ลาก่อนนักดำน้ำ! AI สแกนปะการังฟอกขาว
- วิกฤตการณ์ใต้ผืนน้ำ: ทำไมปะการังฟอกขาวจึงเป็นภัยคุกคามเร่งด่วน
- เทคโนโลยีปฏิวัติวงการ: โดรนใต้น้ำและ AI ผู้พิทักษ์มหาสมุทร
- การเปรียบเทียบวิธีการสำรวจ: เมื่อมนุษย์ต้องทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์
- อนาคตของนักวิจัยทางทะเล: บทบาทใหม่ในยุคแห่งข้อมูล
- การประยุกต์ใช้ในประเทศไทยและอนาคตของ AI รักษ์โลก
- บทสรุป: เทคโนโลยีเพื่ออนาคตของมหาสมุทร
ประเด็นสำคัญที่คุณจะได้เรียนรู้จากบทความนี้:
- ความหมายและสาเหตุของปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก
- การทำงานของเทคโนโลยีโดรนใต้น้ำที่ผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลแนวปะการัง
- การเปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดระหว่างการสำรวจโดยนักดำน้ำและการใช้เทคโนโลยี AI
- อนาคตและบทบาทที่เปลี่ยนไปของนักวิจัยทางทะเลในยุคที่ AI เข้ามามีส่วนช่วยในการเก็บข้อมูล
- ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ในการนำมาปรับใช้เพื่อการอนุรักษ์ทะเลไทยและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
หัวข้อ ลาก่อนนักดำน้ำ! AI สแกนปะการังฟอกขาว ไม่ใช่เพียงประโยคพาดหัวที่ดึงดูดความสนใจ แต่เป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงของการอนุรักษ์ทางทะเลในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การผสมผสานระหว่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยานสำรวจใต้น้ำอัตโนมัติ หรือโดรนใต้น้ำ กำลังปฏิวัติวิธีการเฝ้าระวังและทำความเข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วนที่สุดปัญหาหนึ่งของโลก นั่นคือปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว เทคโนโลยีนี้มอบแนวทางใหม่ที่รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยยิ่งขึ้นในการประเมินสุขภาพของระบบนิเวศที่เปราะบางและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสมดุลของมหาสมุทร
วิกฤตการณ์ใต้ผืนน้ำ: ทำไมปะการังฟอกขาวจึงเป็นภัยคุกคามเร่งด่วน
ก่อนจะทำความเข้าใจว่าเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างไร การตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปะการังฟอกขาวไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามแต่แฝงไปด้วยอันตราย แต่มันคือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงภาวะวิกฤตของมหาสมุทรที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวคืออะไร
ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) คือสภาวะที่ปะการังมีชีวิตสูญเสียสาหร่ายขนาดเล็กที่เรียกว่า “ซูแซนเทลลี” (Zooxanthellae) ซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน สาหร่ายเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตอาหารหลักให้แก่ปะการังผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่ยังเป็นผู้ที่มอบสีสันอันสวยงามให้กับแนวปะการังอีกด้วย
เมื่อปะการังเผชิญกับสภาวะเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ปะการังจะขับสาหร่ายซูแซนเทลลีออกจากเนื้อเยื่อ ทำให้โครงสร้างหินปูนสีขาวที่อยู่ภายใต้เนื้อเยื่อใสของมันปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ส่งผลให้ปะการังดูเหมือนถูกฟอกจนเป็นสีขาวโพลน แม้ว่าปะการังที่ฟอกขาวจะยังไม่ตายในทันที แต่มันจะอยู่ในสภาวะที่อ่อนแออย่างยิ่ง ขาดแหล่งอาหารหลัก และหากสภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียดนั้นยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ปะการังก็จะตายในที่สุด ปัจจัยอื่นๆ เช่น มลพิษทางน้ำ และการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำทะเล ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการฟอกขาวได้เช่นกัน
ความสำคัญของแนวปะการังต่อระบบนิเวศโลก
แนวปะการังมักถูกขนานนามว่าเป็น “ป่าฝนแห่งท้องทะเล” เนื่องจากมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงอย่างน่าทึ่ง แม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียงเล็กน้อยของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลกว่า 25% ของทั้งหมด ความสำคัญของแนวปะการังมีหลายมิติ:
- แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ: เป็นที่หลบภัยและแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมาก ซึ่งมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อาหารและอุตสาหกรรมการประมง
- เกราะป้องกันชายฝั่ง: โครงสร้างของแนวปะการังช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลม ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และปกป้องชุมชนริมทะเลจากพายุ
- แหล่งเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว: ความสวยงามของแนวปะการังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สร้างรายได้มหาศาลให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การดำน้ำ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
- แหล่งทรัพยากรทางยา: สิ่งมีชีวิตในแนวปะการังเป็นแหล่งของสารประกอบทางชีวภาพที่อาจนำไปพัฒนาเป็นยารักษาโรคชนิดใหม่ๆ ได้
การสูญเสียแนวปะการังจากการฟอกขาวจึงไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียความสวยงามใต้ท้องทะเล แต่หมายถึงการล่มสลายของระบบนิเวศทั้งหมดที่ต้องพึ่งพิงมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของมนุษย์
เทคโนโลยีปฏิวัติวงการ: โดรนใต้น้ำและ AI ผู้พิทักษ์มหาสมุทร
การสำรวจและติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในอดีตต้องพึ่งพานักดำน้ำเป็นหลัก ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ทั้งแรงงาน เวลา และมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และความปลอดภัยสูง การมาถึงของโดรนใต้น้ำที่ติดตั้งระบบ AI หรือที่เรียกรวมๆ ว่า “Coral AI” ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการอนุรักษ์ทางทะเลไปอย่างสิ้นเชิง
การทำงานของระบบ Coral AI
ระบบ Coral AI เป็นการทำงานร่วมกันของสองเทคโนโลยีหลัก คือ ฮาร์ดแวร์ (โดรนใต้น้ำ) และซอฟต์แวร์ (ปัญญาประดิษฐ์) โดยมีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบดังนี้:
- การวางแผนและปล่อยโดรน: นักวิจัยจะกำหนดเส้นทางและพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการสำรวจ จากนั้นจึงปล่อยโดรนใต้น้ำลงสู่ทะเล โดรนเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้มีความคล่องตัวสูง สามารถทำงานได้ในระดับความลึกและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
- การเก็บข้อมูลภาพความละเอียดสูง: ขณะที่เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่กำหนด โดรนจะใช้กล้องคุณภาพสูงบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอของแนวปะการังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ข้อมูลที่มีรายละเอียดคมชัดและครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่
- การวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์: ข้อมูลภาพที่ได้จะถูกป้อนเข้าสู่ระบบ AI ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้สามารถจดจำและจำแนกประเภทของปะการัง สภาพความสมบูรณ์ และที่สำคัญคือการตรวจจับสภาวะการฟอกขาว AI สามารถวิเคราะห์ภาพหลายพันภาพได้อย่างรวดเร็วและระบุพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ
- การสร้างแผนที่และการรายงานผล: ผลการวิเคราะห์จะถูกนำมาสร้างเป็นแผนที่ความละเอียดสูงที่แสดงการกระจายตัวของปะการังฟอกขาว บอกระดับความรุนแรง และเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะถูกส่งมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายเพื่อใช้ในการตัดสินใจและวางแผนการจัดการต่อไป
กรณีศึกษาจากออสเตรเลีย: โดรน Hydrus ในภารกิจสำรวจ Great Barrier Reef
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้คือการใช้โดรนใต้น้ำอัจฉริยะชื่อ “Hydrus” ในการสำรวจแนวปะการัง Great Barrier Reef ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นระบบนิเวศแนวปะการังที่ใหญ่และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก แต่กำลังเผชิญกับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่จากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น
Hydrus ถูกส่งลงไปสำรวจพื้นที่ที่กว้างขวางและเข้าถึงได้ยากสำหรับมนุษย์ มันสามารถเก็บข้อมูลภาพได้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ติดตามสถานการณ์การฟอกขาวได้อย่างใกล้ชิดและเป็นวงกว้าง ข้อมูลที่แม่นยำจากโดรนได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญแก่นักวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้พวกเขาสามารถประเมินผลกระทบได้อย่างรวดเร็วและวางแผนรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงและภาระงานของนักดำน้ำที่ต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมใต้ทะเลที่อันตรายและคาดเดาได้ยาก
การเปรียบเทียบวิธีการสำรวจ: เมื่อมนุษย์ต้องทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์
การนำเทคโนโลยี AI และโดรนเข้ามาใช้ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับวิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมโดยนักดำน้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อดีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและชี้ให้เห็นถึงอนาคตของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร
คุณสมบัติ | การสำรวจโดยนักดำน้ำ (วิธีดั้งเดิม) | การสำรวจโดยโดรนใต้น้ำ AI (วิธีใหม่) |
---|---|---|
ขอบเขตการสำรวจ | จำกัดโดยปริมาณอากาศในถัง, ความลึก, และระยะเวลาที่ปลอดภัยในการดำน้ำ | ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ สามารถทำงานต่อเนื่องได้นานหลายชั่วโมง และเข้าถึงความลึกที่มนุษย์ไปไม่ถึง |
ความแม่นยำของข้อมูล | อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการประเมินด้วยสายตาและขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล | ข้อมูลมีความแม่นยำสูง เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสามารถระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ได้อย่างเที่ยงตรง |
ความปลอดภัย | มีความเสี่ยงสูงจากโรคน้ำหนีบ, กระแสน้ำ, สัตว์ทะเลอันตราย และสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน | ลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ควบคุมทำงานจากบนเรือหรือชายฝั่ง |
ความถี่ในการสำรวจ | ทำได้ไม่บ่อยนัก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก | สามารถทำการสำรวจซ้ำในพื้นที่เดิมได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว |
การวิเคราะห์ข้อมูล | ใช้เวลานานในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายและจดบันทึกด้วยมือ | AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้แบบเรียลไทม์หรือในเวลาอันสั้น ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว |
ต้นทุน | มีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานสูงในแต่ละครั้ง (ค่าเรือ, อุปกรณ์, ทีมงาน) | มีต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นสูง แต่ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานแต่ละครั้งต่ำกว่าในระยะยาว |
อนาคตของนักวิจัยทางทะเล: บทบาทใหม่ในยุคแห่งข้อมูล
คำว่า “ลาก่อนนักดำน้ำ” อาจสร้างความกังวลว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่มนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่บทบาทใหม่ที่ท้าทายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทางทะเล
AI ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ แต่เพื่อเสริมศักยภาพมนุษย์
เทคโนโลยี AI ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทดแทนสติปัญญาและความเชี่ยวชาญของมนุษย์ แต่เพื่อเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยขยายขีดความสามารถในการทำงานให้กว้างไกลกว่าเดิม AI และโดรนจะรับหน้าที่ในส่วนงานที่ซ้ำซาก, อันตราย, และต้องใช้ความอดทนสูง เช่น การสำรวจพื้นที่กว้างใหญ่เป็นเวลานาน หรือการดำดิ่งสู่ความลึกที่อันตราย
การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสให้นักวิจัยทางทะเลสามารถเปลี่ยนจากการเป็น ‘ผู้เก็บข้อมูล’ มาเป็น ‘นักวิเคราะห์และนักยุทธศาสตร์’ ได้อย่างเต็มตัว พวกเขาสามารถใช้เวลาและทักษะไปกับการตีความข้อมูลเชิงลึกที่ AI สรุปมาให้, การตั้งสมมติฐานใหม่ๆ, การออกแบบการทดลองที่ซับซ้อน และการวางแผนกลยุทธ์การอนุรักษ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บทบาทของนักดำน้ำยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสำรวจเชิงลึกเฉพาะจุด, การเก็บตัวอย่างที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน, การติดตั้งอุปกรณ์วิจัย หรือการฟื้นฟูปะการังด้วยมือ ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยการตัดสินใจและทักษะที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เครื่องจักรจะทำได้ในปัจจุบัน
ความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา
แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังมีความท้าทายและข้อจำกัดบางประการที่ต้องพิจารณาในการนำไปใช้งานจริง:
- ต้นทุนการลงทุนสูง: โดรนใต้น้ำคุณภาพสูงและระบบ AI ที่ซับซ้อนยังมีราคาแพง ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหน่วยงานวิจัยขนาดเล็กหรือในประเทศกำลังพัฒนา
- ความต้องการผู้เชี่ยวชาญ: การใช้งานและบำรุงรักษาโดรน รวมถึงการจัดการและตีความข้อมูลจาก AI จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง
- ข้อจำกัดทางเทคนิค: โดรนอาจเผชิญกับปัญหาในการทำงานภายใต้สภาพน้ำที่ขุ่นมากหรือกระแสน้ำที่รุนแรง รวมถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยังเป็นข้อจำกัด
- การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่: การสำรวจแต่ละครั้งสร้างข้อมูลภาพจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องการระบบจัดเก็บและประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง
การประยุกต์ใช้ในประเทศไทยและอนาคตของ AI รักษ์โลก
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีแนวปะการังที่สวยงามและมีความสำคัญทั้งในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน การนำเทคโนโลยี Coral AI มาปรับใช้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลของประเทศ
ศักยภาพในการอนุรักษ์ทะเลไทย
หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) สามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อสร้างฐานข้อมูลสุขภาพแนวปะการังทั่วประเทศได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้สามารถระบุพื้นที่เสี่ยงและวางแผนป้องกันหรือฟื้นฟูได้อย่างทันท่วงที เช่น การประกาศปิดอุทยานทางทะเลชั่วคราวในพื้นที่ที่เริ่มมีการฟอกขาวรุนแรง หรือการกำหนดเขตจัดการพิเศษเพื่อลดผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ข้อมูลเพื่อสื่อสารกับสาธารณชนและภาคการท่องเที่ยวให้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทะเลไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกเหนือจากปะการัง: การใช้ AI เพื่อความยั่งยืนทางทะเล
ศักยภาพของโดรนใต้น้ำและ AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสำรวจปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลได้อีกด้วย แนวคิด AI รักษ์โลก สามารถนำไปใช้ในภารกิจต่างๆ เช่น:
- การสำรวจขยะทะเล: ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายเพื่อตรวจจับและระบุตำแหน่งของขยะพลาสติกหรือเศษอวนที่ตกค้างอยู่ใต้ทะเล
- การประเมินประชากรสัตว์น้ำ: ฝึกฝน AI ให้จดจำและนับจำนวนปลาหรือสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ เพื่อประเมินความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ
- การทำแผนที่พื้นทะเล: สร้างแผนที่สามมิติของพื้นท้องทะเลที่มีความละเอียดสูง เพื่อใช้ในการศึกษาธรณีวิทยาและวางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่
- การตรวจสอบโครงสร้างใต้น้ำ: ใช้โดรนในการตรวจสอบสภาพของท่อส่งก๊าซ, เสาสะพาน หรือฐานของแท่นขุดเจาะ เพื่อความปลอดภัยและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บทสรุป: เทคโนโลยีเพื่ออนาคตของมหาสมุทร
การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี AI สแกนปะการังฟอกขาว คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการต่อสู้เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์สามารถมองเห็น, ทำความเข้าใจ และตอบสนองต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา การทำงานร่วมกันระหว่างโดรนใต้น้ำและปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้ทำให้บทบาทของนักดำน้ำและนักวิทยาศาสตร์หมดความสำคัญลง แต่กลับยกระดับการทำงานของพวกเขาให้มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ในขณะที่โลกยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอนุรักษ์เช่นนี้ถือเป็นความหวังในการรักษาความงดงามและความสมบูรณ์ของมหาสมุทรไว้ให้คนรุ่นต่อไป การยอมรับและปรับใช้เครื่องมือใหม่อันทรงพลังนี้ คือก้าวที่จำเป็นเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทะเลไทยและมหาสมุทรทั่วโลก