Shopping cart

เงินดิจิทัล 10,000 สรุปเงื่อนไขล่าสุด ใครได้บ้าง?

สารบัญ

โครงการ เงินดิจิทัล 10,000 สรุปเงื่อนไขล่าสุด ใครได้บ้าง? ถือเป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยตรงผ่านประชาชนผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ บรรเทาภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระดับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปประเด็นสำคัญของโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

  • คุณสมบัติผู้รับสิทธิ์: ผู้มีสิทธิ์ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่กำหนด มีรายได้ทั้งปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท และมีเงินฝากในบัญชีสถาบันการเงินรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
  • เงื่อนไขการใช้จ่าย: เงินดิจิทัลสามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอตามทะเบียนบ้านเท่านั้น และไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าออนไลน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือชำระค่าบริการต่างๆ ได้
  • วัตถุประสงค์หลัก: เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น และสนับสนุนให้ประชาชนและร้านค้าปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้น
  • กรอบเวลา: ผู้มีสิทธิ์จะต้องมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ภายในวันที่ 15-30 กันยายน 2567 และเกณฑ์รายได้และเงินฝากจะพิจารณาจากข้อมูล ณ วันที่สิ้นสุดที่กำหนด

ภาพรวมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

นโยบาย เงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นมาตรการทางการคลังที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซบเซาและเพิ่มสภาพคล่องในระบบ โดยรัฐบาลจะมอบเงินจำนวน 10,000 บาทให้กับประชาชนผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ผ่านแอปพลิเคชันหรือช่องทางดิจิทัลที่กำหนด เพื่อนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าในพื้นที่ที่กำหนดภายในระยะเวลาที่จำกัด กลไกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะถูกนำไปใช้เพื่อการบริโภคจริงและกระจายไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่หรือถูกนำไปใช้เพื่อการออมหรือชำระหนี้สิน

ความสำคัญและที่มาของนโยบาย

ที่มาของนโยบายนี้เกิดจากความต้องการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่กำลังซื้อของประชาชนลดลงสวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น การอัดฉีดเงินโดยตรงไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเครื่องมือที่คาดว่าจะเห็นผลได้อย่างรวดเร็วในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยมีเจตนาให้เกิด “ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ” (Economic Multiplier) ซึ่งหมายถึงเมื่อเงิน 10,000 บาทถูกใช้จ่ายในร้านค้าท้องถิ่น เจ้าของร้านค้าก็นำรายได้นั้นไปใช้จ่ายต่อ ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบและสร้างผลกระทบในวงกว้างมากกว่ามูลค่าเงินเริ่มต้น นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของประเทศให้ครอบคลุมและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม

กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ

โครงการนี้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพสูงมากที่สุด โดยการกำหนดเกณฑ์รายได้และเงินฝากเป็นการคัดกรองเพื่อให้ความช่วยเหลือส่งตรงไปยังผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง นอกจากนี้ นโยบายยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับกลุ่มเปราะบางในสังคม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมักจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น การช่วยเหลือกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบรรเทาทุกข์ แต่ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมทางสังคมอีกด้วย

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท

เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการไว้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยเงื่อนไขหลัก 3 ประการ ได้แก่ สัญชาติและอายุ รายได้ และเงินฝาก

การตรวจสอบคุณสมบัติเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าความช่วยเหลือจากภาครัฐถูกจัดสรรไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เกณฑ์ด้านสัญชาติและอายุ

คุณสมบัติพื้นฐานที่สุดคือการเป็นบุคคลสัญชาติไทย เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณของประเทศเพื่อดูแลพลเมืองของตนเอง นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำ โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปีบริบูรณ์ ภายในวันที่ 15-30 กันยายน 2567 การกำหนดเกณฑ์อายุนี้เพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับสิทธิ์มีความสามารถในการตัดสินใจใช้จ่ายและทำธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง

เกณฑ์ด้านรายได้ต่อปี

เกณฑ์ด้านรายได้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการคัดกรองผู้รับสิทธิ์ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ต้องมีรายได้พึงประเมินทั้งปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท หรือเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 70,000 บาท ตัวเลขนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง ทำให้สามารถจำกัดขอบเขตความช่วยเหลือไปยังกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนทางการเงินมากกว่า การใช้ข้อมูลรายได้จากปีภาษี 2566 เป็นฐานในการพิจารณา เนื่องจากเป็นข้อมูลล่าสุดที่ผ่านการตรวจสอบและยืนยันโดยกรมสรรพากร ทำให้มีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้

เกณฑ์ด้านเงินฝากในบัญชี

นอกเหนือจากรายได้แล้ว เกณฑ์ด้านเงินฝากยังถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดความมั่นคงทางการเงินอีกด้วย โดยกำหนดว่าผู้มีสิทธิ์จะต้องมีเงินฝากในบัญชีของสถาบันการเงินทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ณ วันที่กำหนด เกณฑ์นี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงแต่มีสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินออม) จำนวนมากได้รับสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการช่วยเหลือผู้ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินในปัจจุบัน การรวมยอดเงินฝากจากทุกบัญชีช่วยให้การประเมินสถานะทางการเงินมีความครอบคลุมและแม่นยำยิ่งขึ้น

กลุ่มเปราะบางที่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

รัฐบาลได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลกลุ่มเปราะบาง ซึ่งรวมถึงผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ผู้สูงอายุ และผู้พิการ บุคคลในกลุ่มเหล่านี้มักเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้โดยอัตโนมัติหากผ่านเกณฑ์พื้นฐาน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่รัฐมีข้อมูลอยู่แล้วและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างหลักประกันทางสังคมให้แก่พลเมืองทุกคน

เงื่อนไขและข้อจำกัดในการใช้จ่าย

เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากตามวัตถุประสงค์ โครงการได้กำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดในการใช้จ่ายไว้อย่างรัดกุม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการชี้นำพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับสิทธิ์ให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ

ตารางเปรียบเทียบประเภทสินค้าและบริการที่สามารถและไม่สามารถใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาทได้
ประเภทรายการ สิ่งที่สามารถใช้จ่ายได้ (✔) สิ่งที่ ไม่สามารถ ใช้จ่ายได้ (✘)
สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร, เครื่องดื่ม, ของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, ผลิตภัณฑ์จากกัญชา
พลังงานและเชื้อเพลิง น้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซหุงต้ม
บริการและค่าธรรมเนียม ค่าอาหารและบริการในร้านค้าขนาดเล็ก ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์, ค่าเทอม, การชำระหนี้สิน
ช่องทางการซื้อ ร้านค้าขนาดเล็กที่ลงทะเบียนและมีหน้าร้านจริง ร้านค้าออนไลน์ (E-commerce) ทุกประเภท
รูปแบบการแลกเปลี่ยน ใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า/บริการเท่านั้น แลกเปลี่ยนเป็นเงินสด, โอนให้ผู้อื่น, ซื้อบัตรกำนัล

พื้นที่และประเภทร้านค้าที่สามารถใช้บริการได้

ข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดคือการจำกัดพื้นที่การใช้จ่ายให้อยู่ในร้านค้าขนาดเล็กระดับอำเภอตามที่อยู่ทะเบียนบ้านของผู้รับสิทธิ์เท่านั้น การจำกัดพื้นที่นี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นโดยตรงและป้องกันไม่ให้เงินไหลออกไปสู่เมืองใหญ่หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ร้านค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีและผ่านการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจว่าร้านค้าเหล่านี้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการมากขึ้น

สินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้เงินดิจิทัลชำระได้

เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม โครงการได้กำหนดรายการสินค้าและบริการต้องห้ามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งได้แก่:

  • อบายมุข: เช่น สุรา, เบียร์, ไวน์, ยาสูบ, ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา
  • สินค้าออนไลน์: ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้ เพื่อสนับสนุนร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง
  • น้ำมันเชื้อเพลิง: เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การกระตุ้นการบริโภคสินค้าโดยตรง
  • การชำระหนี้และค่าบริการ: ไม่สามารถนำไปชำระหนี้สิน, ค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ, ค่าไฟ), ค่าโทรศัพท์, หรือค่าเทอมได้

ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อชี้นำให้เงินถูกใช้ไปกับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตและผู้ค้ารายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน

ข้อห้ามในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด

หัวใจของโครงการคือการ “กระตุ้นการใช้จ่าย” ดังนั้นจึงมีข้อห้ามเด็ดขาดในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลเป็นเงินสด หรือการโอนสิทธิ์ให้แก่ผู้อื่น สำหรับฝั่งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถถอนเงินออกจากระบบได้ก็ต่อเมื่อเกิดการใช้จ่ายตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป หมายความว่าร้านค้าต้องนำเงินที่ได้รับจากลูกค้าไปใช้จ่ายต่อกับซัพพลายเออร์หรือร้านค้าอื่นในระบบก่อน จึงจะสามารถเบิกเป็นเงินสดได้ในลำดับถัดไป กลไกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบังคับให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบดิจิทัลหลายทอด ซึ่งจะช่วยขยายผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

วัตถุประสงค์และผลกระทบที่คาดหวัง

นอกเหนือจากการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนแล้ว โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทยังมีวัตถุประสงค์เชิงโครงสร้างที่สำคัญอีกหลายประการ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

การกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก

เป้าหมายหลักคือการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระดับชุมชนโดยตรง การจำกัดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่ารายได้จะกระจายไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอยของระบบเศรษฐกิจ เมื่อร้านค้าเหล่านี้มีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะนำไปสู่การสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น การจ้างงานในท้องถิ่น และการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากระดับฐานรากให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

การส่งเสริมการเข้าสู่ระบบการเงินดิจิทัล

โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเต็มรูปแบบ การที่ประชาชนจำนวนมากต้องเรียนรู้และใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อรับและใช้จ่ายเงินดิจิทัล จะช่วยสร้างความคุ้นเคยและทักษะด้านดิจิทัลในวงกว้าง ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายย่อยก็จะถูกกระตุ้นให้ปรับตัวเข้าระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจัดการเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสร้างฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการขอสินเชื่อหรือการวางแผนธุรกิจในอนาคต

บทสรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์

โดยสรุป โครงการ เงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นนโยบายที่มีเป้าหมายชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่รัดกุมเพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจชุมชนและส่งเสริมการใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็น ผู้ที่เข้าเกณฑ์คือพลเมืองไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้และเงินฝากไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด

สำหรับประชาชนที่ตรวจสอบแล้วพบว่าตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไข ควรเตรียมความพร้อมโดยการติดตามข่าวสารและประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐเกี่ยวกับขั้นตอนและกำหนดการในการลงทะเบียนยืนยันสิทธิ์ เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสในการเข้าร่วมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญนี้ การทำความเข้าใจในเงื่อนไขการใช้จ่ายล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถวางแผนการใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุด

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930