โค้งสุดท้าย! ลดหย่อนภาษี 68 ด้วยกองทุน ESG ตัวท็อป
- สรุปประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนภาษี
- ทำความเข้าใจภาพรวมการลดหย่อนภาษีปี 2568
- กองทุนลดหย่อนภาษีหลัก: RMF และ Thai ESG
- เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง RMF และ Thai ESG
- คัดเลือกกองทุน Thai ESG ที่น่าสนใจประจำปี 2568
- แนะนำกองทุน RMF สำหรับการเติบโตระยะยาว
- กลยุทธ์และข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
- บทสรุป: การวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายอย่างชาญฉลาด
- นอกเหนือจากการวางแผนการเงิน
เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของปีภาษี 2568 การวางแผนเพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกลายเป็นภารกิจสำคัญสำหรับผู้มีรายได้ทุกคน หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลสำคัญในหัวข้อ โค้งสุดท้าย! ลดหย่อนภาษี 68 ด้วยกองทุน ESG ตัวท็อป โดยมุ่งเน้นไปที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งเป็นสองทางเลือกหลักสำหรับนักลงทุนในปีนี้
สรุปประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนภาษี
- กำหนดการสำคัญ: การซื้อหน่วยลงทุน RMF และ Thai ESG เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับปีภาษี 2568 ต้องดำเนินการภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568
- สิทธิประโยชน์สูงสุด: สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 800,000 บาทต่อปี หากใช้สิทธิ์เต็มเพดานทั้งจากกองทุน RMF (สูงสุด 500,000 บาท) และกองทุน Thai ESG (สูงสุด 300,000 บาท)
- ความแตกต่างหลัก: RMF เน้นการออมเพื่อการเกษียณในระยะยาว มีเงื่อนไขการถือครองจนถึงอายุ 55 ปี และต้องลงทุนต่อเนื่อง ขณะที่ Thai ESG เป็นสิทธิ์ลดหย่อนแยกต่างหาก เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ไทยที่ยั่งยืน โดยมีเงื่อนไขการถือครอง 5 ปี และไม่บังคับซื้อต่อเนื่องทุกปี
- การเลือกกองทุน: การตัดสินใจควรขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ไม่ใช่เพียงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเท่านั้น
ทำความเข้าใจภาพรวมการลดหย่อนภาษีปี 2568
การวางแผนภาษีเป็นกระบวนการที่ควรทำตลอดทั้งปี แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ความตื่นตัวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นโอกาสสุดท้ายในการดำเนินการเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนสำหรับปีภาษีนั้นๆ สำหรับปี 2568 กรมสรรพากรยังคงให้สิทธิ์ลดหย่อนผ่านการลงทุนในกองทุนรวม RMF และได้เพิ่มกองทุนประเภทใหม่คือ Thai ESG เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ การทำความเข้าใจเงื่อนไขและลักษณะของแต่ละกองทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของแต่ละบุคคล การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีไม่เพียงช่วยประหยัดเงินในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการสร้างวินัยการออมและการลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคตอีกด้วย
กองทุนลดหย่อนภาษีหลัก: RMF และ Thai ESG
ในปี 2568 นักลงทุนมีเครื่องมือหลักสองประเภทในการวางแผนภาษีผ่านกองทุนรวม ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์ เงื่อนไข และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
RMF หรือ Retirement Mutual Fund ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาวสำหรับวัยเกษียณโดยเฉพาะ ถือเป็นเครื่องมือวางแผนภาษีที่นักลงทุนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คำจำกัดความและวัตถุประสงค์: เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ โดยมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ไปจนถึงความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นในประเทศและต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษี:
- สามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน
- วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี เมื่อนับรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
- ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนต่อเนื่องจนกระทั่งอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม
- มีเงื่อนไขบังคับให้ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี (สามารถเว้นการลงทุนได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน)
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
Thai ESG หรือ Thai Sustainable Equity and Green Bond Fund เป็นกองทุนประเภทใหม่ที่ภาครัฐส่งเสริมขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ควบคู่ไปกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
คำจำกัดความและวัตถุประสงค์: เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศไทย ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ESG เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของตลาดทุนและประเทศชาติโดยรวม
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษี:
- สามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน
- วงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี โดยเป็นวงเงินพิเศษที่แยกต่างหากจากวงเงินลดหย่อนเพื่อการเกษียณ 500,000 บาทของ RMF
- ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลา 5 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน
- ไม่มีเงื่อนไขบังคับให้ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี สามารถเลือกลงทุนในปีที่ต้องการใช้สิทธิ์ได้
การมีอยู่ของกองทุน Thai ESG ช่วยให้นักลงทุนที่มีรายได้สูงและใช้สิทธิ์ลดหย่อน RMF เต็มวงเงินแล้ว สามารถลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีกถึง 300,000 บาท ทำให้ยอดลดหย่อนรวมสูงสุดขยับขึ้นเป็น 800,000 บาทต่อปี
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง RMF และ Thai ESG
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบเงื่อนไขและลักษณะสำคัญของกองทุนทั้งสองประเภทจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับตนเองได้ง่ายขึ้น
| หัวข้อเปรียบเทียบ | กองทุน RMF | กองทุน Thai ESG |
|---|---|---|
| วัตถุประสงค์หลัก | การออมเพื่อการเกษียณอายุระยะยาว | ส่งเสริมการลงทุนยั่งยืนในประเทศ และลดหย่อนภาษี |
| วงเงินลดหย่อน | สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับกองทุนเกษียณอื่น) | สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (วงเงินแยกต่างหาก) |
| ระยะเวลาถือครอง | ถือจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี | ถือครอง 5 ปีเต็ม นับจากวันซื้อ |
| เงื่อนไขการลงทุนต่อเนื่อง | ต้องลงทุนต่อเนื่อง (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน) | ไม่บังคับลงทุนต่อเนื่องทุกปี |
| นโยบายการลงทุน | หลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ | เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของไทยที่ผ่านเกณฑ์ ESG |
| ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว | ต่ำกว่า สามารถกระจายการลงทุนไปทั่วโลกได้ | สูงกว่า เนื่องจากลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์ประเทศไทย |
คัดเลือกกองทุน Thai ESG ที่น่าสนใจประจำปี 2568
จากการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง มีกองทุน Thai ESG หลายกองที่ได้รับความนิยมและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ โดยสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงได้ดังนี้
กลุ่มกองทุนความเสี่ยงต่ำ (เน้นตราสารหนี้)
สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีโดยไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง กองทุน Thai ESG ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- KKP GB THAI ESG (บลจ.เกียรตินาคินภัทร): เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 3 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวของไทย ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงสูงและยอมรับผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก
- K-ESGBF (บลจ.กสิกรไทย): ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหาความมั่นคงและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
- MSOV-ThaiESG (บลจ.เอ็มเอฟซี): กองทุนนี้มีประวัติผลการดำเนินงานในอดีตที่ 7.01% โดยเน้นลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้คุณภาพสูงของไทย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำ
ภาพรวมกองทุนจาก บลจ. อื่นๆ
นอกเหนือจากกองทุนข้างต้น ยังมี บลจ.ยูโอบี ที่นำเสนอกองทุน Thai ESG ถึง 6 กองทุน ซึ่งมีนโยบายครอบคลุมทั้งหุ้นยั่งยืนและตราสารหนี้ในประเทศไทย โดยมีระดับความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
แนะนำกองทุน RMF สำหรับการเติบโตระยะยาว
เนื่องจาก RMF เป็นการลงทุนระยะยาว การเลือกกองทุนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงจึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ยังเหลือระยะเวลาลงทุนอีกยาวนาน
กองทุนหุ้นคุณภาพสูงทั่วโลก (Global Quality Growth)
ES-GQGRMF (บลจ.อีสท์สปริง): เป็นกองทุน RMF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกที่มีศักยภาพการเติบโตสูง (Global Quality Growth) ผ่านกองทุนหลักอย่าง Wellington Management เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ และต้องการสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาวเพื่อเป้าหมายเกษียณอายุ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากสื่อทางการเงินหลายแห่งที่รวบรวมรายชื่อกองทุน RMF แนะนำกว่า 10 กองทุน ซึ่งครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารหนี้ หุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกจัดพอร์ตได้ตามความเหมาะสม
กลยุทธ์และข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมักเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดังนั้น การเตรียมตัวและพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบจะช่วยลดความผิดพลาดได้
การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรทำแบบประเมินความเสี่ยง (Suitability Test) เพื่อทำความเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ นักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่ใกล้เกษียณอาจเหมาะกับกองทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ ในขณะที่นักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนยาวนานและยอมรับความผันผวนได้ อาจพิจารณากองทุนที่มีสัดส่วนของหุ้นสูงขึ้นเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า
โปรโมชั่นจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
ในช่วงสิ้นปี บลจ. ต่างๆ มักจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดนักลงทุน เช่น การมอบหน่วยลงทุนเพิ่ม หรือของสมนาคุณอื่นๆ อย่างไรก็ตาม โปรโมชั่นไม่ควรเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ แต่ควรให้ความสำคัญกับนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และค่าธรรมเนียมของกองทุนเป็นอันดับแรก
| บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) | รายละเอียดโปรโมชั่น (ตัวอย่าง) |
|---|---|
| KKPAM (เกียรตินาคินภัทร) | โปรโมชั่นสำหรับ RMF/Thai ESG |
| ONEAM (วรรณ) | โปรโมชั่นลดหย่อนภาษีเต็มรูปแบบ |
| KWIAM | โปรโมชั่นภาษีปี 2025 |
| TISCOASSET | โปรโมชั่นสำหรับ RMF และ T-THAIESG |
| Asset Plus | รวมโปรโมชั่นกองทุนลดหย่อนภาษี |
การวางแผนและการตรวจสอบสิทธิ์
สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่รอจนถึงวันสุดท้ายของการซื้อขาย เพราะอาจเกิดปัญหาทางเทคนิคหรือทำธุรกรรมไม่ทันเวลา ควรวางแผนล่วงหน้าและตรวจสอบสิทธิ์ลดหย่อนของตนเองให้แน่ใจว่ายอดเงินลงทุนไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด โดยสามารถปรึกษาข้อมูลเงื่อนไขภาษีโดยละเอียดได้จากกรมสรรพากร
บทสรุป: การวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายอย่างชาญฉลาด
การลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 เป็นกลยุทธ์ที่ให้ประโยชน์สองต่อ คือการลดภาระภาษีและการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต RMF ตอบโจทย์การออมเพื่อเกษียณระยะยาว ในขณะที่ Thai ESG เป็นทางเลือกใหม่ที่ให้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่มเติมพร้อมส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนในประเทศ การตัดสินใจเลือกลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล การวางแผนอย่างรอบคอบและดำเนินการก่อนถึงกำหนดเวลาจะช่วยให้การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกเหนือจากการวางแผนการเงิน
นอกเหนือจากการวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต การดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรงก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน สำหรับองค์กรหรือบุคคลที่กำลังมองหาเสื้อผ้าคุณภาพสูงเพื่อการใช้งานต่างๆ แบรนด์ KDC SPORT รับผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าพิมพ์ลาย เสื้อผ้ากีฬา เสื้อองค์กร และเสื้อยืด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และยังรับผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆอีกมากมาย สามารถ ติดต่อเรา เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ที่อยู่ของเรา
888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
094-295-9898


