Shopping cart

“`html

ไรเดอร์มีหนาว! AI ‘เหยี่ยวเวหา’ ส่งของข้ามตึก

สารบัญ

การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) กำลังส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ทั่วโลก แนวคิดการนำระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นสูงและเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัดเป็นประจำ

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง

  • เทคโนโลยี AI และโดรนกำลังถูกพัฒนาเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
  • ระบบขนส่งอัตโนมัติมีศักยภาพสูงในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองใหญ่ ลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • การเข้ามาของระบบอัตโนมัติ เช่น โดรนส่งของ ได้จุดประกายให้เกิดคำถามและความกังวลต่ออนาคตของอาชีพผู้ให้บริการจัดส่งสินค้า หรือ “ไรเดอร์”
  • แม้ว่าแนวคิด ‘เหยี่ยวเวหา AI’ จะยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่ก็สะท้อนถึงทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นจริงทั่วโลก ซึ่งธุรกิจและแรงงานในภาคส่วนนี้ต้องเตรียมพร้อมรับมือ
  • ความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทั้งการพัฒนากฎระเบียบ ความปลอดภัย และการยอมรับจากสังคม

ประเด็นเรื่อง ไรเดอร์มีหนาว! AI ‘เหยี่ยวเวหา’ ส่งของข้ามตึก ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง สะท้อนภาพอนาคตที่การจัดส่งพัสดุหรือเอกสารด่วนระหว่างอาคารสูงในเมืองใหญ่ อาจไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขนส่งบนท้องถนนอีกต่อไป แต่จะถูกแทนที่ด้วยฝูงโดรนอัจฉริยะที่ควบคุมโดย AI เทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งคือการเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่อีกด้านหนึ่งคือการสร้างความท้าทายโดยตรงต่อความมั่นคงในอาชีพของแรงงานจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (Gig Economy) การทำความเข้าใจเทคโนโลยีเบื้องหลัง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และทิศทางในอนาคต จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

การปฏิวัติวงการขนส่ง: เหตุผลที่โดรน AI กลายเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

การเติบโตอย่างรวดเร็วของสังคมเมืองและการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อระบบโลจิสติกส์แบบดั้งเดิม ความต้องการของผู้บริโภคที่คาดหวังการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลาสวนทางกับความเป็นจริงของสภาพการจราจรที่นับวันจะยิ่งติดขัดและคาดเดาได้ยากขึ้น สิ่งนี้ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้นักพัฒนาและบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบขนส่งทางอากาศอัตโนมัติอย่างจริงจัง

ความท้าทายของโลจิสติกส์ในเมืองใหญ่

ระบบโลจิสติกส์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการขนส่งในระยะทางสุดท้าย (Last-mile delivery) ซึ่งเป็นขั้นตอนการนำส่งพัสดุจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังผู้รับปลายทาง ถือเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูงที่สุด ปัญหาหลักประกอบด้วย:

  • การจราจรติดขัด: ปัญหาคลาสสิกของเมืองใหญ่ที่ทำให้การคำนวณระยะเวลาจัดส่งทำได้ยากและสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น
  • ต้นทุนการดำเนินงานสูง: ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง การบำรุงรักษายานพาหนะ และค่าจ้างแรงงาน ล้วนเป็นต้นทุนสำคัญที่ส่งผลต่อราคาค่าบริการ
  • ข้อจำกัดด้านพื้นที่: การเข้าถึงอาคารสูงหรือพื้นที่ที่มีการจราจรคับคั่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่ง
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในเมือง

เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อนาคต

การผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ได้เสนอทางออกที่น่าสนใจสำหรับความท้าทายเหล่านี้ โดยมีแนวคิดหลักคือการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งจากแนวราบ (พื้นถนน) ไปสู่แนวตั้ง (ทางอากาศ) เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคภาคพื้นดินทั้งหมด เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางลงได้อย่างมหาศาล แต่ยังเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์รูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพและความยั่งยืนมากกว่าเดิม การพัฒนาเทคโนโลยีโดรนส่งของจึงไม่ใช่แค่การปรับปรุงวิธีการเดิม แต่เป็นการสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ให้กับการขนส่งในอนาคต

ไขรหัสเทคโนโลยีเบื้องหลัง: AI และโดรนส่งของทำงานร่วมกันอย่างไร

ไขรหัสเทคโนโลยีเบื้องหลัง: AI และโดรนส่งของทำงานร่วมกันอย่างไร

ความสำเร็จของระบบโดรนส่งของไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวโดรนเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการและสมองกลในการควบคุมการทำงานทั้งหมดให้เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การทำงานร่วมกันของสองเทคโนโลยีนี้ทำให้เกิดระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนและมีความสามารถสูง

ปัญญาประดิษฐ์ (AI): สมองกลอัจฉริยะ

ในบริบทของ AI โลจิสติกส์ ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญหลายประการ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการปฏิบัติการจริง อัลกอริทึมที่ซับซ้อนจะทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อตัดสินใจอย่างเหมาะสมที่สุดในทุกขั้นตอน:

AI คือระบบที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อวางแผนเส้นทางบินที่สั้นและปลอดภัยที่สุด คำนวณการใช้พลังงานแบตเตอรี่ จัดการลำดับการจัดส่ง และตรวจจับสิ่งกีดขวางแบบเรียลไทม์

  • การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization): AI จะคำนวณเส้นทางบิน 3 มิติที่ดีที่สุดระหว่างจุดรับและจุดส่ง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะทาง สภาพอากาศ ข้อจำกัดด้านการบินในเขตต่างๆ และตำแหน่งของสิ่งกีดขวาง เช่น อาคารสูง หรือสายไฟฟ้า เพื่อให้การเดินทางรวดเร็วและใช้พลังงานน้อยที่สุด
  • การจัดการฝูงโดรน (Fleet Management): ในระบบขนาดใหญ่ที่มีโดรนปฏิบัติการพร้อมกันหลายสิบลำ AI จะทำหน้าที่จัดสรรงานให้โดรนแต่ละลำตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากตำแหน่งปัจจุบัน ระดับแบตเตอรี่ และน้ำหนักของพัสดุ เพื่อให้ระบบโดยรวมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • การหลบหลีกสิ่งกีดขวาง (Obstacle Avoidance): โดรนจะติดตั้งเซ็นเซอร์หลายชนิด เช่น กล้อง, LiDAR, และอินฟราเรด ซึ่งจะส่งข้อมูลกลับมาให้ AI วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้โดรนสามารถตรวจจับและหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่ไม่คาดคิด เช่น นก หรือโดรนลำอื่น ได้อย่างปลอดภัย
  • การเรียนรู้และปรับปรุง (Machine Learning): ระบบ AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลการบินในแต่ละครั้ง เพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในอนาคต เช่น เรียนรู้รูปแบบลมที่พัดระหว่างตึก เพื่อวางแผนเส้นทางที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น

โดรน: อากาศยานไร้คนขับเพื่อการขนส่ง

ตัวโดรนเปรียบเสมือนร่างกายที่ปฏิบัติตามคำสั่งของสมองกล AI โดรนที่ใช้ในการส่งของถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีความทนทาน ปลอดภัย และสามารถบรรทุกพัสดุได้ตามที่กำหนด โดยมีองค์ประกอบสำคัญ เช่น

  • โครงสร้างที่แข็งแรง: ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบาแต่ทนทาน เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อให้สามารถบินได้นานและทนต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย
  • ระบบขับเคลื่อน: มอเตอร์และใบพัดประสิทธิภาพสูงที่ให้แรงยกเพียงพอต่อการบรรทุกพัสดุ และมีความเสถียรในการบินสูง
  • ช่องบรรจุพัสดุ: ออกแบบมาให้สามารถบรรจุและปล่อยพัสดุได้อย่างปลอดภัย อาจเป็นกล่องที่ยึดติดใต้ท้องเครื่องหรือระบบสายเคเบิลสำหรับหย่อนพัสดุลงมา
  • ระบบความปลอดภัย: ประกอบด้วยระบบสำรองในกรณีฉุกเฉิน เช่น ร่มชูชีพที่จะทำงานอัตโนมัติหากเกิดเหตุขัดข้อง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อ AI และโดรนทำงานร่วมกัน จะเกิดเป็นระบบนิเวศการขนส่งอัตโนมัติที่สามารถรับคำสั่งซื้อ คำนวณเส้นทาง ส่งโดรนไปรับพัสดุ บินไปยังจุดหมาย และส่งมอบพัสดุได้โดยแทบไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์

ไรเดอร์มีหนาว! AI ‘เหยี่ยวเวหา’ ส่งของข้ามตึก กับผลกระทบสองด้าน

การนำเทคโนโลยีโดรนส่งของมาใช้ในวงกว้างย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเชิงบวกที่เป็นโอกาสทางธุรกิจและการพัฒนา และในเชิงลบที่สร้างความท้าทายต่อโครงสร้างอาชีพและสังคมเดิม การพิจารณาผลกระทบทั้งสองด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นที่สุด

ศักยภาพและประโยชน์ของระบบโดรนส่งของ

เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการสร้างประโยชน์ในหลายมิติ:

  • ความเร็วที่เหนือกว่า: การจัดส่งระหว่างตึกในย่านธุรกิจที่การจราจรหนาแน่นอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แทนที่จะเป็นครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่าเมื่อใช้การขนส่งทางบก
  • การลดต้นทุนในระยะยาว: แม้การลงทุนเริ่มต้นจะสูง แต่ในระยะยาว ต้นทุนต่อการจัดส่งหนึ่งครั้งอาจลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานและยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง
  • การเข้าถึงพื้นที่จำกัด: สามารถให้บริการจัดส่งในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก เช่น ชุมชนบนอาคารสูง หรือแม้กระทั่งพื้นที่ประสบภัยพิบัติที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: โดรนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง ช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศในเมืองได้
  • โอกาสทางธุรกิจใหม่: เกิดธุรกิจและบริการใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น บริการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่โดรน, ศูนย์ซ่อมบำรุง, และการพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุม

ความท้าทายและข้อกังวลต่ออนาคต

ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ:

  • การแทนที่แรงงานมนุษย์ (Job Displacement): ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือผลกระทบต่ออาชีพไรเดอร์ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของคนจำนวนมาก การนำระบบอัตโนมัติมาใช้อาจลดความต้องการแรงงานในส่วนนี้ลงอย่างมาก นำไปสู่ปัญหาการว่างงาน
  • กฎระเบียบและความปลอดภัย: การบริหารจัดการน่านฟ้าในเมืองที่มีความซับซ้อนเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีกฎหมายและข้อบังคับที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการบินของโดรนให้ปลอดภัย ป้องกันการชนกันหรือการตกใส่อาคารและผู้คน
  • ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล: โดรนที่ติดตั้งกล้องความละเอียดสูงอาจก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ ระบบยังต้องมีการป้องกันการแฮกข้อมูลหรือการถูกควบคุมโดยผู้ไม่หวังดี
  • ข้อจำกัดทางเทคนิค: โดรนยังมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการบิน (ขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่), ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนัก, และประสิทธิภาพที่ลดลงในสภาพอากาศเลวร้าย เช่น ลมแรงหรือฝนตกหนัก
  • การยอมรับของสาธารณะ: สังคมอาจยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสียงรบกวนและความปลอดภัยจากการมีโดรนบินอยู่เหนือศีรษะเป็นจำนวนมาก การสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ตารางเปรียบเทียบระหว่างการจัดส่งแบบดั้งเดิม (ไรเดอร์) และการจัดส่งด้วยโดรน AI
คุณสมบัติ การจัดส่งแบบดั้งเดิม (ไรเดอร์) การจัดส่งด้วยโดรน AI
ความเร็วในเขตเมือง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร (ช้าถึงปานกลาง) สูงมาก (ไม่ได้รับผลกระทบจากการจราจร)
ต้นทุนการดำเนินงาน (ระยะยาว) ปานกลางถึงสูง (ค่าจ้าง, ค่าเชื้อเพลิง) ต่ำ (ค่าไฟฟ้า, การบำรุงรักษา)
ความยืดหยุ่นในการบรรทุก สูง (สามารถบรรทุกพัสดุได้หลากหลายขนาดและน้ำหนัก) ต่ำ (มีข้อจำกัดด้านน้ำหนักและขนาดของพัสดุ)
การพึ่งพาสภาพอากาศ ปานกลาง (ยังสามารถให้บริการได้ในภาวะฝนตกเล็กน้อย) สูง (ไม่สามารถให้บริการได้ในสภาพอากาศเลวร้าย เช่น ลมแรง, ฝนตกหนัก)
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สูง (จากการใช้เครื่องยนต์สันดาป) ต่ำ (ใช้พลังงานไฟฟ้า)
ความต้องการแรงงานมนุษย์ สูง (พึ่งพาแรงงานโดยตรง) ต่ำ (ต้องการแรงงานด้านควบคุมและบำรุงรักษา)

ภาพรวมตลาดโลกและทิศทางในประเทศไทย

แนวโน้มการใช้โดรนเพื่อการขนส่งไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มทดลองและนำร่องให้บริการแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลจิสติกส์ในอนาคตอันใกล้

แนวโน้มการใช้งานโดรนส่งของในเวทีโลก

ในต่างประเทศ บริษัทเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่หลายแห่งได้ลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาบริการโดรนส่งของ โดยมีการประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การจัดส่งเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกล, การส่งสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดเล็กในเขตชานเมือง, ไปจนถึงการจัดส่งอาหารในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย โครงการนำร่องเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนากฎระเบียบด้านความปลอดภัยและสร้างการยอมรับจากสังคมควบคู่กันไป

AI โลจิสติกส์ และอนาคตในบริบทของไทย

สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีข่าวสารที่ยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการ ‘เหยี่ยวเวหา AI’ หรือบริการโดรนส่งของข้ามตึกในเชิงพาณิชย์ แต่แนวโน้มการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์นั้นมีอยู่จริงและกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่หลายแห่งในไทยได้นำ AI มาใช้ในการจัดสรรงานให้กับไรเดอร์ โดยระบบจะจับคู่คำสั่งซื้อกับไรเดอร์ที่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลารอและเพิ่มความเท่าเทียมในการกระจายงาน ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในระบบ

ด้วยลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานครที่มีตึกสูงระฟ้าจำนวนมากและปัญหาการจราจรที่รุนแรง ประเทศไทยจึงถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการนำเทคโนโลยีโดรนส่งของมาปรับใช้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การจะไปถึงจุดนั้นได้ยังคงต้องอาศัยการพัฒนาในหลายด้าน ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและกฎระเบียบให้รองรับ การลงทุนด้านเทคโนโลยี และการเตรียมความพร้อมของตลาดและแรงงานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

บทสรุป: การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของธุรกิจเดลิเวอรี่

เทคโนโลยีการจัดส่งด้วยโดรนที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์ หรือแนวคิดอย่าง ‘เหยี่ยวเวหา AI’ คือภาพแทนของอนาคต ngànhโลจิสติกส์ที่กำลังจะมาถึงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการขนส่งในเมืองได้อย่างก้าวกระโดด แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายสำคัญต่อรูปแบบการจ้างงานและอาชีพของผู้คนจำนวนมาก

ปรากฏการณ์ ไรเดอร์มีหนาว ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนต้องเริ่มตระหนักและเตรียมการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ต้องวางกรอบกติกาที่เหมาะสม, ภาคธุรกิจที่ต้องวางแผนการลงทุนและเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคแรงงานที่ต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆ (Reskilling/Upskilling) เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถรับมือและใช้ประโยชน์จากอนาคตของธุรกิจเดลิเวอรี่ได้อย่างเต็มศักยภาพ

“`

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930