Hobby-vestment: ลดหย่อนภาษี 2568 จากงานอดิเรก
- ภาพรวมของ Hobby-vestment
- ทำความรู้จัก Hobby-vestment: มาตรการใหม่เพื่อคนรักศิลปะ
- เจาะลึกสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ: เปลี่ยนศิลปะเป็นค่าลดหย่อน
- สิทธิประโยชน์สำหรับศิลปิน: การสนับสนุนผู้สร้างสรรค์โดยตรง
- เปรียบเทียบ Hobby-vestment กับมาตรการลดหย่อนภาษีอื่นๆ ในปี 2568
- ผลกระทบและภาพรวมของนโยบาย
- ข้อควรพิจารณาและคำแนะนำในการวางแผนภาษี
- สรุป: Hobby-vestment โอกาสใหม่ของการลงทุนและประหยัดภาษี
การผสมผสานระหว่างงานอดิเรก (Hobby) และการลงทุน (Investment) ได้กลายเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนที่ช่วยให้กิจกรรมที่ชื่นชอบสามารถสร้างประโยชน์ทางการเงินได้มากกว่าที่เคยเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน
ภาพรวมของ Hobby-vestment
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อผลงานทัศนศิลป์จากศิลปินไทยที่เข้าเกณฑ์มาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปีภาษี
- ระยะเวลามาตรการ: มาตรการนี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปีเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
- สนับสนุนศิลปินไทย: ศิลปินผู้ขายผลงานที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิ์หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาในอัตรา 60% ของรายได้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัว
- เป้าหมายเชิงนโยบาย: เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมศิลปะและผลักดัน Soft Power ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
มาตรการ Hobby-vestment: ลดหย่อนภาษี 2568 จากงานอดิเรก คือนโยบายใหม่ล่าสุดที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถเปลี่ยนงานอดิเรกด้านการสะสมผลงานศิลปะให้กลายเป็นการลงทุนที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ นโยบายนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อหรือนักสะสมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนศิลปินไทยโดยตรง ทำให้ระบบนิเวศของวงการศิลปะไทยมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น นับเป็นมิติใหม่ของการวางแผนภาษีที่ผสานความสุนทรีย์เข้ากับการเงินส่วนบุคคลอย่างลงตัว
สำหรับผู้ที่สนใจในศิลปะและกำลังมองหาช่องทางลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมในปี 2568 มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะได้ครอบครองผลงานที่มีคุณค่าทางจิตใจแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการคำนวณภาษีได้อีกด้วย บทความนี้จะเจาะลึกทุกรายละเอียดของมาตรการ ทั้งเงื่อนไขสำหรับผู้ซื้อ สิทธิประโยชน์สำหรับศิลปิน และเปรียบเทียบกับรายการลดหย่อนอื่น ๆ เพื่อให้การวางแผนภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทำความรู้จัก Hobby-vestment: มาตรการใหม่เพื่อคนรักศิลปะ
แนวคิด “Hobby-vestment” ได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นในแวดวงการเงินส่วนบุคคล โดยหมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มาจากงานอดิเรก เช่น การสะสมของหายาก นาฬิกา ไวน์ หรือผลงานศิลปะ ซึ่งนอกเหนือจากคุณค่าทางใจแล้ว สินทรัพย์เหล่านี้ยังมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าในอนาคต สำหรับบริบทของประเทศไทยในปี 2568 แนวคิดนี้ถูกนำมาปรับใช้เป็นมาตรการทางภาษีอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมศิลปะภายในประเทศ
Hobby-vestment คืออะไร?
ในบริบทของนโยบายภาษีปี 2568 Hobby-vestment หมายถึง มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) ที่อนุญาตให้ผู้เสียภาษีนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อผลงานทัศนศิลป์ (Visual Arts) จากศิลปินไทยที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ มาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีประจำปีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีภาษี มาตรการนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมศิลปะ” ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
วัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของมาตรการ
นโยบายนี้ถูกออกแบบมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักสองประการ คือ การกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายและสะสมผลงานศิลปะไทยมากขึ้น และการสร้างรายได้พร้อมกับให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ศิลปินไทยโดยตรง กลุ่มเป้าหมายของมาตรการจึงแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน:
- ผู้ซื้อ (Art Collectors/Enthusiasts): คือกลุ่มบุคคลธรรมดาที่มีหน้าที่เสียภาษีและมีความสนใจในการซื้อหรือสะสมผลงานศิลปะ มาตรการนี้จะช่วยลดภาระภาษี ทำให้การตัดสินใจซื้อผลงานศิลปะมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
- ศิลปิน (Artists): คือกลุ่มผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในฝั่งของตนเองจากการเพิ่มอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาอีกด้วย
มาตรการ Hobby-vestment จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ภาครัฐใช้ในการสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มผู้รักศิลปะเข้ากับกลุ่มศิลปินผู้สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในอุตสาหกรรมศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทย
เจาะลึกสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ: เปลี่ยนศิลปะเป็นค่าลดหย่อน
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนภาษีในปี 2568 การทำความเข้าใจเงื่อนไขของมาตรการ Hobby-vestment อย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์หลักคือการได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากรายการลดหย่อนพื้นฐานอื่น ๆ
เงื่อนไขและรายละเอียดการลดหย่อนภาษี
เพื่อให้สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อผลงานศิลปะมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ผู้ซื้อจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดไว้อย่างครบถ้วน ดังนี้
- วงเงินที่สามารถหักลดหย่อนได้: สามารถนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงสำหรับการซื้อผลงานศิลปะมาหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อหนึ่งปีภาษี
- ระยะเวลาของมาตรการ: สิทธิ์ลดหย่อนนี้ครอบคลุมการซื้อที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 3 ปีภาษี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
- ประเภทผลงานศิลปะที่เข้าเกณฑ์: จำกัดเฉพาะผลงานด้านทัศนศิลป์เท่านั้น ได้แก่
- จิตรกรรม (Painting)
- ประติมากรรม (Sculpture)
- ภาพพิมพ์ (Printmaking)
- สื่อใหม่ (New Media Art)
- คุณสมบัติของศิลปินผู้ขาย: การซื้อจะต้องมาจากศิลปินไทยที่เป็นบุคคลธรรมดาและมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- เป็นศิลปินแห่งชาติ
- เป็นผู้ได้รับรางวัลศิลปาธร
- เป็นศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC)
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อผลงานเพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ควรตรวจสอบคุณสมบัติของศิลปินและประเภทของผลงานให้แน่ใจว่าตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมเพื่อยื่นภาษี
การเตรียมเอกสารหลักฐานให้พร้อมเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ผู้ซื้อจำเป็นต้องเก็บรักษาเอกสารอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้ไว้เพื่อการตรวจสอบ:
- ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ หรือ ใบเสร็จรับเงิน: เอกสารจะต้องระบุชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้ออย่างชัดเจน
- เอกสารหลักฐานอื่น ๆ: ในกรณีที่ไม่มีใบกำกับภาษี อาจใช้เอกสารอื่นที่สามารถระบุรายละเอียดของผลงานศิลปะ ชื่อศิลปิน และข้อมูลของผู้ซื้อ-ผู้ขายได้
การเก็บรักษาเอกสารเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้กระบวนการยื่นภาษีประจำปีเป็นไปอย่างราบรื่นและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สรรพากร
สิทธิประโยชน์สำหรับศิลปิน: การสนับสนุนผู้สร้างสรรค์โดยตรง
นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อนักสะสมแล้ว มาตรการ Hobby-vestment ยังออกแบบมาเพื่อสนับสนุนศิลปินไทยโดยตรง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมศิลปะ สิทธิประโยชน์ที่ศิลปินจะได้รับนั้นมุ่งเน้นไปที่การลดภาระทางภาษี ซึ่งจะช่วยให้ศิลปินมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นและสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างต่อเนื่อง
การเพิ่มอัตราหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดสำหรับศิลปินคือการปรับเพิ่มอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจากรายได้ที่เกิดจากการขายผลงานศิลปะ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- อัตราใหม่: ศิลปินสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ในอัตราสูงถึง 60% ของรายได้
- อัตราเดิม: เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยหักได้เพียง 30%
การปรับเพิ่มอัตราหักค่าใช้จ่ายนี้มีผลทำให้เงินได้สุทธิที่ต้องนำไปคำนวณภาษีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าศิลปินจะเสียภาษีน้อยลง และมีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานหรือดำรงชีพต่อไป
เงื่อนไขและข้อควรรู้สำหรับศิลปิน
เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว ศิลปินจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:
- สถานะทางกฎหมาย: สิทธิประโยชน์นี้ครอบคลุมเฉพาะศิลปินที่เป็น บุคคลธรรมดา หรือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ/คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เท่านั้น ไม่รวมถึงนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจำกัด
- ระยะเวลา: การปรับเพิ่มอัตราหักค่าใช้จ่ายนี้มีผลบังคับใช้สำหรับปีภาษี 2568 เป็นต้นไป โดยยังไม่มีการกำหนดวันสิ้นสุดที่ชัดเจนในข้อมูลปัจจุบัน
- การยื่นภาษี: ศิลปินจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และสำแดงรายได้จากการขายผลงานศิลปะ พร้อมทั้งเตรียมเอกสารหลักฐานประกอบรายได้ เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการโอนเงิน เพื่อประกอบการพิจารณาของกรมสรรพากร
มาตรการนี้จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยให้ศิลปินเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง และยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
เปรียบเทียบ Hobby-vestment กับมาตรการลดหย่อนภาษีอื่นๆ ในปี 2568
เพื่อให้เห็นภาพรวมของการวางแผนภาษีในปี 2568 ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบมาตรการ Hobby-vestment กับมาตรการลดหย่อนภาษีอื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถจัดสรรงบประมาณและเลือกใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้อย่างเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และแผนการเงินของตนเอง
| มาตรการ | วงเงินลดหย่อนสูงสุด | ประเภทค่าใช้จ่าย | ระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง |
|---|---|---|---|
| Hobby-vestment | 100,000 บาท | ค่าซื้อผลงานทัศนศิลป์จากศิลปินไทยที่เข้าเกณฑ์ | 1 ม.ค. 2568 – 31 ธ.ค. 2570 |
| Easy E-Receipt 2.0 | 50,000 บาท | ค่าซื้อสินค้า/บริการในประเทศที่มี e-Tax Invoice หรือ e-Receipt | (รอประกาศอย่างเป็นทางการ) โดยทั่วไปมักเป็นช่วงต้นปี |
| ลดหย่อนท่องเที่ยวเมืองรอง | 30,000 บาท | ค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารในจังหวัดรอง | 29 ต.ค. 2568 – 15 ธ.ค. 2568 |
จากตารางจะเห็นได้ว่าแต่ละมาตรการมีวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน Hobby-vestment มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนอุตสาหกรรมศิลปะโดยเฉพาะและมีวงเงินลดหย่อนสูงที่สุด ในขณะที่ Easy E-Receipt เป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคทั่วไป และมาตรการท่องเที่ยวเมืองรองมีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น การวางแผนที่ดีคือการพิจารณาใช้สิทธิ์จากหลายมาตรการร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีสูงสุด
ผลกระทบและภาพรวมของนโยบาย
มาตรการ Hobby-vestment ไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายทางภาษี แต่ยังเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ การทำความเข้าใจภาพรวมของนโยบายจะช่วยให้เห็นถึงความสำคัญและทิศทางที่ภาครัฐต้องการจะขับเคลื่อน
บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการผลักดันและกำกับดูแลมาตรการนี้คือ กระทรวงการคลัง และ กรมสรรพากร โดยมีหน้าที่ในการออกกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประเมินผลกระทบด้านงบประมาณที่อาจเกิดขึ้นจากการสูญเสียรายได้ภาษี เพื่อให้มั่นใจว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมศิลปะและเศรษฐกิจโดยรวมมีความคุ้มค่า นอกจากนี้ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) ยังมีบทบาทสำคัญในการรับขึ้นทะเบียนศิลปิน เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ซื้อในการตรวจสอบคุณสมบัติ
การส่งเสริม Soft Power ผ่านงานศิลปะ
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของนโยบายนี้คือการส่งเสริม Soft Power หรืออำนาจทางวัฒนธรรมของไทย การที่ภาครัฐสร้างแรงจูงใจให้เกิดการซื้อขายผลงานศิลปะในประเทศมากขึ้น จะช่วยให้ศิลปินมีทรัพยากรในการพัฒนาฝีมือและสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพสูงขึ้น เมื่ออุตสาหกรรมศิลปะในประเทศมีความแข็งแกร่ง ผลงานของศิลปินไทยก็จะมีโอกาสเป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีระดับนานาชาติมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศและอาจต่อยอดไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์
ข้อควรพิจารณาและคำแนะนำในการวางแผนภาษี
แม้ว่ามาตรการ Hobby-vestment จะมอบสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ แต่การนำไปใช้จริงจำเป็นต้องมีความรอบคอบและวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดและไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
- ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเสมอ: กฎระเบียบทางภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมได้เสมอ ดังนั้น ก่อนทำการซื้อขายหรือยื่นภาษี ควรตรวจสอบประกาศล่าสุดจากเว็บไซต์ของกรมสรรพากรหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความถูกต้อง
- การเก็บรักษาหลักฐาน: เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเก็บเอกสารการซื้อขายทั้งหมดไว้อย่างน้อย 5 ปี เนื่องจากกรมสรรพากรมีสิทธิ์ในการเรียกตรวจสอบย้อนหลังได้
- วางแผนการใช้จ่าย: แม้จะมีสิทธิ์ลดหย่อนถึง 100,000 บาท แต่ควรพิจารณาซื้อผลงานศิลปะตามกำลังทรัพย์และความชื่นชอบเป็นหลัก ไม่ควรมุ่งเน้นแต่เพียงประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว
- การประเมินมูลค่า: การซื้อศิลปะเพื่อการลงทุนควรมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปินและแนวโน้มของตลาดศิลปะประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้การลงทุนนั้นมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
สรุป: Hobby-vestment โอกาสใหม่ของการลงทุนและประหยัดภาษี
มาตรการ Hobby-vestment: ลดหย่อนภาษี 2568 จากงานอดิเรก นับเป็นนโยบายที่สร้างประโยชน์หลายมิติ ทั้งต่อผู้เสียภาษี ศิลปิน และภาพรวมของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในประเทศ สำหรับผู้รักในงานศิลปะ นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้ครอบครองผลงานที่ชื่นชอบพร้อมกับได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี ในขณะเดียวกัน สำหรับศิลปินไทย มาตรการนี้เปรียบเสมือนการสนับสนุนโดยตรงจากภาครัฐผ่านการเพิ่มอัตราหักค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยลดภาระและสร้างกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป
การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพในปี 2568 จึงควรพิจารณานำมาตรการนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผน ควบคู่ไปกับการใช้สิทธิ์ลดหย่อนอื่น ๆ เพื่อบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดและประหยัดภาษีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
สำหรับองค์กรหรือแบรนด์ที่ต้องการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ากีฬา เสื้อยูนิฟอร์ม หรือเสื้อสำหรับกิจกรรมส่งเสริมการขาย KDC SPORT คือผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าพิมพ์ลายคุณภาพสูง ที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและการบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิตจำนวนมาก
หากท่านสนใจสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง หรือต้องการสั่งผลิตเสื้อสำหรับองค์กร สามารถ ติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและใบเสนอราคาได้ทันที
ที่อยู่: 888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
เบอร์โทรศัพท์: 094-295-9898


