ครู AI รู้ดีกว่าพ่อแม่! ชี้ชะตาอนาคตเด็กไทย
- ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาด้วย AI
- ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ ‘ครู AI’ ในการศึกษาไทย
- ครู AI รู้ดีกว่าพ่อแม่! ชี้ชะตาอนาคตเด็กไทย: เมื่อเทคโนโลยีคือผู้ช่วยและผู้ท้าทาย
- พลิกบทบาทผู้ปกครองในยุคดิจิทัล: จากผู้ควบคุมสู่โค้ช AI
- ตารางเปรียบเทียบบทบาทสำคัญในการพัฒนานักเรียน
- อนาคตการศึกษาไทย: ความท้าทายและโอกาสในยุคปัญญาประดิษฐ์
- บทสรุป: การสร้างสมดุลเพื่ออนาคตที่ดีที่สุดของเด็กไทย
บทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในแวดวงการศึกษาได้ทวีความสำคัญขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นแนวคิดที่ว่า ครู AI รู้ดีกว่าพ่อแม่! ชี้ชะตาอนาคตเด็กไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของ AI ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริมการเรียนรู้ แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาและทิศทางอนาคตของเยาวชน การทำความเข้าใจถึงศักยภาพ ความท้าทาย และการปรับตัวของทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลนี้
ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาด้วย AI
- การเรียนรู้ที่ปรับตามศักยภาพรายบุคคล: AI สามารถออกแบบเนื้อหาและวิธีการสอนให้สอดคล้องกับระดับความเข้าใจและจังหวะการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้ปกครอง: พ่อแม่ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่คอยจำกัดการใช้เทคโนโลยี มาเป็น “โค้ช AI” ที่คอยให้คำแนะนำและสอนให้บุตรหลานใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีวิจารณญาณและเกิดประโยชน์สูงสุด
- ความท้าทายของระบบการศึกษาไทย: การนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายจำเป็นต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัลของบุคลากรครู และการปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
- ความจำเป็นของทักษะการรู้เท่าทันสื่อ: เยาวชนต้องได้รับการปลูกฝังทักษะการคิดวิเคราะห์และแยกแยะข้อมูลจริงเท็จที่สร้างโดย AI เช่น เทคโนโลยี Deepfake เพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัย
- AI เป็นเครื่องมือสนับสนุน ไม่ใช่สิ่งทดแทน: แม้ AI จะมีความสามารถสูง แต่ก็ไม่สามารถทดแทนบทบาทของครูและผู้ปกครองในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคมได้ โดย AI ควรทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเพื่อเสริมศักยภาพการสอนและการเรียนรู้
ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ ‘ครู AI’ ในการศึกษาไทย
ในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนทุกมิติของสังคม การศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งวงการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงได้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างเด่นชัดและรวดเร็ว จนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางการเรียนรู้ของเด็กไทยในอนาคต แนวคิดของ “ครู AI” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นจริงที่ผู้ปกครอง นักการศึกษา และผู้กำหนดนโยบายต้องหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง
ความสำคัญของประเด็นนี้อยู่ที่ศักยภาพของ AI ในการปฏิวัติรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิมไปสู่ การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Education) ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันอาจยังทำได้ไม่เต็มที่ AI สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน เพื่อนำเสนอเนื้อหาและแบบฝึกหัดที่เหมาะสมที่สุด สิ่งนี้เปิดโอกาสให้เด็กที่เรียนรู้ช้าสามารถทบทวนเนื้อหาได้ตามต้องการโดยไม่รู้สึกกดดัน ขณะที่เด็กที่เรียนรู้เร็วก็สามารถก้าวไปสู่เนื้อหาที่ท้าทายยิ่งขึ้นได้ทันที ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาและศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศในระยะยาว
ครู AI รู้ดีกว่าพ่อแม่! ชี้ชะตาอนาคตเด็กไทย: เมื่อเทคโนโลยีคือผู้ช่วยและผู้ท้าทาย
คำกล่าวที่ว่า “ครู AI รู้ดีกว่าพ่อแม่” อาจฟังดูเป็นการเปรียบเทียบที่เกินจริง แต่ก็สะท้อนถึงความสามารถของ AI ในการเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างลึกซึ้งและเป็นกลางกว่ามนุษย์ในบางแง่มุม AI ไม่มีอคติทางอารมณ์ สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีความอดทนในการอธิบายเนื้อหาเดิมซ้ำ ๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือทางการศึกษาที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ศักยภาพนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันรับมือ
การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล: หัวใจสำคัญของการศึกษา AI
แก่นแท้ของประสิทธิภาพในครู AI คือความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล ระบบ AI สามารถติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนได้อย่างละเอียดผ่านการทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม หรือแม้กระทั่งการโต้ตอบกับเนื้อหาบทเรียน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้าง “เส้นทางการเรียนรู้” (Learning Path) ที่ไม่เหมือนกันสำหรับเด็กแต่ละคน
ตัวอย่างเช่น หากนักเรียนคนหนึ่งมีปัญหาในเรื่องพีชคณิต ระบบ AI จะสามารถระบุได้ทันทีว่านักเรียนอ่อนในหัวข้อย่อยใดเป็นพิเศษ และจะนำเสนอวิดีโออธิบาย แบบฝึกหัดเพิ่มเติม หรือเกมการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้น ๆ โดยอัตโนมัติ ในทางกลับกัน หากนักเรียนอีกคนแสดงความสามารถที่โดดเด่นในเรื่องเรขาคณิต ระบบก็จะนำเสนอโจทย์ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อท้าทายความสามารถและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก วิธีการนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ครูหนึ่งคนอาจไม่สามารถดูแลนักเรียนจำนวนมากในห้องเรียนได้อย่างทั่วถึง และเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองซึ่งอาจไม่มีความเชี่ยวชาญในทุกวิชา ไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เต็มที่
AI ในฐานะติวเตอร์ส่วนตัวและผู้ช่วยลดภาระงานครู
นอกจากการเป็นเครื่องมือสำหรับนักเรียนแล้ว AI ยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของครูอีกด้วย โดยเข้ามาช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เช่น การตรวจการบ้าน การสร้างแบบทดสอบ หรือการเตรียมเอกสารประกอบการสอน ทำให้ครูมีเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่บทบาทที่สำคัญกว่า นั่นคือการเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้ (Facilitator) ที่คอยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนได้
ในบทบาทของติวเตอร์ส่วนตัว AI สามารถตอบคำถามของนักเรียนได้ทันที ทำให้นักเรียนไม่ต้องรอจนถึงคาบเรียนถัดไปเพื่อไขข้อสงสัย สิ่งนี้ช่วยให้กระบวนการเรียนรู้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด AI จึงเปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้ามาเสริมทัพการทำงานของครูและผู้ปกครอง เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับเด็ก
พลิกบทบาทผู้ปกครองในยุคดิจิทัล: จากผู้ควบคุมสู่โค้ช AI
การเข้ามาของ การศึกษา AI ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเรียนรู้ของเด็กอย่างสิ้นเชิง และส่งผลให้บทบาทของผู้ปกครองต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย จากเดิมที่เคยเป็นผู้ควบคุมหรือจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี พ่อแม่ในยุคนี้จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้กลายเป็น “โค้ช AI” ผู้คอยชี้แนะแนวทางการใช้งานเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย แนวคิด “AI เลี้ยงลูก” ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้เทคโนโลยีดูแลเด็กโดยสมบูรณ์ แต่คือการที่ผู้ปกครองทำงานร่วมกับ AI เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของบุตรหลาน
แนวทางการสร้างสมดุลในการใช้ AI สำหรับเด็ก
การเป็นโค้ช AI ที่ดีเริ่มต้นจากการสร้างกรอบการใช้งานที่ชัดเจนแต่ยืดหยุ่น แทนที่จะห้ามใช้โดยเด็ดขาด ผู้ปกครองควรสร้างกติกาที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ดังนี้:
- ส่งเสริมการคิดก่อนถาม: สร้างข้อตกลงให้เด็กลองทำการบ้านหรือแก้ปัญหาด้วยตนเองให้ถึงที่สุดก่อน แล้วจึงใช้ AI เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบคำตอบหรือหาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม วิธีนี้จะช่วยให้เด็กไม่ใช้ AI เป็นทางลัดในการหาคำตอบเพียงอย่างเดียว
- สอนให้ตั้งคำถามกับคำตอบ: ปลูกฝังให้เด็กตั้งข้อสงสัยต่อข้อมูลที่ได้รับจาก AI อยู่เสมอ เช่น “คำตอบนี้มาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือไม่?” หรือ “มีมุมมองอื่นอีกไหมนอกจากที่ AI บอก?” เพื่อฝึกฝนทักษะการตรวจสอบและประเมินข้อมูล
- ใช้ AI เป็นเครื่องมือระดมสมอง: สอนให้เด็กใช้ AI เป็นคู่คิดในการหาไอเดียใหม่ ๆ สำหรับการทำรายงานหรือโครงงาน แทนที่จะคัดลอกข้อมูลมาโดยตรง การใช้ AI ในลักษณะนี้จะช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี
- กำหนดเวลาการใช้งานที่เหมาะสม: แม้ AI จะมีประโยชน์ แต่การใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านอื่น ๆ การกำหนดเวลาที่ชัดเจนจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและกิจกรรมในชีวิตจริง
ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น: ผลกระทบจากการพึ่งพา AI มากเกินไป
แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การพึ่งพา AI มากเกินไปก็อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่น่ากังวล หากเด็กคุ้นเคยกับการได้คำตอบสำเร็จรูปจาก AI อาจทำให้ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความพยายามในการค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเองลดลง นอกจากนี้ ความแม่นยำของ AI ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบเสมอไป ข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นอาจมีข้อผิดพลาดหรืออคติที่แฝงอยู่โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
ในยุคที่ AI สามารถให้ ‘คำตอบ’ ได้ทันที ทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับเยาวชนจึงไม่ใช่การ ‘รู้’ แต่คือการ ‘ตั้งคำถาม’ และ ‘ตรวจสอบ’ เพื่อให้สามารถนำทางในโลกข้อมูลข่าวสารที่ซับซ้อนได้อย่างปลอดภัยและชาญฉลาด
ดังนั้น บทบาทของพ่อแม่ในฐานะโค้ชจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันและสอนให้เด็กรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างเท่าทัน เพื่อให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างศักยภาพ ไม่ใช่สิ่งที่บั่นทอนความสามารถในการคิดของเด็กในระยะยาว
ตารางเปรียบเทียบบทบาทสำคัญในการพัฒนานักเรียน
มิติการพัฒนา | ครู AI | ครูมนุษย์ | ผู้ปกครอง |
---|---|---|---|
การถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการ | มีความแม่นยำสูง สามารถให้ข้อมูลได้ไม่จำกัด และปรับเนื้อหาตามระดับผู้เรียนได้ดีเยี่ยม | สามารถอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อน เชื่อมโยงความรู้กับบริบทจริง และสร้างแรงบันดาลใจ | สนับสนุนและทบทวนบทเรียนพื้นฐาน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่บ้าน |
การพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม (EQ) | ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ทำได้เพียงจำลองสถานการณ์ตามโปรแกรม | เป็นบทบาทหลักในการสอนความเห็นอกเห็นใจ การทำงานเป็นทีม และการจัดการอารมณ์ | เป็นผู้ปลูกฝังพื้นฐานทางอารมณ์และพฤติกรรมทางสังคมผ่านการเลี้ยงดูในชีวิตประจำวัน |
การปลูกฝังค่านิยมและจริยธรรม | ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้โดยตรง ขึ้นอยู่กับข้อมูลและอัลกอริทึมที่ถูกป้อน | เป็นแบบอย่างและผู้ชี้นำด้านคุณธรรม จริยธรรม และการเป็นพลเมืองที่ดี | เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างรากฐานทางค่านิยมและจริยธรรมของครอบครัว |
การให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล | ให้คำแนะนำตามข้อมูลและผลการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ | ให้คำปรึกษาด้านชีวิต การเรียน และอนาคต โดยอาศัยความเข้าใจในตัวตนของนักเรียน | ให้คำแนะนำจากความรักความผูกพันและความเข้าใจในตัวตนของลูกอย่างลึกซึ้งที่สุด |
อนาคตการศึกษาไทย: ความท้าทายและโอกาสในยุคปัญญาประดิษฐ์
การบูรณาการ AI เข้าสู่ ระบบการศึกษาไทย ถือเป็นทั้งโอกาสครั้งใหญ่และความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ อนาคตการศึกษา ของประเทศสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด
ความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาระบบและบุคลากรทางการศึกษา
ความสำเร็จของการนำ AI มาใช้ในการศึกษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมของ “คน” เป็นสำคัญ ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) และทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI ให้กับบุคลากรครูทั่วประเทศ ครูต้องได้รับการอบรมให้เข้าใจหลักการทำงานของ AI สามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับบริบทการสอน และที่สำคัญคือสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนใช้ AI ได้อย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ควรมีการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูและสถานศึกษา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการใช้ AI ในห้องเรียน การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้มีความยืดหยุ่นและเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และความคิดสร้างสรรค์ ก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป เพื่อให้แน่ใจว่าการศึกษาไทยจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในเวทีโลก
การสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล: สอนให้เด็กรู้เท่าทัน Deepfake และข้อมูลเท็จ
หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดในยุค AI คือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและเทคโนโลยีความรู้เทียม (Deepfake) ซึ่งสามารถสร้างภาพ วิดีโอ หรือเสียงที่เหมือนจริงจนแยกไม่ออก การเตรียมความพร้อมให้เด็กไทยมีทักษะในการรู้เท่าทันและประเมินข้อมูลจากโลกดิจิทัลจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถละเลยได้
สถานศึกษาจำเป็นต้องสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Digital Media Literacy) เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ นักเรียนควรได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของ AI และ Deepfake, วิธีการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล, และการใช้เหตุผลเชิงวิเคราะห์เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของสิ่งที่พบเห็นบนโลกออนไลน์ การสร้าง “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ที่แข็งแกร่งให้กับเยาวชน จะช่วยให้พวกเขาสามารถเติบโตเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเป็นอันตราย
บทสรุป: การสร้างสมดุลเพื่ออนาคตที่ดีที่สุดของเด็กไทย
การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ในแวดวงการศึกษาได้นำมาซึ่งศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการสร้างการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน AI ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในฐานะ “ครู AI” ที่เป็นทั้งติวเตอร์ส่วนตัวและผู้ช่วยครู ซึ่งช่วยลดภาระงานและเพิ่มประสิทธิภาพการสอนได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกสิ่ง บทบาทของครูมนุษย์และผู้ปกครองยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดและไม่สามารถทดแทนได้ โดยต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้หรือผู้ควบคุม มาสู่การเป็นโค้ชและผู้อำนวยการการเรียนรู้ ที่คอยชี้นำให้เด็กใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ ปลูกฝังทักษะทางสังคม อารมณ์ และจริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถมอบให้ได้
อนาคตของเด็กไทยไม่ได้ถูกกำหนดโดยความสามารถของ AI เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของระบบการศึกษา ผู้ปกครอง และตัวเด็กเองในการสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ที่รอบด้าน การเปิดรับและปรับตัวต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างชาญฉลาดและเท่าทัน จึงเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตทางการศึกษาที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงสุดให้กับเยาวชนของชาติ