดยตรง), หรืออควาโปนิกส์ (Aquaponics – ระบบผสมผสานการเลี้ยงสัตว์น้ำกับการปลูกพืช) ซึ่งช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า 90% เมื่อเทียบกับการเกษตรแบบดั้งเดิม
ฟาร์มแนวตั้งไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการปลูกพืชจากแนวราบเป็นแนวตั้ง แต่ยังเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการพึ่งพาดินฟ้าอากาศไปสู่การเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริง
- ระบบแสงสว่าง (Artificial Lighting): เนื่องจากเป็นการปลูกในอาคาร แสงอาทิตย์จึงถูกแทนที่ด้วยหลอดไฟ LED ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ สามารถปรับความยาวคลื่นและช่วงเวลาการให้แสงให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิดในแต่ละช่วงการเจริญเติบโตได้ เพื่อกระตุ้นการสังเคราะห์แสงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
- ระบบควบคุมสภาพอากาศ (HVAC System): ระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ซับซ้อนจะควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการไหลเวียนของอากาศภายในฟาร์มให้คงที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตและป้องกันการเกิดโรคพืช
- ระบบการให้น้ำและสารอาหาร: ระบบอัตโนมัติจะผสมและส่งสารละลายธาตุอาหารที่จำเป็นไปยังรากพืชตามตารางเวลาที่กำหนดอย่างแม่นยำ ทำให้พืชได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสม่ำเสมอ
- โครงสร้างและชั้นวาง (Vertical Racks): ชั้นวางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับถาดเพาะปลูกในแนวตั้ง ช่วยให้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด และมักมีระบบอัตโนมัติในการเคลื่อนย้ายถาดเพาะปลูกเพื่อการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว
AI ปลูกผัก: ความฉลาดเบื้องหลังความสดใหม่
หากฟาร์มแนวตั้งคือ “ร่างกาย” ของการเกษตรในห้าง ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็เปรียบเสมือน “สมอง” ที่คอยควบคุมและสั่งการให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยี AI ปลูกผัก คือตัวแปรสำคัญที่ยกระดับการทำฟาร์มในร่มไปอีกขั้น
บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในฟาร์มอัจฉริยะ
AI ในบริบทนี้คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝึกให้เรียนรู้และตัดสินใจจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เก็บรวบรวมมาจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ทั่วทั้งฟาร์ม โดยมีบทบาทหลักดังนี้:
- การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: เซ็นเซอร์ IoT จะเก็บข้อมูลทุกอย่าง ตั้งแต่ค่า pH ของน้ำ, ปริมาณธาตุอาหาร, อุณหภูมิ, ความชื้น, ระดับ CO2 ไปจนถึงสุขภาพของพืชผ่านกล้องวิทัศน์คอมพิวเตอร์ (Computer Vision) ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปยัง AI เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบและแนวโน้มที่ผิดปกติ
- การปรับสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ: เมื่อ AI ตรวจพบว่าค่าใดค่าหนึ่งเริ่มเบี่ยงเบนไปจากสภาวะที่เหมาะสมที่สุด มันจะสั่งการให้ระบบต่างๆ ปรับการทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น หากความชื้นต่ำเกินไป ระบบจะสั่งเปิดเครื่องทำความชื้น หรือหากพืชเริ่มแสดงอาการขาดธาตุอาหาร ระบบจะสั่งปรับส่วนผสมในสารละลายทันที
- การคาดการณ์ผลผลิต: ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการเจริญเติบโตในอดีต AI สามารถคาดการณ์ปริมาณและวันที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ซูเปอร์มาร์เก็ตสามารถวางแผนการจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตรวจจับโรคและศัตรูพืช: ระบบกล้องที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถสแกนใบพืชแต่ละใบเพื่อตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคหรือการระบาดของศัตรูพืชได้ก่อนที่มนุษย์จะสังเกตเห็น ทำให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะลุกลาม
การเพิ่มประสิทธิภาพและลดความผิดพลาด
การใช้ AI ช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในการตัดสินใจที่ซับซ้อนและต้องทำซ้ำๆ ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ระบบ AI สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่ AI รวบรวมและเรียนรู้จะถูกนำไปพัฒนากระบวนการเพาะปลูกให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในรอบถัดๆ ไป (Machine Learning) สร้างวงจรของการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด
ผลกระทบต่อระบบนิเวศธุรกิจและวิถีชีวิต
การนำฟาร์มแนวตั้งเข้ามาไว้ใน ซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการสั่นสะเทือนระบบนิเวศทั้งหมด ตั้งแต่พฤติกรรมผู้บริโภคไปจนถึงโครงสร้างของอุตสาหกรรมเกษตรกรรม
มิติใหม่สำหรับผู้บริโภค
สำหรับผู้บริโภค นี่คือการยกระดับประสบการณ์การซื้อของไปอีกขั้น:
- ความสดใหม่ขั้นสูงสุด: สามารถเลือกเด็ดผักสลัดหรือสมุนไพรสดๆ จากชั้นวางเพาะปลูกได้ด้วยตัวเอง ลดระยะเวลาจาก “ฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร” (Farm-to-Table) ให้เหลือเพียงไม่กี่นาที
- ความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ: สามารถเห็นกระบวนการปลูกทั้งหมด ทำให้มั่นใจได้ว่าผักที่เลือกซื้อเป็น ผักปลอดสารพิษ อย่างแท้จริง ไม่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลงเจือปน
- การศึกษาและความบันเทิง: ฟาร์มในห้างยังทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงโต้ตอบสำหรับครอบครัวและเด็กๆ เกี่ยวกับที่มาของอาหารและเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่
- ลดขยะอาหาร (Food Waste): การปลูกตามความต้องการและการเก็บเกี่ยว ณ จุดขาย ช่วยลดการเน่าเสียของผลิตผลที่เกิดจากการขนส่งและการเก็บรักษาสต็อกเป็นเวลานาน
ความท้าทายของเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานดั้งเดิม
ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานแบบเดิม เกษตรกรที่เคยส่งผักให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตอาจสูญเสียคู่ค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ปลูกพืชที่สามารถผลิตได้ง่ายในฟาร์มแนวตั้ง เช่น ผักสลัดใบเขียวและสมุนไพรต่างๆ ตลาดกลางค้าส่งและระบบโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน การปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะต้องหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ยังไม่สามารถปลูกในระบบปิดได้ หรือพัฒนาคุณภาพและสร้างแบรนด์ของตนเองให้โดดเด่นเพื่อแข่งขัน
โอกาสทางธุรกิจสำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต
สำหรับธุรกิจค้าปลีก การลงทุนในฟาร์มแนวตั้งถือเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจน:
- การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์: แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ความใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภค และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
- การลดต้นทุนระยะยาว: แม้การลงทุนเริ่มต้นจะสูง แต่ในระยะยาวสามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การจัดเก็บ และการสูญเสียของผลิตผลได้
- การควบคุมอุปทานและราคา: สามารถผลิตผักได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ ทำให้สามารถควบคุมปริมาณและรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพได้
- การสร้างรายได้จากโมเดลใหม่: อาจพัฒนาเป็นรูปแบบการสมัครสมาชิก (Subscription) สำหรับผักสด หรือการจัดเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการปลูกผักในเมือง
เปรียบเทียบเกษตรกรรมในห้างกับเกษตรกรรมดั้งเดิม
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างสองแนวทางอย่างชัดเจน สามารถเปรียบเทียบในมิติต่างๆ ได้ดังตารางต่อไปนี้
คุณลักษณะ | ฟาร์มแนวตั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต | เกษตรกรรมดั้งเดิม |
---|---|---|
การใช้พื้นที่ | น้อยมาก ผลผลิตต่อตารางเมตรสูง | ใช้พื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ |
การใช้น้ำ | น้อยกว่า 90-95% (ระบบหมุนเวียน) | สูง มีการสูญเสียจากการระเหยและไหลซึม |
การใช้สารเคมี | ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช | มักจะต้องใช้เพื่อควบคุมศัตรูพืชและวัชพืช |
ระยะทางขนส่ง (Food Miles) | เป็นศูนย์หรือใกล้เคียงศูนย์ | ไกล ตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยกิโลเมตร |
ผลกระทบจากฤดูกาล | ไม่มี สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี | ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสภาพอากาศโดยตรง |
ความสดใหม่ | สูงสุด เก็บเกี่ยว ณ จุดขาย | ลดลงตามระยะเวลาในการขนส่งและจัดเก็บ |
ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น | สูงมาก (ค่าเทคโนโลยีและโครงสร้าง) | ต่ำกว่า (ค่าที่ดินและเครื่องมือพื้นฐาน) |
การใช้พลังงาน | สูง (ต้องใช้ไฟฟ้าสำหรับแสงสว่างและระบบควบคุม) | ต่ำ (ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก) |
อนาคตเกษตรกรรมในมหานครกรุงเทพฯ และเมืองอื่นๆ
การเกิดขึ้นของฟาร์มในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเทรนด์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือ อนาคตเกษตรกรรม ที่จะถูกผนวกรวมเข้ากับภูมิทัศน์ของเมืองอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะในมหานครอย่างกรุงเทพมหานครที่มีประชากรหนาแน่นและพื้นที่สีเขียวจำกัด
ความยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร
ในระยะยาว การทำเกษตรในเมือง (Urban Agriculture) ด้วยเทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้กับประชากรเมือง ช่วยลดการพึ่งพาอาหารที่ขนส่งมาจากพื้นที่ชนบทห่างไกล ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบโลจิสติกส์หรือภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติในหลายๆ ด้าน ทั้งการลดความหิวโหย การส่งเสริมเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม
อย่างไรก็ตาม การขยายแนวคิดนี้ให้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยยังคงมีความท้าทายหลายประการ:
- ต้นทุนการลงทุนและพลังงาน: การติดตั้งระบบฟาร์มแนวตั้งที่ใช้ AI ควบคุมมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงมาก นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินงานก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในบริบทของประเทศไทย
- ความรู้และทักษะ: การบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจทั้งด้านพืชศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งยังเป็นบุคลากรที่ขาดแคลน
- ความหลากหลายของพืช: ในปัจจุบัน เทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้งยังเหมาะสมกับพืชบางประเภทเท่านั้น โดยเฉพาะผักใบเขียวและสมุนไพร การปลูกพืชหัวหรือผลไม้ยังคงมีข้อจำกัดและไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์
- การยอมรับของผู้บริโภค: แม้แนวโน้มจะดี แต่ยังต้องมีการให้ความรู้เพื่อให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจถึงคุณค่าและยอมรับราคาที่อาจสูงกว่าผักทั่วไปในตลาด
บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
ปรากฏการณ์ “ลาก่อนแผงผัก! ซูเปอร์ฯดังปลูกเองในห้าง” เป็นมากกว่าแค่กระแสชั่วคราว แต่มันคือสัญญาณบ่งชี้ถึงการบรรจบกันของเทคโนโลยี ความต้องการของผู้บริโภค และความจำเป็นในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนสำหรับโลกอนาคต การนำฟาร์มแนวตั้งที่ควบคุมด้วย AI มาติดตั้งในพื้นที่ค้าปลีกได้มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในด้านความสดใหม่ ความปลอดภัย และความโปร่งใส ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ให้กับห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ศักยภาพในการปฏิวัติวิถีการผลิตและบริโภคอาหารในเขตเมืองนั้นมีอยู่มหาศาล การเดินทางจากฟาร์มสู่ชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตที่เคยใช้เวลาหลายวันกำลังจะถูกย่นย่อลงเหลือเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับอนาคตเกษตรกรรมที่ทั้งชาญฉลาด สดใหม่ และอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่เคยเป็นมา
“`