Shopping cart






ลาก่อนเงินสด! รัฐประกาศใช้ ‘บาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ


ลาก่อนเงินสด! รัฐประกาศใช้ ‘บาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ

สารบัญ

ภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศแผนการผลักดันและนำร่องการใช้งานเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อรองรับอนาคตในยุคดิจิทัลอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

  • บาทดิจิทัล (CBDC) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มีสถานะเทียบเท่าเงินสด สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และมีความมั่นคงสูง แตกต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป
  • แผนการใช้งานทั่วประเทศ ในช่วงปี 2568-2569 รัฐบาลตั้งเป้าที่จะผลักดันให้ประชาชนและร้านค้าหันมาใช้บาทดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันของรัฐและบัตรแตะจ่าย
  • โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีการวางแผนจัดสรรงบประมาณ 500,000 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายเงินบาทดิจิทัลให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายกว่า 50 ล้านคน เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
  • การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการลดการพึ่งพาเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน และเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

การปฏิวัติระบบการเงินไทย: สู่ยุคใหม่ของเงินบาท

การประกาศแผนการใช้งาน ลาก่อนเงินสด! รัฐประกาศใช้ ‘บาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ของนโยบายการเงินไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพาระบบการเงินของประเทศให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและภูมิทัศน์การเงินโลก การพัฒนานี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างช่องทางการชำระเงินใหม่ แต่คือการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กำลังเข้มข้นขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT), และเครือข่าย 5G ซึ่งล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและรูปแบบการทำธุรกิจ การมาถึงของบาทดิจิทัลจึงเป็นการเตรียมความพร้อมของภาครัฐและ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะรับมือกับความท้าทายจากสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน เช่น คริปโตเคอร์เรนซีและ Stablecoins รวมถึงการแข่งขันในระดับภูมิภาค ซึ่งหลายประเทศต่างกำลังเร่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง

ทำความรู้จัก ‘บาทดิจิทัล’ สกุลเงินแห่งอนาคตของไทย

นิยามและความแตกต่างจากคริปโตเคอร์เรนซี

บาทดิจิทัล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Central Bank Digital Currency (CBDC) ของไทย คือสกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง มีมูลค่า 1 บาทดิจิทัล เทียบเท่ากับ 1 บาทในรูปแบบธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้บาทดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพสูงสุด เนื่องจากมีสินทรัพย์ของภาครัฐหนุนหลัง

แม้จะมีการนำเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกับคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบล็อกเชน (Blockchain) มาประยุกต์ใช้ แต่บาทดิจิทัลมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ:

  • ผู้ออกสกุลเงิน: บาทดิจิทัลออกโดยธนาคารกลาง (ธปท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ ในขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ เช่น Bitcoin ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) และไม่มีผู้ออกหรือควบคุมจากส่วนกลาง
  • ความผันผวนของมูลค่า: บาทดิจิทัลมีมูลค่าคงที่และอ้างอิงกับเงินบาทปกติ จึงไม่มีความผันผวนของราคา ในทางกลับกัน มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมาก ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด
  • สถานะทางกฎหมาย: บาทดิจิทัลเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) แต่คริปโตเคอร์เรนซียังไม่ได้รับการยอมรับในสถานะดังกล่าวในประเทศไทย

เหตุผลและความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่าน

การพัฒนานโยบาย บาทดิจิทัล ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นผลมาจากการวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยมีเหตุผลหลักดังนี้:

  • ลดต้นทุนการจัดการเงินสด: การผลิต การขนส่ง และการบริหารจัดการธนบัตรและเหรียญมีต้นทุนที่สูง การเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้อย่างมหาศาล
  • เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็ว: การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลสามารถทำได้ทันที ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะการโอนเงินระหว่างบุคคลและธุรกิจ
  • ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: การมีโครงสร้างพื้นฐานของ CBDC จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ต่อยอดบนระบบนี้ได้
  • รับมือกับความท้าทายใหม่: การเติบโตของ Stablecoins ที่ออกโดยบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ และสกุลเงินดิจิทัลของประเทศอื่น เช่น หยวนดิจิทัลของจีน เป็นความท้าทายโดยตรงต่อบทบาทของเงินบาท การมี CBDC ของตนเองจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบการเงิน

กลไกการทำงานและวิธีการใช้งานบาทดิจิทัล

กลไกการทำงานและวิธีการใช้งานบาทดิจิทัล

การเข้าถึงและใช้งานสำหรับภาคประชาชน

รูปแบบการใช้งานบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาให้เข้าถึงง่ายสำหรับประชาชนทุกคน โดยจะมีลักษณะคล้ายกับเงินฝากดิจิทัลในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ผู้ใช้สามารถแลกเงินสดหรือเงินจากบัญชีธนาคารมาเป็นบาทดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่รัฐบาลจะพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ

สำหรับกลุ่มประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรืออาจไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ก็ได้มีการวางแผนรองรับการใช้งานผ่านช่องทางอื่น เช่น บัตรแตะจ่าย (Tap-to-Pay Card) ที่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้เช่นเดียวกับการใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตในปัจจุบัน เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม

บทบาทของสถาบันการเงินและภาคธุรกิจ

ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐจะมีบทบาทสำคัญในฐานะตัวกลางในการกระจายและแลกเปลี่ยนบาทดิจิทัลให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ โดยจะเชื่อมต่อระบบของตนเองเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารกลาง ซึ่งก่อนหน้านี้ ธปท. ได้มีการทดสอบระบบในวงจำกัด (Pilot Test) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และร้านค้าต่างๆ เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความพร้อมของระบบ ซึ่งผลการทดสอบที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปใช้งานจริงในวงกว้าง

สำหรับภาคธุรกิจและร้านค้า การยอมรับบาทดิจิทัลจะช่วยลดภาระในการจัดการเงินสด ลดความเสี่ยงจากการเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ที่ร้าน และเปิดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลการซื้อขายเพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจต่อไป

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ: โครงการแจก 5 แสนล้านบาทดิจิทัล

รายละเอียดและเป้าหมายของโครงการ

หนึ่งในนโยบายเรือธงที่มาพร้อมกับการเปิดตัวบาทดิจิทัล คือโครงการอัดฉีดเงินจำนวน 500,000 ล้านบาท (ประมาณ 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง โดยจะแจกจ่ายให้กับประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางจำนวน 50 ล้านคน โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและช่วยเหลือเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ฟื้นตัว โดยงบประมาณจะมาจากงบประมาณแผ่นดินในช่วง 2 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568-2569) และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

การอัดฉีดเงินดิจิทัลโดยตรงสู่ประชาชน ถือเป็นเครื่องมือทางการคลังยุคใหม่ที่คาดว่าจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและส่งเสริมให้ร้านค้าในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น

ผลกระทบที่คาดหวังต่อเศรษฐกิจมหภาค

ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานภาครัฐคาดการณ์ว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านบาทดิจิทัลนี้จะส่งผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.6% การที่เงินถูกส่งตรงไปยังผู้บริโภคจะช่วยสร้าง “Multiplier Effect” หรือผลกระทบแบบทวีคูณ กล่าวคือ เมื่อประชาชนนำเงินไปใช้จ่าย ร้านค้าก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นและนำไปใช้จ่ายต่อ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายผ่านระบบดิจิทัลยังช่วยให้ภาครัฐสามารถติดตามประสิทธิผลของมาตรการได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและวางแผนนโยบายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บาทดิจิทัลในบริบทของเศรษฐกิจดิจิทัลและภูมิทัศน์การเงินโลก

การปรับตัวรับมือกับความท้าทายระดับสากล

การตัดสินใจเดินหน้าโครงการ CBDC ไทย เป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การเงินโลก การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชนที่มีแนวโน้มจะถูกใช้งานในระดับสากล และการที่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนได้เปิดตัว “หยวนดิจิทัล” และเริ่มทดลองใช้งานในหลายประเทศ ถือเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องปรับตัว การมีบาทดิจิทัลจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาสมดุลและอำนาจอธิปไตยทางการเงินของตนไว้ได้ในระยะยาว

ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและเวทีโลก

เพื่อส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมทางการเงินให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการเตรียมจัดงานสัมมนาและการประชุมด้านการเงินดิจิทัลครั้งสำคัญ เช่น Bangkok Digital Finance Conference 2025 (BDFC 2025) ที่มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2568 ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และสร้างความร่วมมือด้านการเงินดิจิทัลในระดับภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาบาทดิจิทัลจึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเงินในภูมิภาค และปูทางไปสู่การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศในอนาคต

เปรียบเทียบสินทรัพย์ดิจิทัล: บาทดิจิทัล, เงินฝากธนาคาร และคริปโตเคอร์เรนซี

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติที่สำคัญระหว่าง บาทดิจิทัล (CBDC), เงินฝากธนาคารพาณิชย์ และคริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin) เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจน
คุณสมบัติ บาทดิจิทัล (CBDC) เงินฝากธนาคารพาณิชย์ คริปโตเคอร์เรนซี (Bitcoin)
ผู้ออกและรับรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารพาณิชย์เอกชน เครือข่ายกระจายศูนย์ (Decentralized)
สถานะทางกฎหมาย เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เป็นสินทรัพย์ในบัญชีธนาคาร สินทรัพย์ดิจิทัล (ไม่ใช่เงินตรา)
ความเสี่ยงด้านมูลค่า ไม่มี (มูลค่าคงที่ 1:1 กับเงินบาท) ต่ำมาก (ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก) สูงมาก (มีความผันผวนสูง)
เทคโนโลยีพื้นฐาน เทคโนโลยีบล็อกเชน (Centralized) ระบบฐานข้อมูลของธนาคาร (Centralized) เทคโนโลยีบล็อกเชน (Decentralized)
วัตถุประสงค์หลัก ใช้ชำระเงินในชีวิตประจำวัน ออมเงินและทำธุรกรรมผ่านธนาคาร ลงทุน, เก็งกำไร, โอนมูลค่า

ข้อดี, ความท้าทาย และข้อควรพิจารณา

ประโยชน์ของการเปลี่ยนสู่ระบบเงินบาทดิจิทัล

การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ บาทดิจิทัล อย่างเต็มรูปแบบมีข้อดีที่สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของระบบเศรษฐกิจ ลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและเศรษฐกิจนอกระบบ นอกจากนี้ยังช่วยให้ภาครัฐดำเนินนโยบายการคลังและการเงินได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงสาขาของธนาคารได้

ความเสี่ยงและความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายและข้อกังวลที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) เนื่องจากการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลที่ควบคุมโดยภาครัฐอาจทำให้เกิดการรวบรวมและติดตามข้อมูลการใช้จ่ายของประชาชนได้ทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องมีกฎหมายและกลไกการกำกับดูแลที่รัดกุมเพื่อป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่ระบบจะต้องมีความแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีจากผู้ไม่หวังดี รวมถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) ที่ต้องมีมาตรการช่วยเหลือและให้ความรู้แก่กลุ่มคนที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากระบบใหม่นี้ได้อย่างเต็มที่

บทสรุป: ก้าวต่อไปของประเทศไทยในสังคมไร้เงินสด

แผนการประกาศใช้ ‘บาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ ในช่วงปี 2568-2569 ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจและการเงินของไทย นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอำลาเงินสด แต่เป็นการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่งและทันสมัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับนวัตกรรมทางการเงิน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งในมิติของเทคโนโลยี กฎหมาย และการยอมรับของสังคม แต่การเริ่มต้นก้าวแรกอย่างจริงจังในวันนี้ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสู่ สังคมไร้เงินสด และเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเรียนรู้และปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930