น้ำท่วมหนัก! อัปเดต 10 จังหวัด-เช็คเส้นทางเลี่ยงด่วน
จากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทย ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและเกิดสถานการณ์ น้ำท่วมหนัก! อัปเดต 10 จังหวัด-เช็คเส้นทางเลี่ยงด่วน จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนเป็นวงกว้าง
- สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดส่งผลกระทบหนักใน 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ น่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย และตาก
- มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 24,505 ครัวเรือน หรือประมาณ 79,942 คน ในพื้นที่ 24 อำเภอ
- ปริมาณฝนตกสะสมในบางพื้นที่สูงเกิน 300 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของน้ำป่าไหลหลาก
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ระดมกำลังเข้าให้ความช่วยเหลือและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
- การตรวจสอบเส้นทางก่อนเดินทางเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากหลายเส้นทางอาจถูกตัดขาด
สรุปภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยล่าสุด
สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากร่องมรสุมกำลังแรงที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลของพายุ “วิภา” ที่แม้จะไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ได้ส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น นำมาซึ่งปริมาณฝนที่ตกหนักและต่อเนื่องเป็นพิเศษในหลายจังหวัด ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 พบว่าสถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วงและจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏการณ์ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันส่งผลให้มวลน้ำสะสมในพื้นที่ต้นน้ำมีปริมาณมหาศาล จนเกินขีดความสามารถในการระบายน้ำของแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขา นำไปสู่ภาวะน้ำป่าไหลหลากลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงไม่มีเวลาเพียงพอในการเตรียมตัวขนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งต่อภาคเกษตรกรรม ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน สะพาน และระบบไฟฟ้า
เจาะลึกพื้นที่ 5 จังหวัดเผชิญภาวะวิกฤต
แม้ว่าคำค้นหาจะกล่าวถึง น้ำท่วมหนัก! อัปเดต 10 จังหวัด-เช็คเส้นทางเลี่ยงด่วน แต่จากรายงานสถานการณ์ล่าสุด พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในระดับรุนแรงและวิกฤตที่สุดในขณะนี้มี 5 จังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะทางภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและที่ราบเชิงเขา ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มเมื่อมีฝนตกหนักสะสม
ขอบเขตพื้นที่และจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ
ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สรุปความเสียหายใน 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ น่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย และตาก โดยมีรายละเอียดของผลกระทบที่ครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างและส่งผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก
| รายการ | จำนวน |
|---|---|
| จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก | 5 จังหวัด (น่าน, เชียงราย, แพร่, สุโขทัย, ตาก) |
| จำนวนอำเภอที่ได้รับผลกระทบ | 24 อำเภอ |
| จำนวนตำบลที่ได้รับผลกระทบ | 115 ตำบล |
| จำนวนหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบ | 461 หมู่บ้าน |
| จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ | 24,505 ครัวเรือน |
| จำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ (โดยประมาณ) | 79,942 คน |
ปริมาณน้ำฝนสะสมในพื้นที่วิกฤต
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงคือปริมาณฝนที่ตกหนักอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายปี โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำโดยตรงจากแนวร่องมรสุม ปริมาณฝนที่วัดได้ในบางอำเภอสูงกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับที่อันตรายและเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดอุทกภัยรุนแรง
ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดอากาศระบุว่า ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2568 อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย มีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 317.5 มิลลิเมตร ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน มีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 341.4 มิลลิเมตร ในช่วงเวลาเดียวกัน
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติของสภาพอากาศและเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็ว ดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้ทัน ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ในพื้นที่ลาดชัน สร้างความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงทางน้ำและเชิงเขา
การตอบสนองและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ทันทีที่สถานการณ์เริ่มทวีความรุนแรง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ระดมสรรพกำลังและทรัพยากรเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและวางแผนฟื้นฟูในระยะต่อไป
บทบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการจัดการสาธารณภัย ได้ประสานงานกับหน่วยงานในระดับจังหวัดและท้องถิ่นเพื่อดำเนินการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ โดยภารกิจสำคัญในช่วงแรกประกอบด้วย:
- การอพยพประชาชน: จัดกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบนและยานพาหนะขนาดใหญ่เข้าอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูงไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ปลอดภัย
- การแจกจ่ายถุงยังชีพ: จัดเตรียมและแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม และยารักษาโรค เพื่อช่วยเหลือด้านการดำรงชีพในเบื้องต้น
- การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน: ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยที่ไม่สามารถประกอบอาหารเองได้
- การแจ้งเตือนภัย: เผยแพร่ข้อมูลและประกาศเตือนภัยผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงการแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast ไปยังโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที
การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินและการฟื้นฟูระยะยาว
นอกเหนือจากการช่วยเหลือเฉพาะหน้าแล้ว การดำเนินการยังครอบคลุมถึงการแก้ไขปัญหาสาธารณูปโภคและการวางแผนฟื้นฟู โดยมีการส่งทีมแพทย์และสาธารณสุขเคลื่อนที่เข้าไปดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อป้องกันการระบาดของโรคที่มากับน้ำ เช่น โรคน้ำกัดเท้า และโรคฉี่หนู ขณะเดียวกัน หน่วยงานด้านการไฟฟ้าและการประปาได้เร่งเข้าสำรวจและซ่อมแซมระบบที่ได้รับความเสียหายเพื่อคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด
ในระยะต่อไป เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง จะมีการสำรวจความเสียหายอย่างละเอียดเพื่อประเมินและให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ รวมถึงการวางแผนฟื้นฟูอาชีพและซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง

เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงและเกิดขึ้นซ้ำซ้อนในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศขาดความสมดุลและเพิ่มความเปราะบางต่อภัยพิบัติ
อิทธิพลของร่องมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน
ปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลให้รูปแบบของฝนมีความสุดขั้วมากขึ้น กล่าวคือ ปริมาณฝนที่เคยตกกระจายตลอดทั้งปีกลับมารวมตัวตกหนักในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ปริมาณน้ำมีมากเกินกว่าที่ระบบระบายน้ำตามธรรมชาติจะรองรับได้ การเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งขึ้นเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นที่
การขยายตัวของเมืองและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาน้ำท่วมรุนแรงขึ้น การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถนน อาคาร และโครงการพัฒนาต่างๆ ที่กีดขวางทางน้ำตามธรรมชาติ ทำให้การไหลของน้ำไม่สะดวกและเกิดการสะสมของมวลน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ นอกจากนี้ การทำลายพื้นที่ป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับน้ำตามธรรมชาติ และการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำหรือ “พื้นที่แก้มลิง” ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นพื้นที่หน่วงน้ำ ก็ส่งผลให้ความสามารถในการรับมือกับปริมาณน้ำหลากลดลงอย่างมาก
แนวทางการเดินทางและตรวจสอบเส้นทางในช่วงอุทกภัย
สำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วม การวางแผนและตรวจสอบข้อมูลเส้นทางอย่างละเอียดถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศเส้นทางเลี่ยงที่ชัดเจนในภาพรวม แต่มีหลักปฏิบัติที่ควรยึดถือเพื่อลดความเสี่ยง
หลักปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการสัญจร
- หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น: หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ควรเลื่อนการเดินทางออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
- ห้ามขับรถฝ่ากระแสน้ำ: ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะทุกชนิดผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยว เนื่องจากระดับน้ำเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้รถเสียการควบคุมและถูกพัดพาไปได้
- ศึกษาเส้นทางล่วงหน้า: ก่อนออกเดินทาง ควรตรวจสอบข้อมูลเส้นทางจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เพื่อวางแผนใช้เส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย
- สังเกตป้ายเตือน: ปฏิบัติตามป้ายเตือนและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อย่างเคร่งครัด
- เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน: ควรมีอุปกรณ์ที่จำเป็นติดรถไว้ เช่น ไฟฉาย โทรศัพท์มือถือพร้อมแบตเตอรี่สำรอง น้ำดื่ม และอาหารแห้ง
ช่องทางการติดตามข้อมูลสถานการณ์และเส้นทาง
การรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและรวดเร็วเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลได้จากหลายช่องทาง ดังนี้:
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.): ผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และสายด่วน 1784
- กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท: ตรวจสอบสภาพการจราจรและเส้นทางที่ปิดการสัญจรผ่านสายด่วน 1586 และ 1146
- กรมอุตุนิยมวิทยา: ติดตามประกาศเตือนภัยและพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด
- สื่อสารมวลชน: รับฟังข่าวสารจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่น่าเชื่อถือ
- การแจ้งเตือน Cell Broadcast: เป็นระบบแจ้งเตือนโดยตรงไปยังโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งเป็นช่องทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
บทสรุปและข้อแนะนำในการรับมือ
สถานการณ์ น้ำท่วมหนัก ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดภาคเหนือ สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จำเป็นต้องมีการจัดการและรับมืออย่างเป็นระบบ ขณะนี้หน่วยงานภาครัฐกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง แต่ความร่วมมือจากภาคประชาชนในการติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมในการอพยพและขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงอยู่เสมอ ส่วนผู้ที่จำเป็นต้องเดินทาง ควรตรวจสอบข้อมูลเส้นทางอย่างละเอียดและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจเกิดอันตราย การตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียจากอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

