น้ำท่วมหนัก! อัปเดต 10 จังหวัด-เช็คเส้นทางเลี่ยงด่วน
- สรุปประเด็นสำคัญของสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด
- ภาพรวมสถานการณ์และผลกระทบจากอิทธิพลร่องมรสุม
- เจาะลึกพื้นที่ประสบภัย: 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก
- ผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม: ความท้าทายของเกษตรกรไทย
- มาตรการรับมือและแนวทางการช่วยเหลือจากภาครัฐ
- คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน: การวางแผนเดินทางหน้าฝน
- บทสรุป: การเตรียมพร้อมและรับมือสถานการณ์น้ำท่วม
สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของร่องมรสุมได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขัง สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
สรุปประเด็นสำคัญของสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด
- พื้นที่ประสบภัย: อย่างน้อย 10 จังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรง ซึ่งรวมถึงจังหวัดน่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย, ตาก, พะเยา, สกลนคร และหนองคาย
- ผู้ได้รับผลกระทบ: ประชาชนเกือบ 80,000 คนได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในด้านที่อยู่อาศัย การดำรงชีวิต และความปลอดภัย
- ความเสียหายภาคเกษตร: พื้นที่ปลูกข้าวได้รับความเสียหายแล้วกว่า 330,000 ไร่ และยังมีความเสียหายต่อพืชไร่และพืชสวนอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
- การช่วยเหลือจากภาครัฐ: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งใช้ระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast เพื่อให้ประชาชนเตรียมรับมือได้ทันท่วงที
- การเดินทางและจราจร: มีการประกาศปิดเส้นทางจราจรหลายสายเนื่องจากน้ำท่วมสูง และหน่วยงานท้องถิ่นได้ประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงเพื่อบรรเทาปัญหาและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สัญจร
ภาพรวมสถานการณ์และผลกระทบจากอิทธิพลร่องมรสุม
ประเด็นเรื่อง น้ำท่วมหนัก! อัปเดต 10 จังหวัด-เช็คเส้นทางเลี่ยงด่วน กลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดได้ทวีความรุนแรงขึ้นจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลของพายุที่เคลื่อนตัวในภูมิภาค ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและสะสมในหลายพื้นที่ ปริมาณน้ำฝนที่สูงเกินกว่าความสามารถในการระบายน้ำของพื้นที่ธรรมชาติและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ลาดเชิงเขา และเกิดน้ำท่วมขังเป็นวงกว้างในพื้นที่ลุ่มต่ำและเขตเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สาเหตุหลักของอุทกภัยครั้งใหญ่
ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงในครั้งนี้มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ซับซ้อน ร่องมรสุมกำลังแรงที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเป็นตัวการสำคัญที่ดึงความชื้นปริมาณมหาศาลจากทะเลอันดามันและอ่าวไทยเข้ามาสู่แผ่นดิน เมื่อความชื้นเหล่านี้ปะทะกับมวลอากาศเย็นก็จะควบแน่นและกลั่นตัวเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันในพื้นที่เดียวกัน
นอกจากนี้ อิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนในทะเลจีนใต้ เช่น พายุวิภา แม้จะไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ก็มีส่วนช่วยเสริมกำลังให้ร่องมรสุมมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณฝนสะสมสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้อีกต่อไปและแหล่งน้ำธรรมชาติมีระดับสูงจนถึงจุดวิกฤต มวลน้ำจำนวนมากจึงไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ในสภาวะที่สถานการณ์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญสูงสุด กรมอุตุนิยมวิทยาและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานหลักที่เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์อากาศ คำเตือนภัย และแนวทางการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง การรับทราบข้อมูลล่วงหน้าช่วยให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้ทันท่วงที เช่น การขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง การสำรองอาหารและน้ำดื่ม และการวางแผนอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ปลอดภัยหากจำเป็น
สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางในช่วงเวลานี้ การตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศและเส้นทางการจราจรถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมอาจทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาดหรือไม่สามารถสัญจรผ่านได้ การวางแผนการเดินทางและศึกษาเส้นทางเลี่ยงที่หน่วยงานท้องถิ่นประกาศไว้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเผชิญกับอันตรายและช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากที่สุด
เจาะลึกพื้นที่ประสบภัย: 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก
สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด โดยข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ระบุรายชื่อ 10 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังและได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัดที่ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย:
- ภาคเหนือ: น่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย, ตาก, และพะเยา จังหวัดเหล่านี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงสลับกับที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มเมื่อมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้แม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำน่าน แม่น้ำยม และแม่น้ำวัง
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: สกลนคร และหนองคาย รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงที่ติดกับแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงคราม ซึ่งมักประสบปัญหาน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นบริเวณกว้าง
| จังหวัด | ลักษณะผลกระทบหลัก | พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ |
|---|---|---|
| น่าน | น้ำป่าไหลหลาก, ดินโคลนถล่ม, น้ำท่วมฉับพลัน | พื้นที่ลาดเชิงเขาและชุมชนริมแม่น้ำน่าน |
| สุโขทัย | น้ำท่วมขังในเขตเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ, น้ำเอ่อล้นตลิ่ง | พื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำยม, เขตเทศบาลเมือง |
| เชียงราย | น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม, เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด | พื้นที่อำเภอชายแดน, ชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง |
| สกลนคร | น้ำท่วมขังเป็นวงกว้าง, ผลกระทบต่อพื้นที่รอบหนองหาร | พื้นที่การเกษตรริมลำน้ำก่ำและลำน้ำสงคราม |
ลักษณะความเสียหายและจำนวนผู้ประสบภัย
ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกือบ 80,000 คน ในหลายพันครัวเรือน ความเสียหายครอบคลุมตั้งแต่บ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทรัพย์สินมีค่าเสียหาย ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน สะพาน และระบบไฟฟ้าประปาที่ถูกตัดขาดในบางพื้นที่ สถานการณ์เช่นนี้สร้างความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวัน และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากทุกภาคส่วน
การประเมินความเสียหายยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเลขผู้ประสบภัยและมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของอุทกภัยที่ส่งผลกระทบในระดับมหภาค
ผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม: ความท้าทายของเกษตรกรไทย

นอกเหนือจากผลกระทบต่อบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว ภาคเกษตรกรรมถือเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วงจากอุทกภัยครั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมส่วนใหญ่เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญของประเทศ สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับเกษตรกรและอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว
มูลค่าความเสียหายของนาข้าวและพืชผลทางการเกษตร
จากรายงานสถานการณ์ พบว่าพื้นที่ปลูกข้าวได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานแล้วกว่า 330,000 ไร่ โดยเฉพาะนาข้าวที่อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโตหรือใกล้เก็บเกี่ยว ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อน้ำท่วมขังสูง หากน้ำไม่ลดลงในเวลาอันรวดเร็ว ผลผลิตก็จะเน่าเสียและไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายร้อยล้านบาท
นอกจากนาข้าวแล้ว พืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น พืชไร่ (ข้าวโพด, มันสำปะหลัง), พืชผัก และไม้ผลต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน สวนผลไม้และไร่ผักที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานจะทำให้รากเน่าและยืนต้นตายในที่สุด ความเสียหายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้ในฤดูกาลผลิตปัจจุบัน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนและต้นทุนในการฟื้นฟูพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไปอีกด้วย
แนวโน้มผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ความเสียหายในภาคเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อผลผลิตทางการเกษตรลดลง อาจนำไปสู่ภาวะสินค้าขาดแคลนในบางพื้นที่และส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้ของเกษตรกรที่ลดลงจะส่งผลต่อกำลังซื้อในระดับท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ที่พึ่งพิงภาคเกษตรเป็นหลักชะลอตัวลง ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรอาจทวีความรุนแรงขึ้น และรัฐบาลจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟู ซึ่งเป็นภาระทางการคลังในระยะต่อไป
มาตรการรับมือและแนวทางการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ท่ามกลางวิกฤตอุทกภัย หน่วยงานภาครัฐได้ระดมสรรพกำลังและทรัพยากรเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและวางแผนฟื้นฟูในระยะยาว
บทบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะหน่วยงานกลางในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประสานงานและบูรณาการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยภารกิจหลักประกอบด้วย:
- การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ: จัดตั้งโรงครัวพระราชทานและหน่วยครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย จัดส่งถุงยังชีพซึ่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปยังพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก
- การอพยพและจัดหาที่พักพิง: ช่วยเหลือในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดเตรียมไว้ พร้อมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยในศูนย์พักพิง
- การแพทย์และสาธารณสุข: จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการตรวจรักษาสุขภาพและป้องกันโรคระบาดที่มักมากับน้ำท่วม เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู และโรคอุจจาระร่วง
- การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน: เร่งดำเนินการซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่เสียหาย เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา และเส้นทางคมนาคม เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
เทคโนโลยีการแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชน: Cell Broadcast
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแจ้งเตือนภัยและลดความสูญเสีย รัฐบาลได้นำเทคโนโลยีการส่งข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉิน หรือ “Cell Broadcast” มาใช้งานอย่างจริงจัง ระบบนี้เป็นการส่งข้อความเตือนภัยโดยตรงไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่กำหนด โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ เพิ่มเติม
ข้อดีของระบบ Cell Broadcast คือสามารถส่งข้อความได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมประชากรในพื้นที่เป้าหมายได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลเตือนภัยเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก หรือคำสั่งอพยพได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การบริหารจัดการภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน: การวางแผนเดินทางหน้าฝน
สถานการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการคมนาคมขนส่ง การเดินทางในช่วงนี้จึงเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอุปสรรค การวางแผนที่ดีและการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้รถใช้ถนน
ความจำเป็นในการตรวจสอบเส้นทางเลี่ยงน้ำท่วม
ถนนหลายสายในจังหวัดที่ประสบภัยอาจมีระดับน้ำท่วมสูงจนรถเล็กไม่สามารถผ่านได้ หรืออาจถูกปิดการจราจรโดยสิ้นเชิงเพื่อความปลอดภัย การพยายามขับรถฝ่าเข้าไปในเส้นทางดังกล่าวอาจทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ดังนั้น ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรตรวจสอบข้อมูลเส้นทางจากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อวางแผนการเดินทางใหม่และใช้เส้นทางเลี่ยงที่ได้รับการแนะนำ
แม้ว่าเส้นทางเลี่ยงอาจมีระยะทางไกลกว่าปกติ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและช่วยลดความเสี่ยงที่จะต้องติดค้างอยู่กลางทางเป็นเวลานาน การให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่จะช่วยให้การจัดการจราจรโดยรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่องทางการติดตามข้อมูลจราจรที่เชื่อถือได้
ปัจจุบันมีช่องทางหลากหลายในการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสภาพการจราจรและเส้นทางที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ผู้เดินทางควรเลือกรับข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น:
- กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท: มักมีการประกาศข้อมูลเส้นทางที่ปิดการจราจรและเส้นทางเลี่ยงผ่านทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นทางการ
- หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น: องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือเทศบาลในพื้นที่ประสบภัย มักจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุดสำหรับคนในพื้นที่
- สถานีวิทยุจราจร: เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ให้ข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์
- แอปพลิเคชันแผนที่นำทาง: บางแอปพลิเคชันมีการอัปเดตข้อมูลการปิดถนนและสภาพการจราจรที่ติดขัดจากสถานการณ์น้ำท่วม
การตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบกันจะช่วยให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ที่ชัดเจนและสามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดได้
บทสรุป: การเตรียมพร้อมและรับมือสถานการณ์น้ำท่วม
สถานการณ์น้ำท่วมหนักใน 10 จังหวัดของประเทศไทยครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเกือบ 80,000 คน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวกว่า 330,000 ไร่ การตอบสนองอย่างรวดเร็วของภาครัฐผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการนำเทคโนโลยีการแจ้งเตือนมาใช้ ถือเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการสถานการณ์และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
สำหรับประชาชนทั่วไป การติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรเตรียมพร้อมรับมือตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เสมอ ในส่วนของผู้ที่จำเป็นต้องเดินทาง ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและวางแผนเส้นทางล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมและใช้เส้นทางเลี่ยงตามประกาศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่ยังเป็นการลดภาระการจราจรและเอื้อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

