Shopping cart

เงินดิจิทัล 10,000 บาท: อัปเดตเงื่อนไขล่าสุด ใครได้บ้าง?

สารบัญ

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการเพิ่มกำลังซื้อในระดับครัวเรือน บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเงื่อนไขล่าสุด คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ และรายละเอียดสำคัญต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว

สรุปประเด็นสำคัญของโครงการ

  • คุณสมบัติผู้รับสิทธิ์: ผู้มีสิทธิ์ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันปิดลงทะเบียน มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และมีเงินฝากรวมทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท ณ วันที่กำหนด
  • กำหนดการลงทะเบียน: การลงทะเบียนสำหรับประชาชนทั่วไปจะเปิดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยมีช่องทางหลักผ่านแอปพลิเคชันของรัฐ และมีช่องทางเสริมสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
  • ระยะเวลาการใช้จ่าย: ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์จะสามารถเริ่มใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลคาดหวังให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงสุด
  • ข้อจำกัดการใช้งาน: เงินดิจิทัลสามารถใช้ได้กับร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ตามทะเบียนบ้านเท่านั้น และไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ สินค้าอบายมุข น้ำมันเชื้อเพลิง หรือชำระค่าบริการต่างๆ ได้
  • เป้าหมายหลัก: โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และส่งเสริมการยอมรับเทคโนโลยีการเงินดิจิทัลในวงกว้าง

ส่วนนำ (Lead)

สำหรับคำถามที่ว่า เงินดิจิทัล 10,000 บาท: อัปเดตเงื่อนไขล่าสุด ใครได้บ้าง? โครงการนี้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ออกแบบมาเพื่อมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิ์ผ่านระบบดิจิทัล โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจระดับฐานรากและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง การทำความเข้าใจในเกณฑ์คุณสมบัติ เงื่อนไขการใช้จ่าย และกรอบเวลาของโครงการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่ต้องการตรวจสอบสิทธิ์ของตนเองและเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ

ทำความรู้จักโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

ทำความรู้จักโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทเกิดขึ้นจากความตั้งใจของภาครัฐที่ต้องการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มร้านค้าขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการคือประชาชนชาวไทยที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทันทีและส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดการดำเนินโครงการได้ถูกวางไว้ให้สอดคล้องกับช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมสูงสุด

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจไทย ลดภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการเงินดิจิทัลในประเทศ

เกณฑ์และคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ

เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลได้กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติสำหรับผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในโครงการไว้อย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานทางประชากรไปจนถึงสถานะทางการเงิน

คุณสมบัติด้านสัญชาติและอายุ

คุณสมบัติพื้นฐานที่สุดสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการคือการมีสัญชาติไทย และต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อกำหนดเพื่อยืนยันสถานะความเป็นพลเมืองและเพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิประโยชน์นี้มอบให้กับคนไทยโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีเกณฑ์ด้านอายุ โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับการลงทะเบียน คือวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2567 เกณฑ์อายุนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับสิทธิ์มีความสามารถในการจัดการทางการเงินเบื้องต้นและสามารถทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลได้ด้วยตนเอง

เกณฑ์รายได้ต่อปี

เพื่อมุ่งเน้นการช่วยเหลือไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โครงการได้กำหนดเพดานรายได้ของผู้มีสิทธิ์ไว้อย่างชัดเจน โดยผู้เข้าร่วมจะต้องมีรายได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี การพิจารณารายได้นี้จะอ้างอิงจากข้อมูลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2566 เกณฑ์ดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการคัดกรองผู้มีรายได้สูงออกจากโครงการ ทำให้งบประมาณถูกจัดสรรไปยังกลุ่มประชากรที่มีความจำเป็นมากกว่า และคาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า

เกณฑ์เงินฝากในบัญชี

นอกเหนือจากเกณฑ์รายได้แล้ว ยังมีการกำหนดเกณฑ์ด้านเงินฝากเพื่อประเมินสถานะทางการเงินของผู้มีสิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีเงินฝากในบัญชีกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทุกบัญชี ไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งจะพิจารณาจากยอดเงินฝาก ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 การกำหนดเงื่อนไขนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองบุคคลที่มีสินทรัพย์สภาพคล่องสูง ซึ่งอาจไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการรับความช่วยเหลือทางการเงิน ทำให้โครงการสามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการสภาพคล่องในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

เงื่อนไขและข้อจำกัดอื่นๆ

นอกเหนือจากคุณสมบัติหลักด้านอายุ รายได้ และเงินฝากแล้ว ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่อาจทำให้บุคคลไม่ได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้ ซึ่งประกอบด้วย:

  • สถานะการถูกคุมขัง: บุคคลที่อยู่ในสถานะถูกคุมขังในเรือนจำตามคำพิพากษาถึงที่สุด จะไม่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์
  • ประวัติการเข้าร่วมโครงการรัฐ: ผู้ที่เคยถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ อาจไม่ได้รับการพิจารณา
  • การฝ่าฝืนเงื่อนไข: บุคคลที่มีประวัติฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการหรือโครงการเงินช่วยเหลืออื่นๆ ของภาครัฐ อาจถูกตัดสิทธิ์จากการเข้าร่วม

เงื่อนไขเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นว่าโครงการจะดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและเป็นธรรม

ขั้นตอนและกำหนดการลงทะเบียน

กระบวนการลงทะเบียนถูกออกแบบมาให้เข้าถึงได้ง่ายสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงมีช่องทางรองรับสำหรับกลุ่มที่อาจมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี

การลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน

ช่องทางหลักในการลงทะเบียนคือการดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันของรัฐบาลที่จัดทำขึ้นสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ ประชาชนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและดำเนินการลงทะเบียนยืนยันตัวตนได้ด้วยตนเอง โดยช่วงเวลาการลงทะเบียนผ่านช่องทางนี้ได้กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน พ.ศ. 2567 วิธีการนี้ถือเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ทำให้ภาครัฐสามารถรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลผู้ลงทะเบียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่องทางสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน

เพื่อให้โครงการครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน รัฐบาลได้จัดเตรียมช่องทางการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนแบบออฟไลน์ไว้ด้วย โดยผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงเวลาถัดมา คือระหว่างวันที่ 16 กันยายน ถึง 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567 รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่และขั้นตอนที่ชัดเจนจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง ซึ่งการมีช่องทางเลือกนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

เจาะลึกเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาท

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โครงการจึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ทั้งในเรื่องของสถานที่และประเภทสินค้า

พื้นที่และประเภทของร้านค้าที่เข้าร่วม

หัวใจสำคัญของเงื่อนไขการใช้จ่ายคือการจำกัดพื้นที่การใช้งานให้อยู่ใน ระดับอำเภอตามที่อยู่ทะเบียนบ้าน ของผู้ได้รับสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้จะต้องถูกใช้จ่ายกับร้านค้าในพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้น เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนและกระจายรายได้ภายในชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

สำหรับร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการได้นั้น จะต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็กเป็นหลัก และต้องมีคุณสมบัติตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยสิ่งสำคัญคือร้านค้าต้องอยู่ในระบบภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้รัฐสามารถติดตามการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจได้อย่างโปร่งใส

สินค้าและบริการที่ถูกจำกัดภายใต้โครงการ

โครงการได้กำหนดรายการสินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้เงินดิจิทัลซื้อได้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์และส่งเสริมการบริโภคสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเป็นหลัก

สรุปรายการสินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้ภายใต้โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท
หมวดหมู่ รายละเอียดรายการที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้
สินค้าอบายมุข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, กัญชา, พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ช่องทางออนไลน์ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ได้
พลังงาน น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ และก๊าซธรรมชาติ
บริการต่างๆ ไม่สามารถใช้ชำระค่าบริการทุกชนิด เช่น ค่าซ่อม, ค่าเดินทาง, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์, ค่าเทอม หรือชำระหนี้สิน
ธุรกรรมทางการเงิน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดโดยตรง หรือนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดอื่นๆ ได้
รายการอื่นๆ สินค้าหรือบริการอื่นๆ ที่กระทรวงพาณิชย์อาจมีการประกาศเพิ่มเติมในอนาคต

กรอบระยะเวลาโครงการและการใช้งาน

การกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โครงการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวัง

ช่วงเวลาการใช้จ่ายสำหรับประชาชน

ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการจะสามารถเริ่มใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาทได้ใน ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ซึ่งครอบคลุมช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม การกำหนดช่วงเวลานี้มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลและวันหยุดยาว ซึ่งปกติแล้วจะมีการบริโภคสูง การอัดฉีดเงินในช่วงนี้จึงคาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักมากยิ่งขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่จำกัด

กลไกการถอนเงินสำหรับร้านค้า

สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จะไม่สามารถถอนเงินที่ได้รับจากประชาชนเป็นเงินสดได้ทันทีในรอบแรก กลไกของโครงการกำหนดให้ร้านค้าสามารถถอนเงินสดได้ก็ต่อเมื่อเกิด การใช้จ่ายในรอบที่สองขึ้นไป หมายความว่าร้านค้าจะต้องนำเงินดิจิทัลที่ได้รับจากลูกค้ารอบแรกไปใช้จ่ายต่อกับร้านค้าอื่นในระบบก่อน กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “Multiplier Effect” หรือการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจหลายๆ รอบ ก่อนที่เงินจะถูกถอนออกจากระบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยขยายผลกระทบของการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กว้างขวางและยาวนานขึ้น

วัตถุประสงค์และผลกระทบที่คาดหวัง

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและวางรากฐานสำหรับอนาคตดิจิทัลของประเทศ โดยผลกระทบที่คาดหวังสามารถสรุปได้เป็น 3 ด้านหลัก คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก, การลดภาระค่าครองชีพ และการส่งเสริมการเงินดิจิทัล การจำกัดการใช้จ่ายให้อยู่ในร้านค้าขนาดเล็กระดับอำเภอเป็นการบังคับให้เม็ดเงินกระจายตัวลงสู่ชุมชนโดยตรง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ในเมือง ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่

นอกจากนี้ เงินจำนวน 10,000 บาท ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง ช่วยให้พวกเขามีกำลังซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพมากขึ้นในระยะสั้น และในขณะเดียวกัน การที่ทั้งประชาชนและร้านค้าต้องทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ก็เป็นการผลักดันให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว

บทสรุปและแนวทางการเตรียมความพร้อม

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขและรายละเอียดที่ชัดเจน การทำความเข้าใจในคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วยเกณฑ์ด้านอายุ รายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ การรับทราบกำหนดการลงทะเบียนในช่วงไตรมาสที่ 3 และช่วงเวลาการใช้จ่ายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะช่วยให้สามารถวางแผนการเงินและการใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม

ยิ่งไปกว่านั้น การทราบถึงข้อจำกัดในการใช้จ่าย เช่น การจำกัดพื้นที่ในระดับอำเภอ และการยกเว้นสินค้าบางประเภท อาทิ สินค้าออนไลน์และบริการต่างๆ จะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดและทำให้การใช้สิทธิ์เป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้น การตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองให้แน่ใจและเตรียมความพร้อมสำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนจึงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930