พลิกวิกฤต! วีซ่า Digital Nomad 2.0 โอกาสสร้างเงินของคนไทย
- ทำความเข้าใจ วีซ่า Digital Nomad 2.0: ประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ
- เจาะลึกวีซ่าสำหรับ Digital Nomad ในประเทศไทย
- เปรียบเทียบคุณสมบัติและเงื่อนไข: DTV vs LTR Visa
- โอกาสทองสำหรับคนไทย: เปลี่ยนกระแสให้เป็นรายได้
- ขั้นตอนการสมัครและข้อควรพิจารณา
- บทสรุป: อนาคตเศรษฐกิจไทยในยุค Digital Nomad
- สร้างสรรค์แบรนด์ของคุณให้โดดเด่น
ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจโลก กระแสการทำงานทางไกลได้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของกลุ่มแรงงานทักษะสูงจากทั่วโลก
- วีซ่า Digital Nomad 2.0 เป็นนโยบายเชิงรุกของภาครัฐที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงให้เข้ามาทำงานและพำนักในประเทศไทยระยะยาว
- นโยบายนี้สร้างโอกาสทางธุรกิจและช่องทางการสร้างรายได้เสริมใหม่ๆ ให้กับคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบริการ อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
- วีซ่าหลักที่เกี่ยวข้องมี 2 ประเภท คือ Destination Thailand Visa (DTV) สำหรับกลุ่มคนทำงานทางไกลทั่วไป และ Long-Term Resident (LTR) Visa สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง ซึ่งมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน
- การเข้ามาของกลุ่ม Digital Nomad จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ยกระดับทักษะแรงงาน และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างมีนัยสำคัญ
แนวคิดเรื่อง พลิกวิกฤต! วีซ่า Digital Nomad 2.0 โอกาสสร้างเงินของคนไทย กำลังกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ นโยบายนี้ไม่ใช่เพียงแค่การอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และแรงงานไทย การทำความเข้าใจในรายละเอียดของวีซ่าแต่ละประเภทและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเตรียมความพร้อมและคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจบริการ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาทักษะในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
กระแสการทำงานแบบ “Work from Anywhere” ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของตลาดแรงงานไปอย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ได้ปรับตัวเพื่อตอบรับกับเทรนด์ดังกล่าวผ่านการผลักดันนโยบายวีซ่าสำหรับกลุ่ม Digital Nomad อย่างจริงจัง โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดกลุ่มคนทำงานที่มีศักยภาพสูง มีรายได้จากต่างประเทศ และมีกำลังซื้อ ให้เข้ามาใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ แต่ยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
ทำความเข้าใจ วีซ่า Digital Nomad 2.0: ประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ
พลิกวิกฤต! วีซ่า Digital Nomad 2.0 โอกาสสร้างเงินของคนไทย ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้าง แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลไทยนำมาใช้เพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพจากทั่วโลกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำงานและการใช้ชีวิตของกลุ่มคนทำงานยุคใหม่ ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ยืดหยุ่นและไม่ยึดติดกับสถานที่ทำงานแบบเดิมๆ
โครงการวีซ่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกลุ่มบุคคลที่มีรายได้จากแหล่งนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัทต่างชาติ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของธุรกิจออนไลน์ ที่สามารถปฏิบัติงานจากที่ใดก็ได้ในโลก การมีนโยบายที่ชัดเจนและอำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มนี้สามารถพำนักในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมายในระยะยาว ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้ามาของกลุ่ม Digital Nomad ไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เป็นการนำเข้า ‘ทุนมนุษย์’ และกำลังซื้อคุณภาพสูงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ระดับจุลภาคไปจนถึงมหภาค
เจาะลึกวีซ่าสำหรับ Digital Nomad ในประเทศไทย
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มคนทำงานทางไกล ประเทศไทยได้นำเสนอโครงการวีซ่าหลัก 2 ประเภท ที่มีเป้าหมายและเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ฟรีแลนซ์ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
Destination Thailand Visa (DTV): วีซ่าเพื่อการทำงานทางไกล
Destination Thailand Visa หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วีซ่าทำงานท่องเที่ยว” (Workcation Visa) เป็นวีซ่าที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม Digital Nomad, ฟรีแลนซ์, และคนทำงานทางไกลที่ทำงานให้กับบริษัทหรือลูกค้าในต่างประเทศ วีซ่าประเภทนี้มีความยืดหยุ่นสูงและมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มนี้สามารถพำนักและทำงานในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบาย
คุณสมบัติและเงื่อนไขสำคัญของ DTV:
- อายุ: ผู้สมัครต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- แหล่งที่มาของรายได้: ต้องมีหลักฐานการจ้างงานจากบริษัทต่างชาติ หรือมีรายได้จากแหล่งนอกประเทศไทย
- สถานะทางการเงิน: ต้องมีเงินในบัญชีธนาคารในประเทศไทยอย่างน้อย 500,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือนล่าสุดก่อนยื่นขอวีซ่า ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 14,400 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการรับรองความสามารถในการใช้จ่ายระหว่างพำนักอาศัย
- ระยะเวลาพำนัก: วีซ่ามีอายุ 5 ปี สามารถพำนักได้ครั้งละ 180 วัน และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 180 วัน รวมเป็น 1 ปีเต็ม โดยยังคงอยู่ในอายุของวีซ่า 5 ปี ซึ่งผู้ถือวีซ่าจำเป็นต้องเดินทางออกและกลับเข้ามาใหม่ (Re-entry) เพื่อเริ่มต้นรอบ 180 วันใหม่
DTV ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทยในระยะกลางถึงระยะยาว โดยมีขั้นตอนการสมัครที่ไม่ซับซ้อนเท่ากับวีซ่าประเภทอื่น
Long-Term Resident (LTR) Visa: สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง
Long-Term Resident (LTR) Visa เป็นวีซ่าอีกหนึ่งทางเลือกที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง, ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเทคโนโลยี, นักลงทุน, และผู้เกษียณอายุที่มีศักยภาพสูง วีซ่าประเภทนี้มอบสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าและระยะเวลาพำนักที่ยาวนานถึง 10 ปี เพื่อดึงดูดบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
คุณสมบัติและเงื่อนไขสำคัญของ LTR (สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง):
- รายได้ขั้นต่ำ: ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วง 2 ปีก่อนหน้าการยื่นขอวีซ่า
- ข้อยกเว้นด้านรายได้: หากมีรายได้ระหว่าง 40,000 – 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ผู้สมัครจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 ปี
- อุตสาหกรรมเป้าหมาย: ผู้สมัครต้องทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล, การวิจัยและพัฒนา, ยานยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ
- ระยะเวลาพำนัก: วีซ่ามีอายุสูงสุด 10 ปี โดยไม่ต้องทำการขอต่ออายุหรือเดินทางออกนอกประเทศบ่อยครั้งเหมือน DTV ซึ่งมอบความมั่นคงในการวางแผนชีวิตระยะยาว
LTR Visa จึงเป็นวีซ่าระดับพรีเมียมสำหรับบุคลากรที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและต้องการปักหลักในประเทศไทยอย่างจริงจัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
เปรียบเทียบคุณสมบัติและเงื่อนไข: DTV vs LTR Visa
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบระหว่างวีซ่า Destination Thailand Visa (DTV) และ Long-Term Resident (LTR) Visa จะช่วยให้เข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับคนไทยที่ต้องการพัฒนาธุรกิจหรือบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของชาวต่างชาติแต่ละกลุ่ม
| คุณสมบัติ | Destination Thailand Visa (DTV) | Long-Term Resident (LTR) Visa |
|---|---|---|
| กลุ่มเป้าหมายหลัก | Digital Nomads, ฟรีแลนซ์, พนักงานบริษัทต่างชาติที่ทำงานทางไกล | ผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย, ผู้บริหาร, นักลงทุน |
| อายุวีซ่าสูงสุด | 5 ปี | 10 ปี |
| ระยะเวลาพำนักต่อครั้ง | 180 วัน (สามารถขยายได้อีก 180 วัน) | พำนักได้ต่อเนื่องตลอดอายุวีซ่า (ต้องรายงานตัวทุก 1 ปี) |
| เงื่อนไขรายได้ขั้นต่ำ | ไม่มีกำหนดรายได้ขั้นต่ำ แต่ต้องมีเงินในบัญชี 500,000 บาท | รายได้ขั้นต่ำ 80,000 USD/ปี (หรือ 40,000 USD/ปี พร้อมคุณสมบัติเพิ่มเติม) |
| ความยืดหยุ่น | สูง เหมาะสำหรับการทดลองใช้ชีวิตและทำงานระยะกลาง | ต่ำกว่า แต่ให้ความมั่นคงในการพำนักระยะยาว |
โอกาสทองสำหรับคนไทย: เปลี่ยนกระแสให้เป็นรายได้
การหลั่งไหลเข้ามาของกลุ่ม Digital Nomad และผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อชาวต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังเป็นการสร้าง “โอกาสทอง” สำหรับคนไทยในการสร้างธุรกิจ สร้างรายได้เสริม และพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดใหม่นี้
ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Digital Nomad
กลุ่ม Digital Nomad มีความต้องการเฉพาะตัวที่แตกต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป พวกเขาต้องการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างลงตัว นี่คือช่องทางสำหรับธุรกิจบริการใหม่ๆ:
- Co-working & Co-living Spaces: การสร้างพื้นที่ทำงานร่วมที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และชุมชนที่แข็งแกร่ง กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก นอกจากนี้ โมเดล Co-living ที่ผสมผสานที่พักและพื้นที่ทำงานเข้าด้วยกันก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: ร้านกาแฟที่ออกแบบมาเพื่อการทำงาน (Work-friendly Cafe), บริการจัดส่งอาหารเพื่อสุขภาพ, หรือร้านอาหารที่รองรับความต้องการด้านโภชนาการที่หลากหลาย ล้วนเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับชุมชน Digital Nomad
- บริการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์: คลาสโยคะ, ฟิตเนส, บริการนวดเพื่อสุขภาพ, และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เช่น ทริปดำน้ำ, เดินป่า, หรือคลาสทำอาหารไทย เป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้มองหาเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต
การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า
ความต้องการที่พักอาศัยระยะกลางถึงระยะยาว (Monthly Rentals) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือโอกาสสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้เสริมที่มั่นคง
- คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์: การลงทุนในคอนโดมิเนียมในทำเลศักยภาพ เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้า, ย่านธุรกิจ หรือใกล้แหล่งท่องเที่ยว แล้วนำมาตกแต่งให้พร้อมเข้าอยู่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำงาน สามารถปล่อยเช่าในรูปแบบรายเดือนได้ในราคาที่ดี
- บ้านพักและวิลล่า: ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่, ภูเก็ต หรือเกาะสมุย การลงทุนในบ้านพักหรือพูลวิลล่าเพื่อปล่อยเช่ารายเดือนหรือรายไตรมาส เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจสำหรับกลุ่ม Digital Nomad ที่มากันเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน
- การบริหารจัดการที่พัก: สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การทำธุรกิจบริหารจัดการการปล่อยเช่าให้กับเจ้าของทรัพย์สินก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ทักษะมากกว่าเงินทุน
การเติบโตของตลาดแรงงานและทักษะใหม่
การมีชาวต่างชาติทักษะสูงเข้ามาในประเทศจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในภาคบริการและส่งเสริมให้แรงงานไทยต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันและทำงานร่วมกับชาวต่างชาติได้ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพของตลาดแรงงานโดยรวม
ขั้นตอนการสมัครและข้อควรพิจารณา
สำหรับชาวต่างชาติที่สนใจยื่นขอวีซ่าประเภทต่างๆ กระบวนการสมัครจำเป็นต้องมีการเตรียมเอกสารอย่างรอบคอบ ขณะเดียวกัน ผู้ที่ได้รับวีซ่าแล้วก็มีข้อควรพิจารณาบางประการที่ต้องปฏิบัติตาม
กระบวนการยื่นขอวีซ่า
โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการสมัครสามารถทำได้ทั้งทางออนไลน์และผ่านสถานกงสุลไทยในประเทศของผู้สมัคร โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:
- ลงทะเบียนและยื่นเอกสาร: ผู้สมัครต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และยื่นเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด เช่น หลักฐานการจ้างงาน, เอกสารทางการเงิน และหนังสือเดินทาง
- ชำระค่าธรรมเนียม: ดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมในการยื่นขอวีซ่าตามที่กำหนด
- การสัมภาษณ์ (ถ้ามี): ในบางกรณี ผู้สมัครอาจถูกเรียกสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติม
- รอผลการอนุมัติ: หลังจากยื่นเอกสารครบถ้วนแล้ว จะต้องรอผลการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่
ภาระผูกพันทางภาษีและข้อจำกัด
แม้ว่าวีซ่าจะอนุญาตให้พำนักในประเทศไทยได้ในระยะยาว แต่ผู้ถือวีซ่าควรตระหนักถึงภาระผูกพันทางภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่พำนักในประเทศไทยในแต่ละปีภาษี ถึงแม้จะทำงานให้กับบริษัทต่างชาติก็ตาม นอกจากนี้ สำหรับผู้ถือวีซ่า DTV การบริหารจัดการการเดินทางเข้า-ออกประเทศทุก 180 วันเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากวีซ่านี้ไม่ถือเป็นการพำนักถาวรโดยอัตโนมัติ
บทสรุป: อนาคตเศรษฐกิจไทยในยุค Digital Nomad
นโยบาย วีซ่า Digital Nomad 2.0 ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ของโลกยุคใหม่ การเปิดรับกลุ่มคนทำงานทางไกลและผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงไม่เพียงแต่จะช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาว
สำหรับคนไทย นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสในการปรับตัวและแสวงหาช่องทางใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจบริการ, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, หรือการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาและเทคโนโลยี การเข้าใจถึงความต้องการและพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้สามารถคว้าโอกาสจากกระแส Digital Nomad และเปลี่ยนให้เป็นความมั่งคั่งที่ยั่งยืนสำหรับตนเองและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
สร้างสรรค์แบรนด์ของคุณให้โดดเด่น
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การสร้างเอกลักษณ์และภาพลักษณ์ที่น่าจดจำให้กับองค์กรหรือแบรนด์ของคุณคือสิ่งสำคัญ KDC SPORT พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์แบรนด์ของคุณผ่านบริการรับผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าพิมพ์ลายคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ากีฬาที่เน้นประสิทธิภาพ, เสื้อสำหรับองค์กรที่ต้องการความเป็นมืออาชีพ, หรือเสื้อยืดสำหรับกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย นอกจากนี้ เรายังรับผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความมุ่งมั่นในคุณภาพและบริการที่น่าประทับใจ
หากต้องการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับแบรนด์ของคุณ ติดต่อเรา
ที่อยู่ของเรา
888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
094-295-9898


