AI Disruption: 5 อาชีพเสี่ยงตกงานสูงสุดในไทยปี 2026
การปฏิวัติทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดแรงงานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หลายอาชีพที่เคยมีความมั่นคงกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการเข้ามาของระบบอัตโนมัติและ AI ที่สามารถทำงานซ้ำซ้อนและประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- การวิเคราะห์ 5 กลุ่มอาชีพหลักในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติภายในปี 2026
- สาเหตุและปัจจัยขับเคลื่อนที่ทำให้ภาคธุรกิจเร่งนำ AI มาใช้ เช่น การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
- ผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงานไทย ทั้งในมิติของการสูญเสียตำแหน่งงานเดิม และการสร้างโอกาสในสายงานใหม่ที่ต้องการทักษะด้านดิจิทัล
- แนวทางการปรับตัวสำหรับแรงงานไทย ผ่านการพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling) และยกระดับทักษะเดิม (Upskilling) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดในอนาคต
- การสำรวจทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ง่าย เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ และความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งจะกลายเป็นจุดแข็งของแรงงานมนุษย์
ส่วนนำ
ปรากฏการณ์ AI Disruption: 5 อาชีพเสี่ยงตกงานสูงสุดในไทยปี 2026 ไม่ใช่เรื่องราวที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตำแหน่งงานที่อาศัยการทำงานซ้ำๆ ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ชัดเจน รายงานจากหลายสถาบันรวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หรือ FTI ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลว่าแรงงานจำนวนมากอาจไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และมีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังหากขาดการเตรียมความพร้อมและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่
ภาพรวมของ AI Disruption ในตลาดแรงงานไทย
AI Disruption หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและรุนแรงในตลาดหรืออุตสาหกรรมใดๆ อันเนื่องมาจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาประยุกต์ใช้ สำหรับบริบทของตลาดแรงงานไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ขับเคลื่อนโดยการลงทุนของภาคเอกชนในเทคโนโลยีดิจิทัล, อุปกรณ์ IoT (Internet of Things), หุ่นยนต์ และซอฟต์แวร์ AI เพื่อเป้าหมายหลักในการลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในช่วงปี 2024–2026 แนวโน้มนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อองค์กรต่างๆ ทั้งในภาคการผลิต การเงินการธนาคาร การค้าปลีก และภาคบริการ ต่างเร่งนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การจัดการเอกสาร การบริการลูกค้า ไปจนถึงการควบคุมสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ผลกระทบที่ตามมาคือความต้องการแรงงานในตำแหน่งงานแบบดั้งเดิมลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลกลับเพิ่มสูงขึ้น สร้างภาวะความไม่สอดคล้องกันของทักษะ (Skill Mismatch) ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ
เจาะลึก 5 กลุ่มอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI สูงสุด
จากการวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนด้านเทคโนโลยีและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ AI ในปี 2026 ได้ดังนี้
| กลุ่มอาชีพที่เสี่ยง | รายละเอียดและเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่ |
|---|---|
| พนักงานธุรการ/บริการธนาคาร | งานบริการหน้าสาขา, ธุรกรรมรายวัน และงานเอกสาร ถูกแทนที่ด้วย Mobile Banking, แอปพลิเคชัน, Kiosk อัตโนมัติ และ AI Chatbot สำหรับงานบริการลูกค้า |
| พนักงานบันทึกข้อมูล | งานคีย์ข้อมูลและเอกสารซ้ำซ้อนถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) และ RPA (Robotic Process Automation) ที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมงและแม่นยำกว่า |
| พนักงานขาย/แคชเชียร์ | ระบบชำระเงินอัตโนมัติ (Self-checkout), E-Payment ผ่าน QR Code และการเติบโตของ E-commerce ทำให้ความต้องการพนักงานประจำจุดขายลดลง |
| พนักงานออฟฟิศ (เลขานุการ/ธุรการ) | งานจัดการตารางนัดหมาย, ตอบอีเมลพื้นฐาน, และสรุปรายงานเบื้องต้น สามารถทำได้โดยซอฟต์แวร์ AI Assistants และระบบจัดการเอกสารอัตโนมัติ |
| แรงงานในสายการผลิต | หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาทำงานที่ต้องใช้กำลัง, เป็นอันตราย หรือทำซ้ำๆ ในโรงงาน โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) |
1. พนักงานธุรการและบริการธนาคาร
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคารเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ งานบริการลูกค้าหน้าเคาน์เตอร์ เช่น การรับฝาก-ถอนเงิน การโอนเงิน หรือการชำระบิลต่างๆ ถูกย้ายไปอยู่บนแพลตฟอร์ม Mobile Banking และ Internet Banking เกือบทั้งหมด ทำให้ความจำเป็นในการมีพนักงานประจำสาขาลดน้อยลง นอกจากนี้ งานหลังบ้านอย่างการตรวจสอบเอกสาร การอนุมัติสินเชื่อเบื้องต้น และการให้คำปรึกษาทางการเงินพื้นฐาน ก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยระบบ AI และ Robo-advisor ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและให้คำแนะนำได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งงาน Call Center ก็ถูก AI Chatbot เข้ามาแบ่งเบาภาระในการตอบคำถามที่พบบ่อย ทำให้พนักงานสามารถไปโฟกัสกับกรณีที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
2. พนักงานบันทึกข้อมูล (Key Data Entry)
อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการนำข้อมูลจากเอกสารกระดาษเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ในปัจจุบันมีความสามารถในการอ่านและแปลงข้อความจากไฟล์ภาพหรือ PDF ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลได้อย่างแม่นยำ เมื่อทำงานร่วมกับ RPA (Robotic Process Automation) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ที่สามารถเลียนแบบการทำงานของมนุษย์ในการคลิก คัดลอก และวางข้อมูลข้ามโปรแกรมต่างๆ ได้ ทำให้กระบวนการบันทึกข้อมูลทั้งหมดกลายเป็นระบบอัตโนมัติที่ไม่ต้องการการแทรกแซงจากมนุษย์อีกต่อไป ส่งผลให้ตำแหน่งงานพนักงานคีย์ข้อมูล ซึ่งเคยต้องใช้คนจำนวนมากกำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว
3. พนักงานขายหน้าร้านและแคชเชียร์
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่ออนไลน์มากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาระบบชำระเงินดิจิทัล (E-Payment) และตู้ชำระเงินอัตโนมัติ (Self-checkout Kiosk) ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพนักงานในธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อจำนวนมากไม่จำเป็นต้องมีพนักงานแคชเชียร์เท่าเดิมอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ก็ทำให้บทบาทของพนักงานขายหน้าร้านเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นการปิดการขาย มาเป็นการให้คำแนะนำเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแทน ดังนั้น ผู้ที่ยังทำหน้าที่เพียงแค่รับเงินทอนเงินจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่
4. พนักงานออฟฟิศ: เลขานุการและธุรการทั่วไป
งานธุรการและงานเลขานุการที่เน้นการจัดการเอกสาร การนัดหมาย การรับโทรศัพท์ หรือการร่างจดหมายโต้ตอบพื้นฐาน กำลังถูกท้าทายโดยซอฟต์แวร์ AI Assistants ที่มีความสามารถสูงขึ้นเรื่อยๆ เครื่องมืออย่างปฏิทินอัจฉริยะสามารถหาเวลาว่างและนัดประชุมให้โดยอัตโนมัติ แพลตฟอร์มบริหารจัดการเอกสารบนคลาวด์ช่วยลดภาระการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร และ AI ยังสามารถช่วยสรุปใจความสำคัญจากการประชุมหรือจากอีเมลจำนวนมากได้อีกด้วย ทำให้บทบาทของพนักงานธุรการต้องยกระดับไปสู่การเป็นผู้ช่วยบริหารที่สามารถทำงานเชิงวิเคราะห์และจัดการโครงการที่ซับซ้อนมากขึ้น
5. แรงงานในสายการผลิต
ภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นพื้นที่ที่มีการลงทุนด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอย่างมหาศาล แขนกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสามารถทำงานในสายการผลิตที่ซ้ำซ้อน เป็นอันตราย หรือต้องการความแม่นยำสูงได้ดีกว่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นงานเชื่อมโลหะ พ่นสี ประกอบชิ้นส่วน หรือยกของหนัก ระบบอัตโนมัติเหล่านี้สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เหน็ดเหนื่อยและมีข้อผิดพลาดน้อยมาก ส่งผลให้ความต้องการแรงงานไร้ฝีมือในสายการผลิตลดลงอย่างฮวบฮาบ แม้จะมีการสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาในตำแหน่งผู้ควบคุมและบำรุงรักษาหุ่นยนต์ แต่ก็ต้องการทักษะที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ปัจจัยขับเคลื่อนเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน:
- การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: นี่คือเหตุผลหลักที่ภาคเอกชนลงทุนใน AI และระบบอัตโนมัติ การใช้เทคโนโลยีแทนที่แรงงานในงานซ้ำซ้อนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้าง สวัสดิการ และเพิ่มความเร็วในการผลิตหรือบริการได้อย่างมหาศาล
- นโยบายภาครัฐ: นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” และการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC เป็นแรงผลักดันสำคัญที่กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ความคุ้นเคยกับการใช้บริการดิจิทัลของผู้คนในยุคหลังโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และนำเสนอประสบการณ์ที่รวดเร็วและสะดวกสบาย ซึ่งมักจะต้องอาศัยเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาช่วย
แนวโน้มตลาดแรงงานไทยในยุค AI: ความท้าทายและโอกาส
แม้ AI Disruption จะสร้างความท้าทายอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานสามารถสรุปได้เป็นสองมิติหลัก
การสูญเสียและการสร้างงานใหม่
เป็นที่แน่ชัดว่างานที่เน้นกระบวนการที่ตายตัวและทำซ้ำๆ จะค่อยๆ หายไป แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมาทดแทนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น:
- ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Scientist: องค์กรต้องการบุคลากรที่สามารถพัฒนา จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ AI เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
- ผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Marketing: การตลาดในยุคดิจิทัลต้องการคนที่เข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและสามารถวางกลยุทธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิศวกรระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์: ผู้ที่ทำหน้าที่ออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบอัตโนมัติในโรงงานและองค์กรต่างๆ
- นักออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI Designer): ผู้ที่ทำให้เทคโนโลยีมีความเป็นมิตรและใช้งานง่ายสำหรับมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดย AI ไม่ได้ทำลายงานทั้งหมด แต่เป็นการ “ย้าย” งานจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต้องการชุดทักษะที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
บทบาทของภาครัฐและเอกชนในการรับมือ
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างตระหนักถึงปัญหานี้และเริ่มมีมาตรการรองรับ โดยมีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI), กระทรวงแรงงาน และสถาบันการศึกษา เพื่อจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะดิจิทัลและทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต โครงการต่างๆ ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อาชีพใหม่ได้อย่างราบรื่นขึ้น
ทักษะแห่งอนาคต: กุญแจสำคัญสู่การอยู่รอดในตลาดแรงงาน
ท่ามกลางความท้าทายจากเทคโนโลยี AI สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับแรงงานคือการปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จะทำให้ตนเองยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด
ทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
แม้ AI จะเก่งกาจในการประมวลผลข้อมูลและทำงานตามคำสั่ง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านทักษะที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วย:
- ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation): ความสามารถในการคิดนอกกรอบ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เคยมีมาก่อน
- การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Critical Thinking & Complex Problem-Solving): การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องหลากหลายและไม่มีคำตอบที่ตายตัว
- ความฉลาดทางอารมณ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Emotional Intelligence & Collaboration): การเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น การสร้างความสัมพันธ์ และการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
- การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และจริยธรรม (Strategic & Ethical Decision-Making): การตัดสินใจเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวและประเด็นทางจริยธรรม ซึ่ง AI ยังไม่สามารถทำได้
ความสำคัญของการ Reskill และ Upskill
สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาชีพเสี่ยง การรอให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยปรับตัวอาจสายเกินไป การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
- Reskilling (การเรียนรู้ทักษะใหม่): หมายถึงการเรียนรู้ทักษะในสายงานใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เช่น พนักงานธนาคารอาจเรียนรู้ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน หรือแรงงานในสายการผลิตอาจเรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์
- Upskilling (การยกระดับทักษะเดิม): หมายถึงการต่อยอดทักษะที่มีอยู่ให้เชี่ยวชาญและสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น เช่น นักบัญชีเรียนรู้การใช้ซอฟต์แวร์บัญชีบนคลาวด์ที่ทำงานร่วมกับ AI หรือพนักงานธุรการเรียนรู้การใช้เครื่องมือบริหารจัดการโครงการแบบดิจิทัล
บทสรุปและการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
สรุปได้ว่าปรากฏการณ์ AI Disruption จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดแรงงานไทยภายในปี 2026 โดยเฉพาะ 5 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ พนักงานธุรการ/บริการธนาคาร, พนักงานบันทึกข้อมูล, พนักงานขาย/แคชเชียร์, พนักงานออฟฟิศ/เลขานุการ และแรงงานในสายการผลิต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีลักษณะงานซ้ำซ้อนและสามารถถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีได้อย่างง่ายดาย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายถึงจุดจบของตลาดแรงงาน แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งสร้างทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ
หนทางรอดสำหรับแรงงานไทยในยุคนี้คือการยอมรับความจริงและเริ่มต้นเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ การลงทุนในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล, การวิเคราะห์ข้อมูล, การจัดการโครงการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะที่ต้องอาศัยความเป็นมนุษย์สูง เช่น ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่ซับซ้อน คือกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่นคงทางอาชีพและพร้อมรับมือกับโลกการทำงานแห่งอนาคตที่กำลังจะมาถึง


