Shopping cart

เจาะลึกภาษีฟรีแลนซ์ 2026 เตรียมตัวยังไงให้ทัน

สารบัญ

การประกอบอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความยืดหยุ่นและอิสระในการทำงานก็มาพร้อมกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญ นั่นคือการจัดการเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างถูกต้อง การเตรียมตัวที่ดีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต

สรุปประเด็นสำคัญสำหรับฟรีแลนซ์

เจาะลึกภาษีฟรีแลนซ์ 2026 เตรียมตัวยังไงให้ทัน - freelance-tax-guide-thailand-2026

  • การยื่นแบบ ภ.ง.ด.90: ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้จากงานฟรีแลนซ์เกิน 60,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%: การถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ในทุกครั้งที่รับเงินค่าจ้าง ไม่ใช่การเสียภาษีที่สิ้นสุด แต่เป็นเพียงการชำระภาษีล่วงหน้าส่วนหนึ่งเท่านั้น
  • เอกสาร 50 ทวิ: หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิ คือเอกสารสำคัญที่ต้องรวบรวมจากผู้ว่าจ้างทุกราย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีประจำปีและขอเครดิตภาษีคืน
  • การวางแผนลดหย่อนภาษี: ฟรีแลนซ์สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้หลากหลายประเภท เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, เบี้ยประกันชีวิต, การลงทุนในกองทุน SSF/RMF ซึ่งต้องวางแผนและเตรียมเอกสารตั้งแต่เนิ่นๆ
  • การบันทึกรายรับ-รายจ่าย: การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินและเป็นข้อมูลสำคัญในการคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเจาะลึกภาษีฟรีแลนซ์ 2026 เตรียมตัวยังไงให้ทัน โดยจะครอบคลุมทุกประเด็นที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระจำเป็นต้องทราบ สำหรับการยื่นภาษีของรายได้ที่เกิดขึ้นตลอดปี 2568 ซึ่งมีกำหนดยื่นในช่วงต้นปี 2569 (หรือ ค.ศ. 2026) การทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน วิธีการคำนวณ และขั้นตอนการเตรียมตัวที่ถูกต้อง จะช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและเกิดประโยชน์สูงสุด

ความสำคัญของการวางแผนภาษีสำหรับอาชีพอิสระ

สำหรับผู้มีเงินได้จากเงินเดือนประจำ การคำนวณและนำส่งภาษีมักเป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลในองค์กร แต่สำหรับฟรีแลนซ์หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การคำนวณรายได้ การหักค่าใช้จ่าย การรวบรวมเอกสารลดหย่อน ไปจนถึงการยื่นแบบและชำระภาษี ล้วนเป็นความรับผิดชอบโดยตรง การวางแผนภาษีจึงไม่ใช่เพียงแค่ “หน้าที่” แต่เป็น “เครื่องมือ” สำคัญในการบริหารการเงินส่วนบุคคล

การเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่ต้นปีภาษี (1 มกราคม) จะช่วยให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อการลดหย่อน หรือการเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน การเตรียมตัวล่วงหน้าช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการรวบรวมเอกสารอย่างเร่งรีบในช่วงใกล้หมดยื่นภาษี และยังช่วยให้สามารถประเมินภาระภาษีที่ต้องชำระหรือจำนวนเงินที่อาจได้รับคืนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพคล่องทางการเงินตลอดทั้งปี

เจาะลึกภาษีฟรีแลนซ์ 2026: พื้นฐานที่ต้องรู้

ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมตัว สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจหลักเกณฑ์พื้นฐานทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบอาชีพอิสระโดยตรง เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

ใครบ้างที่เข้าข่ายต้องยื่นภาษีฟรีแลนซ์?

ตามกฎหมายของกรมสรรพากร บุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องยื่นภาษี สำหรับกลุ่มฟรีแลนซ์หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกณฑ์เบื้องต้นที่ต้องพิจารณาคือ หากมีเงินได้จากช่องทางอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือนประจำ (เช่น ค่าจ้างฟรีแลนซ์ ค่าบริการวิชาชีพอิสระ) รวมกันตลอดทั้งปีเกิน 60,000 บาท จะต้องทำการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้ว่าเมื่อคำนวณแล้วอาจไม่ต้องเสียภาษีก็ตาม

ประเภทเงินได้และแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง

รายได้ของฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่มักจัดอยู่ในกลุ่ม “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 40(2) ถึง 40(8) ของประมวลรัษฎากร ตัวอย่างเช่น:

  • มาตรา 40(2): เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่านายหน้า ค่าคอมมิชชั่น
  • มาตรา 40(6): เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี
  • มาตรา 40(7): เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ
  • มาตรา 40(8): เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ หรือเงินได้อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น

เนื่องจากฟรีแลนซ์มีรายได้ประเภทอื่นนอกเหนือจากเงินเดือน จึงต้องใช้แบบ ภ.ง.ด.90 ในการยื่นภาษี ซึ่งแตกต่างจากพนักงานประจำที่มีรายได้จากเงินเดือนทางเดียว ซึ่งจะใช้แบบ ภ.ง.ด.91

วิธีคำนวณและอัตราภาษีสำหรับปีภาษี 2568

หัวใจสำคัญของการจัดการภาษีคือการคำนวณ “เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าบุคคลนั้นๆ จะต้องเสียภาษีในอัตราเท่าใด

การคำนวณเงินได้สุทธิ: จุดเริ่มต้นของการเสียภาษี

เงินได้สุทธิคือจำนวนเงินที่จะถูกนำไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้:

เงินได้พึงประเมิน (รายได้รวมทั้งปี) – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

  • เงินได้พึงประเมิน: คือรายได้ทั้งหมดที่ได้รับตลอดปีภาษี (1 มกราคม – 31 ธันวาคม)
  • ค่าใช้จ่าย: ฟรีแลนซ์สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ หักแบบเหมาตามอัตราที่กฎหมายกำหนดสำหรับเงินได้แต่ละประเภท หรือ หักตามค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นโดยต้องมีหลักฐานประกอบ
  • ค่าลดหย่อน: คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายอนุญาตให้หักออกจากเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าลดหย่อนบุตร, เบี้ยประกัน, เงินลงทุนในกองทุน เป็นต้น

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได

หลังจากได้ยอดเงินได้สุทธิแล้ว จะถูกนำมาคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีเงินได้สุทธิสูง อัตราภาษีที่ต้องเสียก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยอัตราภาษีสำหรับปีภาษี 2568 (ยื่นปี 2026) เป็นดังนี้:

ตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2568
เงินได้สุทธิ (บาท) อัตราภาษี (%)
0 – 150,000 ยกเว้นภาษี
150,001 – 300,000 5%
300,001 – 500,000 10%
500,001 – 750,000 15%
750,001 – 1,000,000 20%
1,000,001 – 2,000,000 25%
2,000,001 – 5,000,000 30%
มากกว่า 5,000,001 35%

กลไกการเสียภาษีสองรอบที่ฟรีแลนซ์ต้องเข้าใจ

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มฟรีแลนซ์คือการคิดว่าการถูกหักภาษี 3% ณ ที่จ่าย ถือเป็นการเสียภาษีที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น

รอบที่ 1: ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

เมื่อฟรีแลนซ์รับค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคล (บริษัท, ห้างหุ้นส่วน) ผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3 ของค่าจ้างนั้นๆ และนำส่งให้กรมสรรพากร พร้อมทั้งออกเอกสารที่เรียกว่า “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” หรือ “ใบ 50 ทวิ” ให้แก่ฟรีแลนซ์เพื่อเป็นหลักฐาน

รอบที่ 2: การยื่นภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90)

เมื่อสิ้นสุดปีภาษี ฟรีแลนซ์มีหน้าที่นำรายได้ทั้งหมดที่ได้รับมาคำนวณภาษีตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้น (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) เพื่อหายอดภาษีที่ต้องชำระที่แท้จริง จากนั้น นำยอดภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ทั้งหมด (จากใบ 50 ทวิ) มาหักออกจากยอดภาษีที่คำนวณได้

ยอดภาษีที่คำนวณได้ – ยอดภาษีหัก ณ ที่จ่ายทั้งหมด = ภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม หรือ ภาษีที่ได้รับคืน

  • หากภาษีที่คำนวณได้สูงกว่าที่ถูกหักไว้ จะต้องชำระภาษีเพิ่มเติม
  • หากภาษีที่คำนวณได้ต่ำกว่าที่ถูกหักไว้ สามารถยื่นขอคืนภาษีส่วนที่ชำระเกินไปได้

ดังนั้น การเก็บรวบรวมใบ 50 ทวิ จากผู้ว่าจ้างทุกรายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหลักฐานเดียวที่ใช้ยืนยันว่าได้มีการชำระภาษีล่วงหน้าไปแล้วจำนวนเท่าใด

ขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อยื่นภาษีปี 2026

การเตรียมตัวที่ดีควรเริ่มตั้งแต่วันแรกของปีภาษี (1 มกราคม 2568) เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการรวบรวมเอกสารและวางแผนอย่างรอบคอบ

การรวบรวมเอกสารสำคัญ: รายได้และค่าใช้จ่าย

การมีเอกสารที่ครบถ้วนและเป็นระบบคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการยื่นภาษี เอกสารที่จำเป็นต้องรวบรวมตลอดทั้งปี ได้แก่:

  • เอกสารฝั่งรายได้:
    • ใบ 50 ทวิ: เอกสารสำคัญที่สุดที่ต้องขอจากผู้ว่าจ้างทุกรายหลังได้รับชำระเงิน
    • ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน: สำเนาเอกสารที่ออกให้กับลูกค้าเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงิน
    • รายการเดินบัญชี (Bank Statement): ใช้เพื่อตรวจสอบยอดเงินโอนเข้าทั้งหมดให้ตรงกับเอกสารอื่นๆ
  • เอกสารฝั่งค่าใช้จ่าย (กรณีเลือกหักตามจริง):
    • ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงาน เช่น ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าเดินทางพบลูกค้า ค่าเช่าพื้นที่ทำงาน

การวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างชาญฉลาด

การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายในการลดภาระภาษี ฟรีแลนซ์ควรศึกษาและวางแผนการใช้สิทธิเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

  • รายการลดหย่อนพื้นฐาน:
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนบุตร
    • ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
  • กลุ่มประกันและการลงทุน:
    • เบี้ยประกันชีวิต: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
    • เบี้ยประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท (เมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
    • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
    • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • เงินบริจาค: สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ

การซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเองเป็นหลัก โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นผลพลอยได้

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับฟรีแลนซ์

นอกเหนือจากหลักการพื้นฐาน ยังมีสถานการณ์เฉพาะบางอย่างที่ฟรีแลนซ์มักประสบและควรทำความเข้าใจเพื่อการจัดการภาษีที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังเมื่อรับงานเป็นทีมหรือกลุ่ม

ในกรณีที่รับงานเป็นทีมและมีการโอนเงินค่าจ้างทั้งหมดมาที่บัญชีของบุคคลเดียว บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบในการแสดงรายได้เต็มจำนวนที่ได้รับในนามของตนเอง ซึ่งอาจทำให้ฐานภาษีสูงขึ้นอย่างมาก วิธีการจัดการที่ถูกต้องคือควรมีการทำสัญญาหรือข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างทีมงาน และให้ผู้ว่าจ้างแยกจ่ายเงินและออกใบ 50 ทวิ ให้กับสมาชิกแต่ละคนตามสัดส่วนงานที่รับผิดชอบ หากไม่สามารถทำได้ ผู้ที่รับเงินมาจะต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินต่อให้สมาชิกในทีมที่ชัดเจน เพื่อพิสูจน์ที่มาที่ไปของเงินได้

กรณีมีรายได้หลายทาง: งานประจำควบคู่งานฟรีแลนซ์

สำหรับผู้ที่มีทั้งรายได้จากงานประจำ (เงินเดือน) และรายได้จากงานฟรีแลนซ์ จะต้องนำรายได้ทั้งสองส่วนมารวมกันเพื่อคำนวณภาษีในแบบ ภ.ง.ด.90 โดยรายได้จากเงินเดือนจะถูกจัดเป็นเงินได้ประเภท 40(1) และรายได้ฟรีแลนซ์เป็นประเภทอื่นๆ ตามลักษณะงาน จากนั้นจึงทำการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามปกติ และนำภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายจากทั้งสองทาง (จากเงินเดือนและจากงานฟรีแลนซ์) มาเครดิตออกจากภาษีที่ต้องชำระ

บทสรุปและการเตรียมความพร้อม

การยื่นภาษีสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหากมีความเข้าใจและมีการเตรียมตัวที่ดี การดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นปีภาษี 2568 จะช่วยให้การยื่นภาษีในปี 2026 เป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้อง

สรุปขั้นตอนสำคัญที่ควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ คือการจัดเก็บเอกสารรายรับทุกชิ้น โดยเฉพาะใบ 50 ทวิ, การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ, การศึกษาและวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ ให้เหมาะสมกับตนเอง และสุดท้ายคือการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ผ่านระบบออนไลน์ (e-Filing) ของกรมสรรพากรภายในกำหนดเวลา การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าไม่เพียงแต่ช่วยให้ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง แต่ยังเป็นโอกาสในการบริหารการเงินและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031