Shopping cart

กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่! รู้ก่อนสิ้นปี 2568

สารบัญ

เข้าสู่ช่วงปลายปี 2568 การวางแผนภาษีถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา และในปีนี้มีเครื่องมือใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่! รู้ก่อนสิ้นปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยกองทุน Thai ESG และกองทุนพิเศษ Thai ESGX ที่เข้ามาเพิ่มทางเลือกและขยายเพดานการลดหย่อนภาษีให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของกองทุนเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการภาษีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

  • ในปีภาษี 2568 มีการเปิดตัวกองทุนลดหย่อนภาษีกลุ่มใหม่ คือ Thai ESG และกองทุนพิเศษ Thai ESGX ซึ่งมีวงเงินลดหย่อนแยกต่างหากจากกองทุนเพื่อการเกษียณอายุกลุ่มเดิม
  • การมาของกองทุนใหม่ทำให้เพดานการลดหย่อนภาษีรวมจากกองทุนทุกประเภทเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิได้สูงสุดถึงประมาณ 1.4 ล้านบาท หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • กองทุน Thai ESG เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ไทยที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Environment, Social, Governance) โดยมีเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีปฏิทิน
  • กองทุน Thai ESGX เป็นมาตรการพิเศษเฉพาะปี 2568 ที่มีกรอบเวลาการลงทุนจำกัด และเปิดโอกาสให้สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เดิมมาเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อได้
  • การวางแผนที่ดีจำเป็นต้องพิจารณาทั้งฐานเงินได้ เพดานลดหย่อน 30% ของแต่ละกองทุน และเงื่อนไขการถือครองที่แตกต่างกัน เพื่อให้การลงทุนและการลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด

ภาพรวมกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568: มีอะไรใหม่?

กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่! รู้ก่อนสิ้นปี 2568 - new-tax-deduction-fund-2025

สำหรับปีภาษี 2568 โครงสร้างของกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การมาถึงของ กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่! รู้ก่อนสิ้นปี 2568 ได้สร้างมิติใหม่ให้กับการวางแผนภาษี โดยเฉพาะกองทุน Thai ESG (Thailand ESG Fund) และกองทุนพิเศษอย่าง Thai ESGX (Thai ESG Extra) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืนในประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านตลาดทุน

ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อยู่ที่การแยกวงเงินลดหย่อนออกจากกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณอายุแบบดั้งเดิม ซึ่งประกอบด้วย กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ ในอดีต กองทุนเหล่านี้จะถูกนับรวมอยู่ในเพดานเดียวกันที่ไม่เกิน 500,000 บาท แต่นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา กองทุน Thai ESG ได้รับวงเงินลดหย่อนเพิ่มเติมเป็นของตัวเอง และในปี 2568 ก็มี Thai ESGX เข้ามาเสริมอีกทอดหนึ่ง ทำให้ผู้เสียภาษีที่มีศักยภาพสามารถขยายขอบเขตการลดหย่อนภาษีได้มากกว่าเดิมอย่างชัดเจน

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีในช่วงปลายปี 2568 จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจโครงสร้างของกองทุนทั้ง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (ดั้งเดิม): นำโดย RMF ซึ่งยังคงเป็นเครื่องมือหลักสำหรับผู้ที่วางแผนการเงินระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ
  2. กลุ่มกองทุน Thai ESG / TESG: กองทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวเลือกหลักตัวใหม่ที่มาพร้อมวงเงินลดหย่อนแยกต่างหาก
  3. กลุ่มกองทุน Thai ESGX: กองทุนพิเศษเฉพาะปี 2568 ที่มีเงื่อนไขและกรอบเวลาการลงทุนที่จำกัด แต่ให้สิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ รวมถึงการเปิดช่องให้ย้ายเงินจาก LTF เดิมได้

การทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละกลุ่ม ทั้งในด้านวงเงินลดหย่อน เงื่อนไขการถือครอง และนโยบายการลงทุน จะช่วยให้สามารถจัดสรรเงินลงทุนได้อย่างเหมาะสมและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เจาะลึกกองทุนแต่ละประเภท: วางแผนอย่างไรให้เหมาะสม

เพื่อให้การวางแผนภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาข้อมูลเชิงลึกของกองทุนแต่ละประเภทเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่กองทุนดั้งเดิมอย่าง RMF ไปจนถึงกองทุนน้องใหม่อย่าง Thai ESG และ Thai ESGX ซึ่งแต่ละประเภทมีรายละเอียดและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป

RMF: กองทุนเพื่อการเกษียณอายุฉบับทบทวน

แม้จะไม่ใช่กองทุนใหม่ แต่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนภาษีและแผนเกษียณอายุสำหรับปี 2568 การทบทวนเงื่อนไขจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สิทธิลดหย่อนและวงเงินรวม: ผู้ลงทุนสามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนใน RMF มาหักลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในปีนั้นๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือวงเงินนี้จะต้องนำไปนับรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ซึ่งได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กบข., กอช., และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยยอดรวมของทุกรายการในกลุ่มนี้จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เงื่อนไขการถือครองที่สำคัญ: RMF มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านการออมระยะยาว ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม (นับแบบวันชนวัน) นับจากวันที่ซื้อครั้งแรก และจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขเมื่อผู้ลงทุนมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (เช่น ซื้อปีเว้นปี) เพื่อรักษาสถานะและสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ RMF จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มุ่งมั่นกับการออมเพื่อวัยเกษียณและยอมรับการล็อกเงินลงทุนในระยะยาวได้

Thai ESG / TESG: ดาวเด่นดวงใหม่แห่งการลงทุนยั่งยืน

กองทุน Thai ESG หรือ TESG (Thailand ESG Fund) คือกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ที่เข้ามามีบทบาทอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2567 และต่อเนื่องมาถึงปี 2568 โดยเข้ามาแทนที่บทบาทของ LTF ในอดีต แต่เปลี่ยนจุดเน้นมาที่การสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment, Social, and Governance)

สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESG: จุดเด่นที่สุดของ Thai ESG คือการมีวงเงินลดหย่อนเป็นของตัวเอง ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่กำหนดเพดานสูงสุดไว้ที่ 300,000 บาทต่อปี วงเงินนี้ไม่ถูกนำไปรวมกับกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (RMF และพวก) ซึ่งหมายความว่า หากผู้มีเงินได้ใช้สิทธิกลุ่ม RMF เต็มเพดาน 500,000 บาทแล้ว ก็ยังสามารถซื้อกองทุน Thai ESG เพื่อลดหย่อนเพิ่มได้อีกสูงสุด 300,000 บาท ทำให้ยอดลดหย่อนจากสองกลุ่มนี้รวมกันอาจสูงถึง 800,000 บาทในปีเดียว

เงื่อนไขการลงทุนและการถือครอง: เงื่อนไขของ Thai ESG มีความยืดหยุ่นกว่า RMF ในบางประการ โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน (นับแบบปี พ.ศ.) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะสั้นกว่าการนับแบบวันชนวัน นอกจากนี้ กองทุน Thai ESG ยังไม่มีเงื่อนไขบังคับให้ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี สามารถเลือกซื้อในปีที่ต้องการใช้สิทธิได้เลย นโยบายการลงทุนของกองทุนจะมุ่งเน้นไปที่หุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทในประเทศไทยที่ผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

Thai ESGX: กองทุนพิเศษเฉพาะกิจแห่งปี 2568

Thai ESGX (Thai ESG Extra) คือมาตรการกระตุ้นการลงทุนล่าสุดที่ออกมาสำหรับปี 2568 โดยเฉพาะ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในกองทุนยั่งยืนเพิ่มเติม และที่สำคัญคือการเปิดทางเลือกให้ผู้ที่เคยลงทุนในกองทุน LTF เดิมสามารถย้ายเงินลงทุนมายังกองทุนใหม่นี้ได้โดยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อเนื่อง

โครงสร้างวงเงินลดหย่อน 2 ส่วนของ Thai ESGX: สิทธิประโยชน์ของ Thai ESGX มีความซับซ้อนกว่ากองทุนอื่น โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก

  1. วงเงินจากเงินลงทุนใหม่: สำหรับเงินที่ลงทุนใหม่ในปี 2568 จะได้รับสิทธิลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท วงเงินนี้แยกต่างหากจากกลุ่ม RMF และ Thai ESG ปกติเช่นกัน
  2. วงเงินจากการสับเปลี่ยน LTF เดิม: สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ที่ครบกำหนดเงื่อนไขแล้วมายัง Thai ESGX จะได้รับสิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมสูงสุดถึง 500,000 บาท แต่มีเงื่อนไขการเฉลี่ยการใช้สิทธิ ส่วนที่เกิน 300,000 บาทแรก จะต้องทยอยนำไปใช้สิทธิลดหย่อนในปีถัดๆ ไป (2569–2572) ในอัตราไม่เกินปีละ 50,000 บาท

ตัวอย่างเช่น: หากมีการสับเปลี่ยนเงินจาก LTF มายัง Thai ESGX จำนวน 380,000 บาท ในปี 2568 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ 300,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 80,000 บาท จะถูกนำไปเฉลี่ยใช้สิทธิลดหย่อนในปี 2569, 2570, 2571 และ 2572 ปีละ 20,000 บาท

เงื่อนไขด้านเวลาที่ต้องระวัง: สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Thai ESGX คือกรอบเวลาการลงทุน เนื่องจากเป็นมาตรการพิเศษ การลงทุนทั้งในส่วนของเงินใหม่และการสับเปลี่ยนจาก LTF จะต้องดำเนินการภายในช่วงเวลาที่กำหนด คือระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว กองทุนประเภทนี้จะปิดรับเงินลงทุนใหม่ทันที

สรุปเปรียบเทียบวงเงินและเงื่อนไขกองทุนลดหย่อนภาษี

เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและง่ายต่อการตัดสินใจ การเปรียบเทียบคุณสมบัติหลักของกองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทในปี 2568 เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ตารางด้านล่างนี้สรุปประเด็นสำคัญทั้งในด้านวงเงิน สิทธิลดหย่อน และเงื่อนไขการถือครองของกองทุนแต่ละกลุ่ม

ตารางเปรียบเทียบกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทต่างๆ สำหรับปีภาษี 2568
ประเภทกองทุน สิทธิลดหย่อนสูงสุด (บาท) เพดาน (% ของเงินได้) เงื่อนไขหลัก
RMF (และกลุ่มเกษียณ) 500,000 (รวมกับ PVD, กบข. ฯลฯ) ไม่เกิน 30% ถืออย่างน้อย 5 ปี (วันชนวัน), ขายได้เมื่ออายุ 55 ปี, ต้องซื้อต่อเนื่อง
Thai ESG / TESG 300,000 (วงเงินแยก) ไม่เกิน 30% ถืออย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน, ไม่ต้องซื้อต่อเนื่อง
Thai ESGX (เงินใหม่) 300,000 (วงเงินแยก) ไม่เกิน 30% ถืออย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน, ลงทุน 1 พ.ค.–30 มิ.ย. 68 เท่านั้น
Thai ESGX (สับเปลี่ยน LTF) สูงสุด 500,000 (ทยอยใช้สิทธิ) ไม่มีเพดาน % ของเงินได้ ถืออย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน, สับเปลี่ยน 1 พ.ค.–30 มิ.ย. 68 เท่านั้น

จากข้อมูลในตาราง จะเห็นได้ว่าหากผู้เสียภาษีมีรายได้สูงเพียงพอและวางแผนอย่างรอบคอบ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุนรวมทั้งหมดได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การใช้สิทธิจากกลุ่ม RMF เต็มจำนวน 500,000 บาท, Thai ESG อีก 300,000 บาท และ Thai ESGX (จากเงินใหม่) อีก 300,000 บาท รวมแล้วเฉพาะสามส่วนนี้ก็สามารถลดหย่อนได้ถึง 1,100,000 บาท และหากมีส่วนที่สับเปลี่ยนจาก LTF เข้ามาอีก ก็จะทำให้ยอดรวมสูงสุดอาจแตะระดับ 1.4 ล้านบาทได้ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบางสำนักประเมินไว้

กลยุทธ์การลงทุนโค้งสุดท้ายเพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุด

เมื่อเข้าใจถึงรายละเอียดของกองทุนแต่ละประเภทแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อให้ทันการณ์ก่อนสิ้นสุดปีภาษี 2568 การวางแผนที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดภาษีได้สูงสุด แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ขั้นตอนการวางแผนลงทุน

การวางแผนอย่างเป็นระบบจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ โดยสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนพื้นฐานดังนี้

  1. ประเมินเงินได้พึงประเมิน: คำนวณรายได้ทั้งปีของตนเองเพื่อหาฐานในการคำนวณเพดาน 30% ของแต่ละกองทุน การทราบตัวเลขนี้จะทำให้รู้ว่าสามารถลงทุนใน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX (ส่วนเงินใหม่) ได้สูงสุดเป็นจำนวนเงินเท่าใด
  2. ตรวจสอบสิทธิคงเหลือในกลุ่มเกษียณ: ตรวจสอบยอดเงินที่ส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือ กบข. ในปีนั้นๆ รวมถึงเบี้ยประกันบำนาญที่จ่ายไป เพื่อคำนวณหาวงเงินที่ยังเหลืออยู่สำหรับลงทุนใน RMF ภายในเพดานรวม 500,000 บาท
  3. จัดสรรเงินลงทุนเป็น 3 ส่วน: แบ่งเงินลงทุนออกเป็น 3 ก้อนหลักตามประเภทของกองทุน ได้แก่
    ก้อนที่ 1 (เพื่อการเกษียณ): สำหรับ RMF โดยเติมให้เต็มวงเงิน 500,000 บาทที่เหลืออยู่
    ก้อนที่ 2 (เพื่อความยั่งยืน): สำหรับ Thai ESG / TESG โดยพิจารณาลงทุนสูงสุด 300,000 บาท (แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้)
    ก้อนที่ 3 (โอกาสพิเศษ): สำหรับ Thai ESGX (หากยังอยู่ในกรอบเวลาที่ลงทุนได้) ทั้งในส่วนของเงินใหม่และการสับเปลี่ยนจาก LTF
  4. ทบทวนเงื่อนไขระยะเวลา: ตรวจสอบและยอมรับเงื่อนไขการถือครองของแต่ละกองทุน RMF มีเงื่อนไขอายุ 55 ปีและถือ 5 ปี ขณะที่ Thai ESG และ Thai ESGX มีเงื่อนไขถือครอง 5 ปีปฏิทิน ซึ่งต้องวางแผนสภาพคล่องให้สอดคล้องกัน

การเลือกสินทรัพย์ตามระดับความเสี่ยง

กองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง การเลือกกองทุนจึงควรสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้

  • สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ: อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนหรือพันธบัตรรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน กองทุนเหล่านี้มักมีความเสี่ยงอยู่ในระดับ 3 ซึ่งมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนหุ้น
  • สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง: สามารถเลือกลงทุนใน RMF หรือ Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่สูงขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างกองทุนที่มักถูกกล่าวถึงในกลุ่มนี้ได้แก่ กองทุน RMF ที่ลงทุนในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เช่น Nasdaq หรือ S&P 500

สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) ของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน สัดส่วนสินทรัพย์ ค่าธรรมเนียม และผลการดำเนินงานในอดีต ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

บทสรุปและแนวทางการตัดสินใจก่อนสิ้นปี

ปี 2568 นับเป็นปีแห่งโอกาสสำหรับผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา การมาถึงของ กองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่! รู้ก่อนสิ้นปี 2568 โดยเฉพาะ Thai ESG และ Thai ESGX ได้เปิดประตูสู่การขยายเพดานลดหย่อนภาษีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การทำความเข้าใจในโครงสร้างวงเงินที่แยกจากกันระหว่างกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณและกลุ่มกองทุนเพื่อความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ผู้ลงทุนควรเริ่มต้นจากการประเมินฐานเงินได้ของตนเอง เพื่อคำนวณสิทธิลดหย่อนสูงสุดที่สามารถใช้ได้ในแต่ละประเภทกองทุน จากนั้นจึงจัดสรรเงินลงทุนตามลำดับความสำคัญ โดยพิจารณาเติมเต็มกลุ่มกองทุน RMF ก่อน แล้วจึงพิจารณากองทุน Thai ESG และ Thai ESGX ตามลำดับ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเงื่อนไขเรื่องกรอบเวลาการลงทุนที่จำกัดของ Thai ESGX และเงื่อนไขการถือครองระยะยาวของทุกกองทุน การเลือกนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

สำหรับการวางแผนด้านอื่น ๆ หรือการจัดทำเสื้อทีมและเสื้อองค์กรเพื่อกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงสิ้นปี สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ KDC SPORT รับผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าพิมพ์ลาย เสื้อผ้ากีฬา เสื้อองค์กร เสื้อยืด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และยังรับผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆอีกมายมาย สามารถ ติดต่อเรา เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

ที่อยู่ของเรา
888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000

เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
094-295-9898

สั่งเสื้อ

ธันวาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031