ค่าไฟงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค. 68) ขึ้นหรือลง? เช็คที่นี่
บทความนี้จะให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ นั่นคือ ค่าไฟงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค. 68) ขึ้นหรือลง? เช็คที่นี่ โดยอ้างอิงจากการประกาศอย่างเป็นทางการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของทุกครัวเรือนและภาคธุรกิจ การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้
- ค่าไฟลดลงเล็กน้อย: อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 จะปรับลดลงเหลือประมาณ 3.94 บาทต่อหน่วย
- การปรับลดค่า Ft: สาเหตุหลักมาจากการลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ลง 4 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมประมาณ 19.72 สตางค์ เหลือ 19.68 สตางค์ต่อหน่วย
- นโยบายภาครัฐ: การตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
- เป้าหมายการควบคุมราคา: การดำเนินการนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมอัตราค่าไฟฟ้าไม่ให้เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย
- มีผล 4 เดือน: อัตราค่าไฟฟ้าใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2568
ภาพรวมอัตราค่าไฟฟ้า ก.ย. – ธ.ค. 2568
ในช่วงปลายปี 2568 ประชาชนและผู้ประกอบการจะได้รับข่าวดีเกี่ยวกับการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวดสุดท้ายของปี คือระหว่างเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2568 การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าโดยรวมลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.94 บาทต่อหน่วย จากเดิมที่เคยอยู่ในช่วง 3.98-3.99 บาทต่อหน่วยในงวดก่อนหน้า
การปรับลดในครั้งนี้ แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเสนอแนวทางการกำหนดค่าไฟฟ้าไว้ 3 กรณี โดยมีอัตราตั้งแต่ 3.98 บาท ถึง 5.10 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม มติสุดท้ายได้เลือกแนวทางที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
เจาะลึก ‘ค่า Ft’ คืออะไรและทำไมจึงมีความสำคัญ
หลายคนอาจเคยเห็นคำว่า “ค่า Ft” บนบิลค่าไฟ แต่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ค่า Ft หรือ Fuel Adjustment Charge (เดิมเรียกว่า Float time) คือ ค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าซึ่งมีความผันผวนตลอดเวลา
ความหมายและองค์ประกอบของค่า Ft
ค่า Ft ถูกกำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุงค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า เช่น:
- ราคาเชื้อเพลิง: เช่น ราคาก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเตา ถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย และราคามีความผันผวนตามตลาดโลก
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ: เนื่องจากเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ต้องนำเข้า การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทจึงส่งผลโดยตรงต่อต้นทุน
- ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนและประเทศเพื่อนบ้าน: ต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งอื่นก็เป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณ
- ค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ: เช่น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
ค่า Ft จึงเปรียบเสมือนตัวแปรที่ทำให้บิลค่าไฟมีความยืดหยุ่นและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลานั้นๆ หากต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น ค่า Ft ก็จะปรับเพิ่มขึ้น และหากต้นทุนลดลง ค่า Ft ก็จะปรับลดลงตามไปด้วย
กลไกการปรับปรุงค่า Ft
กกพ. จะทำการพิจารณาและประกาศปรับปรุงค่า Ft ทุกๆ 4 เดือน เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยกระบวนการจะเริ่มจากการประเมินแนวโน้มต้นทุนเชื้อเพลิงในอีก 4 เดือนข้างหน้า และคำนวณออกมาเป็นอัตราค่า Ft ที่จะเรียกเก็บเพิ่มเติมหรือปรับลดจากค่าไฟฟ้าฐาน การปรับลดค่า Ft ลง 4 สตางค์ต่อหน่วยในงวด ก.ย. – ธ.ค. 68 จึงเป็นผลโดยตรงจากการที่ กกพ. ประเมินว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวมีแนวโน้มลดลง
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับลดค่าไฟในรอบนี้
การปรับลดค่าไฟฟ้าในงวดปลายปี 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยเชิงนโยบายและสภาวะตลาดพลังงานที่เอื้ออำนวย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองปัจจัยหลักดังนี้
บทบาทของนโยบายพลังงานภาครัฐ
รัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เกิดการลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้ โดยได้มีการอนุมัติ “แพ็กเกจพลังงาน” ที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยตรง มาตรการเหล่านี้อาจรวมถึงการจัดหาแหล่งก๊าซธรรมชาติในราคาที่เหมาะสม การบริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการเจรจาต่อรองกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเพื่อปรับโครงสร้างราคา
เป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาลคือการควบคุมอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยไม่ให้เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ การตัดสินใจของ กกพ. จึงสอดรับกับทิศทางนโยบายดังกล่าว และนำไปสู่การปรับลดค่า Ft ในที่สุด
ต้นทุนเชื้อเพลิงและการผลิตไฟฟ้า
นอกเหนือจากนโยบายภาครัฐแล้ว สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ หากแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงหลัก เช่น ก๊าซธรรมชาติ LNG มีทิศทางที่ปรับตัวลดลง หรือมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้ผลิตรายอื่นลดต่ำลง การคาดการณ์ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงในช่วงปลายปีจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ กกพ. สามารถปรับลดค่า Ft และส่งต่อประโยชน์ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าได้
ตารางเปรียบเทียบอัตราค่าไฟฟ้า
รายการ | งวดก่อนหน้า (พ.ค. – ส.ค. 68) | งวดใหม่ (ก.ย. – ธ.ค. 68) |
---|---|---|
อัตราค่า Ft (สตางค์/หน่วย) | ประมาณ 19.72 | 19.68 |
ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (บาท/หน่วย) | ประมาณ 3.98 – 3.99 | ประมาณ 3.94 |
การเปลี่ยนแปลง | – | ลดลง 4 สตางค์ต่อหน่วย |
ปัจจัยหลัก | การบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิง | นโยบายภาครัฐและต้นทุนการผลิตที่ลดลง |
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าต่อภาคส่วนต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟฟ้า แม้จะเพียงเล็กน้อย ก็ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในมิติต่างๆ
ภาคครัวเรือนและค่าครองชีพ
สำหรับภาคครัวเรือน การลดลงของค่าไฟฟ้า 4 สตางค์ต่อหน่วย อาจดูเหมือนเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่เมื่อคำนวณจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในแต่ละเดือน ก็จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้ส่วนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าเดือนละ 300 หน่วย จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 12 บาทต่อเดือน หรือ 48 บาทตลอดระยะเวลา 4 เดือนของงวดนี้
แม้ตัวเลขอาจไม่สูง แต่ในภาวะที่ค่าครองชีพด้านอื่น ๆ มีแนวโน้มสูงขึ้น การลดลงของค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างค่าไฟฟ้าถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มกำลังซื้อเล็กๆ น้อยๆ ให้กับประชาชนได้
ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
ในส่วนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าเป็นต้นทุนหลักในการผลิต การลดลงของค่าไฟฟ้านับเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง เพราะไฟฟ้าคือหนึ่งในต้นทุนการดำเนินงานที่สำคัญ การที่ต้นทุนส่วนนี้ลดลงจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจได้
นอกจากนี้ การที่ต้นทุนพลังงานมีเสถียรภาพและไม่ปรับตัวสูงขึ้น ยังช่วยลดแรงกดดันในการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วประโยชน์ก็จะส่งกลับมายังผู้บริโภคโดยรวม ทำให้ไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงจากการส่งผ่านต้นทุนพลังงาน
แนวทางรับมือและวิธีประหยัดค่าไฟอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าค่าไฟฟ้าในงวดนี้จะปรับตัวลดลง แต่การสร้างนิสัยการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของราคาพลังงานในอนาคตและช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงาน
การประหยัดพลังงานเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน:
- ปิดไฟและถอดปลั๊ก: ปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่อยู่ในห้อง และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดการใช้พลังงานในโหมดสแตนด์บาย
- ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ: ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25-26 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เย็นสบายและไม่สิ้นเปลืองพลังงานจนเกินไป และควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้แสงธรรมชาติ: เปิดม่านหรือหน้าต่างเพื่อรับแสงสว่างจากธรรมชาติในเวลากลางวัน เพื่อลดการเปิดไฟโดยไม่จำเป็น
- วางแผนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า: รีดผ้าครั้งละมากๆ และไม่พรมน้ำจนเปียกเกินไป หรือวางแผนการใช้เตาอบไมโครเวฟให้ต่อเนื่องกันเพื่อรักษาความร้อน
การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เหมาะสม
การลงทุนในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ที่มี ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองว่าอุปกรณ์นั้นๆ ผ่านมาตรฐานการประหยัดพลังงาน ยิ่งมีดาวมาก ก็ยิ่งประหยัดไฟมากขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟแบบ LED แทนหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเก่า ก็สามารถช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในส่วนของแสงสว่างได้อย่างมีนัยสำคัญ
บทสรุปและทิศทางค่าไฟฟ้าในอนาคต
โดยสรุป ค่าไฟงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค. 68) มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.94 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดค่า Ft ลง 4 สตางค์ต่อหน่วย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น การติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจและพลังงานอย่างใกล้ชิด รวมถึงการสร้างวินัยในการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายด้านพลังงานในอนาคต