ลาก่อนเงินสด! แบงก์ชาติเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’
โลกการเงินกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศเดินหน้าพัฒนาและเตรียมทดสอบ ‘เงินบาทดิจิทัล’ หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะปฏิวัติระบบการชำระเงินของประเทศ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริงในอนาคต
- เงินบาทดิจิทัล คือ สกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง มีสถานะเทียบเท่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ แต่มาในรูปแบบดิจิทัล
- ธปท. มีแผนจะเริ่มทดสอบการใช้งานเงินบาทดิจิทัลในวงจำกัด (Pilot Test) ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เพื่อประเมินผลกระทบและความพร้อมของระบบ
- สกุลเงินดิจิทัลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ทางเลือก” ในการชำระเงิน ควบคู่ไปกับเงินสดและการชำระเงินรูปแบบเดิม ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทดแทนเงินสดทั้งหมดในทันที
- เงินบาทดิจิทัลจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย และจะมีกลไกควบคุมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโดยรวม
- การเปลี่ยนผ่านนี้มาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจและการเข้าถึงสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการรับมือความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก ประเทศไทยกำลังเผชิญกับอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ เมื่อแนวคิดเรื่อง ลาก่อนเงินสด! แบงก์ชาติเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ได้กลายเป็นความจริงที่ใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ดูแลเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน หรือ Retail CBDC อย่างจริงจัง เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคต รองรับนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมีกำหนดการทดสอบในวงจำกัดที่ชัดเจนในปี 2568 ซึ่งส่งสัญญาณว่าภูมิทัศน์ทางการเงินของไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
โครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่เป็นผลมาจากการศึกษาและพัฒนาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี เพื่อให้มั่นใจว่าการนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีความเสี่ยงต่ำที่สุดต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม การทำความเข้าใจว่าเงินบาทดิจิทัลคืออะไร แตกต่างจากเงินที่เราใช้ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารในปัจจุบันอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับสังคมไทยในภาพรวม
เงินบาทดิจิทัลคืออะไร และแตกต่างจากเงินดิจิทัลอื่นอย่างไร
แม้ว่าปัจจุบันผู้คนจะคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร หรือการใช้จ่ายผ่าน e-Wallet แต่เงินบาทดิจิทัลมีความแตกต่างในเชิงโครงสร้างและสถานะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน
นิยามของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC)
เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือ เงินสกุลบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีสถานะเป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง สามารถใช้อ้างอิงมูลค่าได้เช่นเดียวกับธนบัตรที่หมุนเวียนในปัจจุบัน กล่าวคือ 1 บาทดิจิทัล มีค่าเท่ากับ 1 บาทในรูปแบบธนบัตรหรือเหรียญทุกประการ และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างเงินบาทดิจิทัลกับเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์ที่ใช้กันผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ คือ “ผู้ออก” เงินในบัญชีธนาคารที่เราใช้กันอยู่นั้นเป็น “เงินของธนาคารพาณิชย์” (Commercial Bank Money) ซึ่งเป็นหนี้สินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ ในขณะที่เงินบาทดิจิทัลเป็น “เงินของธนาคารกลาง” (Central Bank Money) ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้เป็นศูนย์ เปรียบเสมือนการถือธนบัตรไว้ในมือ แต่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิจิทัลในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Wallet) ที่ปลอดภัย
เปรียบเทียบความแตกต่าง: เงินบาทดิจิทัล vs เงินในแอปธนาคาร vs เงินสด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินแต่ละประเภทได้ดังตารางต่อไปนี้
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (CBDC) | เงินฝากในแอปธนาคาร | เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) |
---|---|---|---|
ผู้ออก (Issuer) | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ธนาคารพาณิชย์ | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) |
รูปแบบ (Form) | ดิจิทัล | ดิจิทัล (บันทึกในบัญชี) | กายภาพ |
สถานะทางกฎหมาย | หนี้สินของธนาคารกลาง | หนี้สินของธนาคารพาณิชย์ | หนี้สินของธนาคารกลาง |
ความเสี่ยงด้านเครดิต | ไม่มี (Risk-free) | มีความเสี่ยง (Credit Risk) ของธนาคารพาณิชย์ | ไม่มี (Risk-free) |
ดอกเบี้ย (Interest) | ไม่มีการให้ดอกเบี้ย | มี (ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชี) | ไม่มี |
ตัวอย่างการใช้งาน | การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันผ่าน Digital Wallet ที่เชื่อมกับระบบ CBDC โดยตรง | การโอนเงิน/ชำระเงินผ่าน Mobile Banking, e-Wallet | การใช้จ่ายทั่วไป, การชำระเงินแบบไม่เปิดเผยตัวตน |
เส้นทางการพัฒนา CBDC ของไทย: จากแนวคิดสู่การทดลองใช้
การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการศึกษา วิจัย และทดลองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
โครงการอินทนนท์: รากฐานสำคัญของเงินบาทดิจิทัล
จุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนา CBDC ในประเทศไทยคือ โครงการอินทนนท์ (Project Inthanon) ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2562 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง โครงการนี้มุ่งเน้นการศึกษาและทดสอบการนำเทคโนโลยีประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) มาประยุกต์ใช้กับระบบการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงิน (Wholesale CBDC)
โครงการอินทนนท์ได้ดำเนินการมาแล้วหลายระยะ โดยขยายขอบเขตการทดสอบจากการโอนเงินในประเทศไปสู่การโอนเงินข้ามพรมแดน และการทดสอบกับธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากโครงการนี้ได้กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการต่อยอดมาสู่การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน (Retail CBDC) เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังมีความมั่นคง ปลอดภัย และสามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมหาศาลได้
โครงการอินทนนท์ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างองค์ความรู้และทดสอบความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเงินบาทดิจิทัลในระยะยาว
ก้าวต่อไป: แผนการทดสอบในวงจำกัดปี 2568
จากความสำเร็จของโครงการอินทนนท์ ธปท. ได้ประกาศแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนสำหรับ Retail CBDC โดยจะเริ่มขั้นตอนการทดสอบในวงจำกัด (Pilot Test) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 การทดสอบนี้จะเปิดให้ประชาชนและร้านค้ากลุ่มเล็กๆ ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมทดลองใช้งานเงินบาทดิจิทัลในสถานการณ์จริง ผ่านช่องทางที่คุ้นเคยอย่าง แอปเป๋าตัง หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
วัตถุประสงค์หลักของการทดสอบนี้ คือการประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมจริง ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคและร้านค้า และรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงระบบก่อนการพิจารณาใช้งานในวงกว้างต่อไป การทดสอบจะครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่
- การใช้งานพื้นฐาน (Foundation Track): ทดสอบการทำธุรกรรมพื้นฐาน เช่น การเติมเงิน การโอนเงิน และการชำระค่าสินค้าและบริการ
- การพัฒนานวัตกรรม (Innovation Track): เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและโปรแกรมเมอร์นำเสนอกรณีการใช้งานใหม่ๆ ที่ต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานของ CBDC เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน
- การประเมินผลกระทบเชิงนโยบาย: ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินในมิติต่างๆ เพื่อออกแบบนโยบายกำกับดูแลที่เหมาะสม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม: โอกาสและความท้าทาย
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในมิติของโอกาสในการพัฒนาระบบการเงินของประเทศ และความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเผชิญ
ประโยชน์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเงินดิจิทัล
การมีเงินบาทดิจิทัลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการชำระเงิน คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ:
- ลดต้นทุนการจัดการเงินสด: ช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ และการทำลายธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาลของระบบเศรษฐกิจ
- เพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน: การชำระเงินผ่านระบบ CBDC สามารถทำได้รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับบางระบบในปัจจุบัน และลดความเสี่ยงจากการที่ระบบการชำระเงินต้องพึ่งพาผู้ให้บริการเอกชนเพียงไม่กี่ราย
- ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐ จะเป็นรากฐานให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ (Programmable Money) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
- เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน: สำหรับประชาชนบางกลุ่มที่อาจไม่มีบัญชีธนาคาร การเข้าถึงเงินบาทดิจิทัลผ่าน Digital Wallet อาจเป็นช่องทางในการเข้าสู่ระบบการเงินที่เป็นทางการได้ง่ายขึ้น
ข้อควรระวังและความท้าทายที่ต้องเผชิญ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญ ซึ่ง ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:
- ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide): ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการสร้างความมั่นใจว่าประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล หรือกลุ่มหาบเร่แผงลอยที่อาจไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์หรือทักษะทางดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็วเกินไปอาจซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ
- เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน: มีความกังวลว่าหากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์ อาจเกิดการแห่ถอนเงินฝากไปถือครองเงินบาทดิจิทัลที่มีความปลอดภัยสูงกว่า (Digital Bank Run) ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ธปท. จึงมีนโยบายชัดเจนว่าจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินบาทดิจิทัล และอาจมีการกำหนดวงเงินในการถือครองหรือแลกเปลี่ยน
- ความปลอดภัยทางไซเบอร์และข้อมูลส่วนบุคคล: ระบบการเงินดิจิทัลย่อมมีความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ การสร้างระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดจึงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลการทำธุรกรรม ซึ่งต้องมีการออกแบบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
เจาะลึกนโยบาย ธปท.: กับคำถามว่า ลาก่อนเงินสด! แบงก์ชาติเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ แล้วจริงหรือ?
แม้หัวข้อ ลาก่อนเงินสด! แบงก์ชาติเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ จะสร้างความตื่นตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเน้นย้ำถึงการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและรอบคอบ จุดยืนที่ชัดเจนคือ เงินบาทดิจิทัลจะถูกนำมาใช้ในฐานะ “ทางเลือก” เพิ่มเติม ไม่ใช่การ “ทดแทน” เงินสดในทันที ประชาชนจะยังคงสามารถใช้ธนบัตรและเหรียญได้ตามปกติควบคู่ไปกับการชำระเงินในรูปแบบอื่นๆ ที่มีอยู่เดิม
ธปท. ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น รายการ “แบงก์ชาติชวนคุย Original” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ การจัดงานประชุมระดับนานาชาติอย่าง Bangkok Digital Finance Conference 2025 ในเดือนกันยายน 2568 ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้กำกับดูแลและภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมการเงินของภูมิภาคอย่างยั่งยืน การดำเนินงานที่โปร่งใสและได้รับการยอมรับในระดับสากล สะท้อนได้จากการที่ ธปท. ได้รับรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี” ในปี 2568 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล
บทสรุปและแนวโน้มอนาคต
การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลถือเป็นวิวัฒนาการครั้งสำคัญของระบบการเงินไทย ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่มีทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การบอกลาเงินสดในเร็ววันนี้ แต่เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางสู่ระบบการเงินแห่งอนาคตที่ทุกรูปแบบของการชำระเงินสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล
ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการวางโครงสร้างพื้นฐานและกฎเกณฑ์ที่รัดกุม ภาคเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมต่อยอด และภาคประชาชนในการเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ การดำเนินการอย่างรอบคอบของธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านการทดสอบในวงจำกัดจะเป็นก้าวสำคัญในการประเมินและปรับปรุงระบบให้พร้อมสำหรับอนาคต การติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมรับมือและใช้ประโยชน์จากมิติใหม่ของโลกการเงินที่กำลังจะมาถึงได้อย่างเต็มศักยภาพ