Shopping cart

วางแผนการเงินโค้งสุดท้าย! 7 เรื่องต้องทำก่อนสิ้นปี 2568

สารบัญ

เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทบทวนและจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล เพื่อปิดท้ายปีเก่าอย่างสมบูรณ์และวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับปีถัดไป การจัดทำเช็คลิสต์ทางการเงินจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ

สรุปประเด็นสำคัญที่ต้องจัดการก่อนสิ้นปี

  • การประเมินสถานะการเงินปัจจุบัน: จัดทำงบดุลส่วนบุคคลเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของสินทรัพย์ หนี้สิน และความมั่งคั่งสุทธิ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนทั้งหมด
  • การวางแผนภาษีและเป้าหมายการเงิน: ทบทวนรายการลดหย่อนภาษี 2568 เช่น การลงทุนในกองทุน RMF และ SSF พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายทางการเงินสำหรับปีหน้าให้ชัดเจน
  • การบริหารจัดการหนี้สินและเงินสำรอง: วางแผนชำระหนี้อย่างเป็นระบบเพื่อลดภาระดอกเบี้ย และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเงินกองทุนสำรองฉุกเฉินเพียงพอสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • การทบทวนและปรับปรุงแผน: ตรวจสอบความคืบหน้าของเป้าหมายที่ตั้งไว้ตลอดทั้งปี และปรับเปลี่ยนแผนการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ปีใหม่

การวางแผนการเงินโค้งสุดท้าย! 7 เรื่องต้องทำก่อนสิ้นปี 2568 เป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การตรวจสอบสถานะทางการเงินอย่างละเอียดในช่วงเวลานี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี แต่ยังเป็นโอกาสในการวางกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน หรือการจัดการหนี้สิน การดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่ และเริ่มต้นปีถัดไปได้อย่างมั่นใจ

ทำไมการวางแผนการเงินช่วงสิ้นปีจึงสำคัญ

ทำไมการวางแผนการเงินช่วงสิ้นปีจึงสำคัญ

ช่วงเวลาสิ้นปีมักเป็นช่วงที่หลายคนให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองและวางแผนสำหรับวันหยุดยาว แต่ในมุมมองของการเงินส่วนบุคคล นี่คือ “นาทีทอง” ที่ไม่ควรละเลย การวางแผนการเงินในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือเรื่องของการลดหย่อนภาษี 2568 ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีกำหนดระยะเวลาในการซื้อขายภายในสิ้นปีปฏิทิน การวางแผนล่วงหน้าจึงช่วยให้สามารถลงทุนได้อย่างเหมาะสมและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ครบถ้วน

ประการที่สอง การทบทวนการเงินช่วงสิ้นปีเปรียบเสมือนการ “ตรวจสุขภาพทางการเงินประจำปี” เป็นโอกาสในการประเมินว่าแผนการเงินที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีมีความคืบหน้าไปถึงไหน มีส่วนใดที่ทำได้ตามเป้าหมาย และส่วนใดที่ต้องปรับปรุง การทำความเข้าใจสถานะทางการเงินที่แท้จริงผ่านการจัดทำงบดุลส่วนบุคคล จะช่วยให้เห็นภาพความมั่งคั่งสุทธิที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นข้อมูลสำคัญในการตั้งเป้าหมายสิ้นปีสำหรับปีถัดไปให้มีความท้าทายและสมจริงมากยิ่งขึ้น

สุดท้ายนี้ การวางแผนล่วงหน้าสำหรับรายจ่ายก้อนโตที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีถัดไป เช่น ค่าเบี้ยประกัน ค่าเทอม หรือภาษีสังคม เป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง การเตรียมเงินสดสำรองไว้ล่วงหน้าทำให้การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปีใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและปราศจากความกังวลทางการเงิน

เช็คลิสต์ 7 ขั้นตอนวางแผนการเงินก่อนหมดปี 2568

เพื่อให้การจัดการการเงินในช่วงโค้งสุดท้ายของปีเป็นไปอย่างมีระบบและไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญ การปฏิบัติตามเช็คลิสต์ 7 ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนและนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืน

1. จัดทำงบดุลส่วนบุคคล: ภาพสะท้อนสถานะการเงินที่แท้จริง

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการวางแผนการเงินคือการทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของตนเอง การจัดทำงบดุลส่วนบุคคล (Personal Balance Sheet) คือเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินได้อย่างชัดเจนที่สุด โดยมีองค์ประกอบหลักสองส่วนคือ:

  • สินทรัพย์ (Assets): คือทุกสิ่งที่ครอบครองและมีมูลค่า สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ เช่น เงินสดในบัญชีธนาคาร, เงินลงทุนในหุ้นหรือกองทุน, อสังหาริมทรัพย์, ยานพาหนะ และของมีค่าอื่นๆ
  • หนี้สิน (Liabilities): คือภาระผูกพันทางการเงินที่ต้องชำระคืน เช่น หนี้บัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อรถยนต์, และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

เมื่อรวบรวมข้อมูลทั้งสองส่วนแล้ว จะสามารถคำนวณหา ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ได้จากสมการ: ความมั่งคั่งสุทธิ = มูลค่าสินทรัพย์รวม – มูลค่าหนี้สินรวม ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวชี้วัดสุขภาพทางการเงินที่แท้จริง หากความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวกและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงว่าการบริหารจัดการเงินอยู่ในทิศทางที่ดี ในทางกลับกัน หากค่าที่ได้ติดลบหรือลดลง ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ต้องกลับมาทบทวนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินอย่างเร่งด่วน การทำงบดุลเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้สามารถติดตามความก้าวหน้าและตัดสินใจทางการเงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. วางแผนการเงิน 3 ด้านหลัก: กำหนดเป้าหมายและจัดสรรงบประมาณ

หลังจากทราบสถานะการเงินของตนเองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนอย่างเป็นระบบใน 3 ด้านหลัก ซึ่งจะช่วยกำหนดทิศทางและสร้างวินัยทางการเงิน ประกอบด้วย:

  1. การตั้งเป้าหมายทางการเงินและลิสต์สิ่งที่ต้องใช้เงิน: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ และมีกรอบเวลาที่แน่นอน ทั้งเป้าหมายระยะสั้น (เช่น เก็บเงินดาวน์รถใน 1 ปี), ระยะกลาง (เช่น เก็บเงินเรียนต่อใน 3-5 ปี) และระยะยาว (เช่น วางแผนเกษียณ) พร้อมทั้งลิสต์รายการค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมด
  2. การแบ่งสัดส่วนเงินออมและเงินใช้จ่ายต่อเดือน: กำหนดสัดส่วนการออมและการลงทุนที่ชัดเจนจากรายรับในแต่ละเดือน เช่น การใช้หลักการ 50/30/20 (50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น, 30% สำหรับความต้องการส่วนตัว, 20% สำหรับการออมและชำระหนี้) การมีสัดส่วนที่ชัดเจนช่วยป้องกันการใช้จ่ายเกินตัวและสร้างหลักประกันว่าจะมีเงินออมอย่างสม่ำเสมอ
  3. การจัดระบบบัญชีแยกตามเป้าหมาย: เปิดบัญชีธนาคารแยกตามวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน เช่น บัญชีสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน, บัญชีเงินออมฉุกเฉิน, บัญชีเพื่อการลงทุน, และบัญชีสำหรับเป้าหมายเฉพาะต่างๆ การแยกบัญชีช่วยให้บริหารจัดการเงินง่ายขึ้น ลดโอกาสในการนำเงินผิดประเภทไปใช้ และทำให้เห็นความคืบหน้าของแต่ละเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม

3. สร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี: เตรียมพร้อมสำหรับรายจ่ายก้อนโต

นอกเหนือจากการวางแผนรายจ่ายรายเดือนแล้ว การมองภาพรวมของรายจ่ายตลอดทั้งปีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม มีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกเดือนแต่เป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องชำระเป็นรายปี การสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี (Annual Expense Budget) จะช่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมทางการเงินและหลีกเลี่ยงสถานการณ์เงินขาดมือได้

เริ่มต้นด้วยการลิสต์รายการค่าใช้จ่ายสำคัญที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี พร้อมระบุเดือนที่ต้องชำระให้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น:

  • ค่าเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ (มักชำระรายปี)
  • ค่าเบี้ยประกันรถยนต์และค่าต่อภาษีรถยนต์ประจำปี
  • ค่าธรรมเนียมสมาชิกต่างๆ (ฟิตเนส, สมาคมวิชาชีพ)
  • ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากมีส่วนที่ต้องชำระเพิ่ม)
  • ค่าบำรุงรักษาส่วนกลางของที่อยู่อาศัย (คอนโด, หมู่บ้าน)
  • ค่าใช้จ่ายตามเทศกาลหรือวันสำคัญของครอบครัว

เมื่อทราบจำนวนเงินและช่วงเวลาที่ต้องจ่ายแล้ว ก็สามารถวางแผนทยอยเก็บเงินในแต่ละเดือนเพื่อสำรองไว้สำหรับรายจ่ายเหล่านี้ได้ วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียดทางการเงิน แต่ยังสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวอีกด้วย

4. ทบทวนและจัดการหนี้สิน: ลดภาระเพื่อสร้างความมั่งคั่ง

หนี้สินเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความมั่งคั่ง เนื่องจากภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะลดทอนศักยภาพในการออมและการลงทุน ช่วงสิ้นปีจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการทบทวนสถานะหนี้สินทั้งหมดและวางแผนบริหารจัดการอย่างมีกลยุทธ์ ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, หรือสินเชื่ออื่นๆ พร้อมทั้งบันทึกยอดคงค้างและอัตราดอกเบี้ยของแต่ละรายการ

จากนั้น เลือกกลยุทธ์ในการจัดการหนี้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง โดยมีสองแนวทางที่นิยมคือ:

  • วิธี Snowball (ก้อนหิมะ): เริ่มจากการชำระหนี้ก้อนที่เล็กที่สุดให้หมดก่อน โดยจ่ายขั้นต่ำสำหรับหนี้ก้อนอื่นๆ เมื่อปลดหนี้ก้อนแรกสำเร็จ ให้นำเงินที่เคยผ่อนนั้นไปรวมกับเงินผ่อนของหนี้ก้อนที่เล็กที่สุดลำดับถัดไป วิธีนี้สร้างกำลังใจและแรงผลักดันจากการเห็นหนี้หมดไปทีละก้อน
  • วิธี Avalanche (หิมะถล่ม): มุ่งเน้นไปที่การชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก โดยจ่ายขั้นต่ำสำหรับหนี้ก้อนอื่นๆ วิธีนี้จะช่วยประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยในระยะยาวได้มากที่สุด

การจัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระทางการเงิน แต่ยังเป็นการปรับปรุงคะแนนเครดิต ซึ่งส่งผลดีต่อการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต

5. สร้างและประเมินกองทุนฉุกเฉิน: เกราะป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน

ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยกะทันหัน, การตกงาน, หรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านหรือรถยนต์ การมีกองทุนฉุกเฉิน (Emergency Fund) จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเป้าหมายทางการเงินระยะยาว

โดยทั่วไปแล้ว ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินในจำนวนที่เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเป็นเวลา 3-6 เดือน จำนวนเงินนี้ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง สามารถเบิกถอนออกมาใช้ได้ทันที และมีความเสี่ยงต่ำ เช่น บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ในช่วงสิ้นปี ควรประเมินว่าเงินในกองทุนฉุกเฉินที่มีอยู่ยังคงเพียงพอหรือไม่ หากมีรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้น ก็ควรพิจารณาเพิ่มขนาดของกองทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน การมีเงินสำรองที่เพียงพอจะช่วยสร้างความอุ่นใจและทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้โดยไม่ต้องก่อหนี้สินเพิ่ม

6. ปรับปรุงงบประมาณและบัญชีธนาคาร: เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว

แผนการเงินที่ดีไม่ใช่สิ่งที่ตั้งไว้แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลง งบประมาณและแผนการต่างๆ ควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เช่น การเปลี่ยนแปลงของรายได้, สถานะครอบครัว, หรือเป้าหมายใหม่ๆ ช่วงสิ้นปีเป็นโอกาสอันดีที่จะได้อัปเดตงบประมาณรายรับ-รายจ่ายให้เป็นปัจจุบัน

นอกจากนี้ ควรทบทวนบัญชีธนาคารและบัญชีการลงทุนต่างๆ ที่มีอยู่ ว่ายังคงตอบโจทย์วัตถุประสงค์หรือไม่ อาจพิจารณาเปิดบัญชีใหม่ที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะยาวมากขึ้น เช่น บัญชีเพื่อการเกษียณอายุ หรือบัญชีเงินฝากเพื่อการศึกษาบุตร การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น การปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน

7. จัดระเบียบโค้งสุดท้าย: ตรวจสอบความคืบหน้าและปรับแผน

ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปี คือช่วงเวลาของการ “จัดระเบียบโค้งสุดท้าย” ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้ทบทวนมาเพื่อนำมาปฏิบัติจริง ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบความคืบหน้าของเป้าหมายทางการเงินทั้งหมดที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี เปรียบเทียบระหว่างแผนที่วางไว้กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อวิเคราะห์หาจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุง

หากพบว่ามีเป้าหมายใดที่ยังทำได้ไม่ดีพอ ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี เช่น อาจจะต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางอย่างลง เพื่อเพิ่มเงินออมให้ได้ตามเป้า หรืออาจจะต้องตัดสินใจลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด การปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงจะช่วยให้สามารถปิดปีได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการวางแผนในปีถัดไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การลงมือทำอย่างจริงจังในช่วงสุดท้ายนี้ จะส่งผลให้มีเงินออมมากขึ้นและสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบและมั่นคง

ตารางสรุปแนวทางการวางแผนการเงินสิ้นปี

เพื่อให้เห็นภาพรวมของ 7 ขั้นตอนสำคัญในการวางแผนการเงินช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ได้อย่างชัดเจน ตารางด้านล่างนี้ได้สรุปวัตถุประสงค์หลักและสิ่งที่ต้องดำเนินการในแต่ละแนวทาง

ตารางสรุปเช็คลิสต์การวางแผนการเงิน 7 ข้อก่อนสิ้นปี 2568
แนวทาง วัตถุประสงค์หลัก สิ่งที่ต้องทำ
1. ทำงบดุลส่วนบุคคล เพื่อทราบสถานะการเงินที่แท้จริง ลิสต์สินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดเพื่อคำนวณความมั่งคั่งสุทธิ
2. วางแผน 3 ด้านหลัก เพื่อกำหนดทิศทางและสร้างวินัย ตั้งเป้าหมาย, แบ่งสัดส่วนออม/ใช้, และจัดระบบบัญชี
3. สร้างงบประมาณรายปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรายจ่ายก้อนใหญ่ ลิสต์ค่าใช้จ่ายรายปี (เช่น ค่าประกัน, ภาษี) และวางแผนเก็บเงิน
4. จัดการหนี้สิน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเพิ่มความมั่งคั่ง รวบรวมข้อมูลหนี้ทั้งหมดและเลือกกลยุทธ์การชำระหนี้
5. สร้างกองทุนฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด สำรองเงินค่าใช้จ่าย 3-6 เดือนในบัญชีสภาพคล่องสูง
6. ปรับปรุงงบประมาณ เพื่อให้แผนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อัปเดตงบประมาณและทบทวนบัญชีธนาคาร/การลงทุน
7. จัดระเบียบโค้งสุดท้าย เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าและบรรลุเป้าหมาย เปรียบเทียบผลลัพธ์กับแผนที่วางไว้และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

บทสรุป: ก้าวสู่ปีใหม่อย่างมั่นคงทางการเงิน

การวางแผนการเงินโค้งสุดท้าย! 7 เรื่องต้องทำก่อนสิ้นปี 2568 ไม่ใช่เป็นเพียงการจัดการตัวเลข แต่เป็นกระบวนการที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่ออนาคตทางการเงินของตนเอง การสละเวลาในช่วงปลายปีเพื่อทบทวน ประเมิน และปรับปรุงแผนการเงินอย่างเป็นระบบ จะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างมหาศาลต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งในระยะยาว การทำความเข้าใจสถานะการเงินที่แท้จริงผ่านงบดุล การวางแผนภาษีอย่างรอบคอบ การจัดการหนี้สินอย่างมีกลยุทธ์ และการเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนด้วยกองทุนฉุกเฉิน ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่สุขภาพทางการเงินที่ดี

การเริ่มต้นลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินและก้าวเข้าสู่ปี 2569 ด้วยความพร้อม ความมั่นใจ และสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930