Shopping cart

“อย่าซื้อ!” เทรนด์ De-influencing รีวิวสวนกระแสมาแรง

สารบัญ

ท่ามกลางกระแสการตลาดที่ขับเคลื่อนโดยอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเน้นการนำเสนอสินค้าในแง่บวก ปัจจุบันได้เกิดเทรนด์ใหม่ที่กำลังสั่นสะเทือนวงการ นั่นคือ De-influencing หรือการรีวิวสวนกระแสที่บอกให้ผู้ติดตาม “อย่าซื้อ” สินค้าที่ไม่จำเป็นหรือไม่คุ้มค่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาความจริงใจและต้องการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดมากขึ้น

ประเด็นสำคัญของเทรนด์ De-influencing

  • นิยาม: De-influencing คือเทรนด์ที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์แนะนำผู้ติดตามให้หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าบางอย่าง โดยชี้ให้เห็นถึงข้อเสีย ความไม่จำเป็น หรือเสนอทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า เพื่อลดการบริโภคเกินจำเป็น
  • จุดกำเนิด: กระแสนี้เริ่มต้นอย่างแพร่หลายบนแพลตฟอร์ม TikTok ในกลุ่มผู้ใช้งานฝั่งตะวันตกช่วงต้นปี 2023 ภายใต้แฮชแท็ก #deinfluencing ซึ่งมียอดเข้าชมหลายร้อยล้านครั้ง ก่อนจะขยายความนิยมมาสู่ประเทศไทย
  • แรงผลักดัน: เทรนด์นี้เกิดจากความเบื่อหน่ายของผู้บริโภคต่อการรีวิวที่ดูเหมือนเป็นการโฆษณาเกินจริง และความต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
  • ผู้ขับเคลื่อนหลัก: กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันเทรนด์นี้ เนื่องจากมีความตระหนักรู้และตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมการบริโภคนิยมที่ถูกกระตุ้นผ่านโซเชียลมีเดีย
  • ผลกระทบ: De-influencing กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการตลาดดิจิทัล บีบให้แบรนด์ต้องเน้นคุณภาพและความโปร่งใสมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างมาตรฐานใหม่ให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องเน้นความน่าเชื่อถือและความจริงใจเป็นหัวใจสำคัญ

“อย่าซื้อ!” เทรนด์ De-influencing รีวิวสวนกระแสมาแรง กำลังกลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ มันคือการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมที่อินฟลูเอนเซอร์เปลี่ยนบทบาทจากผู้เชียร์สินค้า มาเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาว่าผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการรีวิวในแง่ลบ แต่เป็นการส่งเสริมให้เกิดการบริโภคอย่างมีสติ (conscious consumerism) โดยกระตุ้นให้ผู้บริโภคฉุกคิดและตั้งคำถามถึงความจำเป็นที่แท้จริงก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าตามกระแส

ทำความเข้าใจ De-influencing: ปรากฏการณ์ใหม่แห่งการรีวิว

De-influencing เป็นมากกว่าแค่เทรนด์ไวรัลชั่วข้ามคืน แต่มันคือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์ ผู้ชม และแบรนด์ต่างๆ มันคือการปฏิเสธวัฒนธรรม “Haul” หรือการเปิดถุงชอปปิงโชว์ของที่ซื้อมาจำนวนมาก ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในอดีต และหันมาสู่แนวคิด “Anti-Haul” ที่เน้นการไตร่ตรองและเลือกสรรมากขึ้น

จุดเริ่มต้นและเหตุผลที่ทำให้ De-influencing ได้รับความนิยม

กระแส De-influencing เริ่มปรากฏชัดเจนบนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ในช่วงต้นปี 2023 โดยผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มสร้างคอนเทนต์ภายใต้แฮชแท็ก #deinfluencing เพื่อแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังแต่กลับไม่เป็นไปตามคำโฆษณา คอนเทนต์เหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะมันตอบสนองความรู้สึกร่วมของผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการถูกกระตุ้นให้ซื้อของอยู่ตลอดเวลา

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทรนด์นี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมีหลายประการ:

  1. ความอิ่มตัวของโฆษณา: ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับโฆษณาและคอนเทนต์สนับสนุนจากอินฟลูเอนเซอร์ในปริมาณมหาศาลทุกวัน จนเกิดภาวะ “ความล้าทางการตลาด” (Marketing Fatigue) และเริ่มไม่เชื่อถือรีวิวที่ดูเป็นการอวยสินค้าจนเกินจริง
  2. สภาวะเศรษฐกิจ: อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้คนต้องรัดเข็มขัดและคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้จ่าย การซื้อของที่ไม่จำเป็นจึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง
  3. การแสวงหาความจริงแท้: ผู้ชมโหยหาความสัมพันธ์ที่จริงใจและโปร่งใสกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่พวกเขาติดตาม การรีวิวที่กล้าบอกข้อเสียหรือแนะนำว่า “ไม่ต้องซื้อ” ช่วยสร้างความไว้วางใจและทำให้ครีเอเตอร์ดูน่าเชื่อถือมากกว่าการพูดถึงแต่ข้อดี

ใครคือกลุ่มเป้าหมายและผู้ขับเคลื่อนกระแสนี้

กลุ่มประชากร Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012) ถือเป็นกำลังหลักที่ขับเคลื่อนเทรนด์ De-influencing ด้วยลักษณะนิสัยที่เติบโตมากับอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเขามีความสามารถในการวิเคราะห์และตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้รับ พวกเขาไม่เชื่อในภาพลักษณ์ที่สวยหรูบนโซเชียลมีเดียได้ง่ายๆ และให้ความสำคัญกับคุณค่าที่แท้จริงมากกว่าการตามกระแส

นอกจากนี้ กลุ่ม Millennials (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1981-1996) ที่เริ่มสร้างครอบครัวและมีความรับผิดชอบทางการเงินมากขึ้น ก็เป็นอีกกลุ่มที่เปิดรับแนวคิดนี้อย่างเต็มที่ เพราะช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการการเงินและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของการตลาดที่กระตุ้นการบริโภคเกินจำเป็นได้

ที่น่าสนใจคือ แม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงบางคนก็เริ่มหันมาทำคอนเทนต์ในลักษณะนี้ เพื่อปรับตัวและรักษาฐานผู้ติดตามที่ต้องการความจริงใจ การทำคอนเทนต์ De-influencing ช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างความแตกต่างและพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของตนเองในระยะยาว

แก่นแท้ของ De-influencing: เมื่อความจริงใจกลายเป็นสกุลเงินใหม่

แก่นแท้ของ De-influencing: เมื่อความจริงใจกลายเป็นสกุลเงินใหม่

การเข้าใจ De-influencing อย่างถ่องแท้จำเป็นต้องมองให้ลึกกว่าผิวเผิน มันไม่ใช่เพียงการสร้างคอนเทนต์เชิงลบเพื่อเรียกยอดวิว แต่เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการสื่อสารระหว่างผู้สร้างและผู้รับสาร โดยมีความจริงใจเป็นศูนย์กลาง

นิยามที่ลึกซึ้งกว่าแค่การบอกว่า “อย่าซื้อ”

หัวใจของ De-influencing ไม่ใช่การโจมตีแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์อย่างไม่มีเหตุผล แต่เป็นการให้ข้อมูลรอบด้านแก่ผู้บริโภคเพื่อประกอบการตัดสินใจ เป็นการนำเสนออีกมุมมองหนึ่งที่มักจะขาดหายไปจากการรีวิวที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน มันคือการตอบคำถามที่สำคัญกว่า เช่น:

  • ผลิตภัณฑ์นี้จำเป็นต่อการใช้ชีวิตจริงหรือไม่?
  • มีผลิตภัณฑ์อื่นที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่าหรือไม่?
  • คุณภาพของสินค้าสอดคล้องกับราคาที่ต้องจ่ายไปจริงหรือ?
  • ส่วนผสมหรือวัสดุที่ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคนใช่หรือไม่?

การกระทำเช่นนี้เป็นการ trao อำนาจคืนให้กับผู้บริโภค ช่วยให้พวกเขากลายเป็นผู้ซื้อที่ชาญฉลาด (Smart Shopper) แทนที่จะเป็นผู้ซื้อตามอารมณ์ (Impulse Buyer)

แก่นแท้ของ De-influencing ไม่ใช่การบอกว่า ‘สินค้าชิ้นนี้ไม่ดี’ แต่เป็นการตั้งคำถามว่า ‘คุณจำเป็นต้องมีสินค้าชิ้นนี้จริงหรือ?’ และให้ข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้ผู้ชมตอบคำถามนั้นได้ด้วยตนเอง

รูปแบบคอนเทนต์ De-influencing ที่พบได้ทั่วไป

คอนเทนต์ในเทรนด์ De-influencing มีความหลากหลาย แต่มักจะมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน โดยมุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และตรงไปตรงมา ตัวอย่างรูปแบบที่พบบ่อย ได้แก่:

  1. “Products I Regret Buying” (สินค้าที่เสียใจที่ซื้อมา): ครีเอเตอร์จะลิสต์รายการสินค้าที่เคยซื้อตามกระแสหรือซื้อเพราะคำโฆษณา แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่าไม่ดีอย่างที่คิด พร้อมอธิบายเหตุผลอย่างละเอียด
  2. “Viral Products Not Worth the Hype” (สินค้าดังที่ไม่คุ้มค่า): คอนเทนต์ประเภทนี้จะเจาะจงไปที่สินค้าที่กำลังเป็นไวรัลในขณะนั้น แล้ววิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณว่าทำไมมันถึงไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
  3. “Buy This, Not That” (ซื้ออันนี้ดีกว่าอันนั้น): ครีเอเตอร์จะแนะนำผลิตภัณฑ์ทางเลือก (Dupe หรือ Alternative) ที่มีคุณภาพใกล้เคียงหรือดีกว่า แต่มีราคาที่ย่อมเยากว่าสินค้าแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแส
  4. “Anti-Haul”: เป็นการทำคอนเทนต์สวนทางกับ “Haul” โดยจะบอกเล่าถึงสินค้าที่ตั้งใจว่าจะ “ไม่ซื้อ” แม้ว่าจะกำลังเป็นที่นิยม พร้อมให้เหตุผลว่าทำไมถึงตัดสินใจเช่นนั้น เช่น มีของที่คล้ายกันอยู่แล้ว หรือส่วนผสมไม่น่าสนใจ

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Influencing และ De-influencing

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบระหว่างแนวทางการตลาดแบบดั้งเดิมของอินฟลูเอนเซอร์ (Influencing) กับเทรนด์ใหม่ (De-influencing) จะช่วยให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภูมิทัศน์ของสื่อดิจิทัลได้เป็นอย่างดี

ตารางเปรียบเทียบแนวคิดหลักระหว่าง Influencing แบบดั้งเดิม และ De-influencing ที่เกิดขึ้นใหม่
คุณลักษณะ Influencing (การตลาดแบบดั้งเดิม) De-influencing (เทรนด์สวนกระแส)
เป้าหมายหลัก กระตุ้นการบริโภคและผลักดันยอดขายสินค้า ส่งเสริมการบริโภคอย่างมีสติและลดการซื้อที่ไม่จำเป็น
สารที่สื่อถึงผู้บริโภค “คุณต้องมีสิ่งนี้” “นี่คือสิ่งที่กำลังฮิต” “คุณอาจไม่ต้องการสิ่งนี้” “ลองพิจารณาทางเลือกอื่น”
ผลกระทบต่อผู้บริโภค อาจนำไปสู่การซื้อตามกระแสและการใช้จ่ายเกินตัว (FOMO – Fear Of Missing Out) กระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ ประหยัดเงิน และตัดสินใจอย่างรอบคอบ
บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ ทำหน้าที่เป็นผู้โปรโมตหรือแอมบาสเดอร์ของแบรนด์ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือผู้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ปัจจัยสร้างความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูด ยอดผู้ติดตาม และการร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่ ความจริงใจ ความโปร่งใส และการรีวิวอย่างตรงไปตรงมา
ความสัมพันธ์กับแบรนด์ เน้นการสร้างความร่วมมือเชิงบวกและการเป็นพันธมิตร อาจมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด แต่สร้างโอกาสให้แบรนด์ที่โปร่งใส

ผลกระทบของ De-influencing ต่อวงการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค

การมาถึงของ De-influencing ไม่ใช่แค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่กำลังส่งแรงกระเพื่อมที่เปลี่ยนแปลงพลวัตของอุตสาหกรรมการตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้บริโภคยุคใหม่กับการตัดสินใจซื้อที่เปลี่ยนไป

เทรนด์นี้กำลังสร้างผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่ฉลาดและช่างสงสัยมากขึ้น พวกเขาไม่เชื่อถือการรีวิวเพียงแหล่งเดียวอีกต่อไป แต่จะค้นคว้าข้อมูลจากหลายๆ ที่ เปรียบเทียบความเห็นทั้งในแง่บวกและแง่ลบก่อนตัดสินใจซื้อ พฤติกรรมการ “สืบค้น” ก่อนซื้อกลายเป็นเรื่องปกติ De-influencing ได้มอบเครื่องมือและมุมมองที่สำคัญในการประเมินคุณค่าของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง ทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีอำนาจในการควบคุมการใช้จ่ายของตนเองและไม่ตกเป็นทาสของกระแสสังคมง่ายๆ

แบรนด์และนักการตลาดจะรับมือกับเทรนด์นี้อย่างไร

สำหรับแบรนด์และนักการตลาด De-influencing อาจดูเหมือนเป็นภัยคุกคาม แต่ในอีกมุมหนึ่งมันคือโอกาสครั้งสำคัญในการปรับกลยุทธ์และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า แบรนด์ที่มั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริงจะไม่กลัวการรีวิวที่ตรงไปตรงมา ในทางกลับกัน รีวิวที่สมดุลอาจช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ด้วยซ้ำ

กลยุทธ์ที่แบรนด์สามารถปรับใช้ได้ ได้แก่:

  • เน้นความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลส่วนผสม แหล่งที่มา และกระบวนการผลิตอย่างตรงไปตรงมา
  • ยอมรับคำวิจารณ์: นำความคิดเห็นเชิงลบไปพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง
  • ร่วมมือกับครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ: เลือกทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความจริงใจและให้ข้อมูลรอบด้าน แม้ว่านั่นหมายถึงการรีวิวที่อาจมีข้อติบ้างก็ตาม
  • สร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง: มุ่งเน้นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ผ่านการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้ากลายเป็นผู้บอกต่อในเชิงบวกด้วยตนเอง

อนาคตของอินฟลูเอนเซอร์: จากผู้ขายสู่ที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้

อาชีพอินฟลูเอนเซอร์กำลังมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ครีเอเตอร์ที่ยังคงยึดติดกับการรีวิวแต่ด้านบวกเพียงอย่างเดียวอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือไปในระยะยาว ในทางกลับกัน ผู้ที่ปรับตัวเข้ากับเทรนด์ De-influencing และสร้างสมดุลระหว่างการรีวิวเชิงบวกและเชิงวิจารณ์ จะสามารถสร้างความไว้วางใจที่แข็งแกร่งกับผู้ติดตามได้ บทบาทของพวกเขาจะเปลี่ยนจาก “ผู้โฆษณา” ไปสู่ “ผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้” หรือ “เพื่อนที่คอยให้คำแนะนำ” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีคุณค่าและยั่งยืนกว่าในระยะยาว

ความท้าทายและดาบสองคมของเทรนด์ De-influencing

แม้ว่า De-influencing จะมีข้อดีหลายประการในการสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศการตลาด แต่ก็มีความท้าทายและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ทั้งสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์และผู้บริโภค

เส้นบางๆ ระหว่างการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์และการโจมตี

ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดสำหรับครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ De-influencing คือการรักษาสมดุล การวิจารณ์ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและประสบการณ์ส่วนตัวที่สามารถอธิบายได้ ไม่ใช่การโจมตีตัวแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ด้วยอคติหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การวิจารณ์ที่รุนแรงเกินไปโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายหรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์อย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้น การให้ข้อมูลอย่างรอบด้านและใช้ถ้อยคำที่เป็นกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรักษาเครดิตและความน่าเชื่อถือของตนเอง

เมื่อ De-influencing กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดเสียเอง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าขบคิดคือความเป็นไปได้ที่ De-influencing จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดในรูปแบบใหม่ ครีเอเตอร์บางคนอาจวิจารณ์สินค้าของแบรนด์หนึ่ง (Brand A) อย่างหนักหน่วง เพียงเพื่อจะนำเสนอสินค้าของอีกแบรนด์หนึ่ง (Brand B) ที่ตนได้รับการสนับสนุนมาว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากความต้องการความจริงใจของผู้บริโภคอย่างไม่ถูกต้อง และท้ายที่สุดก็จะทำลายความน่าเชื่อถือของเทรนด์นี้ไปเอง ผู้บริโภคจึงต้องมีวิจารณญาณในการรับชมคอนเทนต์ทุกรูปแบบเสมอ แม้ว่าคอนเทนต์นั้นจะมาในคราบของ De-influencing ก็ตาม

บทสรุป: ทิศทางใหม่ของการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยความจริง

“อย่าซื้อ!” เทรนด์ De-influencing รีวิวสวนกระแสมาแรง ไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงในคุณค่าและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล มันคือการเรียกร้องหาความโปร่งใส ความจริงใจ และความรับผิดชอบจากทั้งฝั่งแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ เทรนด์นี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่ความน่าเชื่อถือกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด

ในอนาคต การตลาดที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงาม แต่คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา De-influencing ได้มอบบทเรียนสำคัญให้กับทุกฝ่ายในวงการตลาดว่า ท่ามกลางเสียงรบกวนของข้อมูลข่าวสาร สุดท้ายแล้ว “ความจริง” คือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด การเกิดขึ้นของเทรนด์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้บริโภคทุกคนหันมาไตร่ตรองและตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่างๆ อย่างมีข้อมูลและมีสติมากขึ้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของตนเองในระยะยาว

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930