Shopping cart

เศรษฐา พ้นนายก! สรุปคำตัดสิน-ใครคือแคนดิเดตคนต่อไป?

สารบัญ

สถานการณ์การเมืองไทยเกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่อาจขัดต่อคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ คำตัดสินดังกล่าวนำมาซึ่งคำถามสำคัญเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ และใครคือบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไป บทความนี้จะสรุปคำตัดสินและวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่

บทสรุปสถานการณ์สำคัญ

  • การสิ้นสุดตำแหน่ง: นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วยมติ 5 ต่อ 4 เสียง
  • สาเหตุหลัก: การแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยมีประวัติถูกจำคุก อันเป็นการกระทำที่ศาลฯ เห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและมาตรฐานทางจริยธรรม
  • สถานะรัฐบาล: คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสิ้นสุดลง และเข้าสู่สถานะรัฐบาลรักษาการ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี
  • ทางออกในอนาคต: ประเทศไทยมีสองทางเลือกหลัก คือ การยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ หรือให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากบัญชีรายชื่อเดิม
  • แคนดิเดตนายกฯ: การจับตามองพุ่งเป้าไปที่บัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่แต่ละพรรคการเมืองเคยเสนอไว้ ซึ่งมีบุคคลสำคัญทางการเมืองหลายรายชื่อ

เจาะลึกคำวินิจฉัย: ทำไม เศรษฐา ทวีสิน จึงพ้นจากตำแหน่ง?

การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจในรายละเอียดของคำตัดสินจะช่วยให้เห็นภาพรวมของมาตรฐานทางจริยธรรมและข้อกฎหมายที่กำกับดูแลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงของประเทศ

ปมเหตุแห่งการถอดถอน: กรณีแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’

จุดเริ่มต้นของกระบวนการถอดถอนครั้งนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่การตัดสินใจของนายเศรษฐา ทวีสิน ในการเสนอชื่อแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประวัติของนายพิชิต ซึ่งเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในคดีละเมิดอำนาจศาลจากกรณี “ถุงขนม 2 ล้านบาท” เมื่อปี 2551 แม้จะเป็นการจำคุกในฐานความผิดละเมิดอำนาจศาล ไม่ใช่คดีทุจริตคอร์รัปชันโดยตรง แต่ประเด็นดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาถึงคุณสมบัติและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งบุคคลที่อาจมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ว่าด้วยคุณสมบัติของรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

มติศาลรัฐธรรมนูญ 5 ต่อ 4 เสียง และความหมาย

หลังจากการพิจารณาไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติด้วยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง วินิจฉัยว่าการกระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน ขัดต่อรัฐธรรมนูญและมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ควรรู้หรือมีกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างละเอียดรอบคอบ การแต่งตั้งบุคคลที่เคยมีประวัติถูกจำคุกในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความสุจริตและจริยธรรม ถือเป็นการกระทำที่บกพร่องต่อหน้าที่

ผลของคำวินิจฉัยนี้มีผลทันที คือ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย และเข้าสู่สถานะ “รัฐบาลรักษาการ” จนกว่าจะมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตัวนายเศรษฐาเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสมและนำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหม่

สุญญากาศทางการเมือง: ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร?

สุญญากาศทางการเมือง: ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร?

เมื่อตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารว่างลง ประเทศจึงเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองชั่วคราว อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญได้กำหนดกลไกและขั้นตอนในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเปลี่ยนผ่านไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะอยู่ในขอบเขตที่จำกัด

บทบาทของรัฐบาลรักษาการ

ตามธรรมเนียมปฏิบัติและข้อกฎหมาย คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ รัฐบาลรักษาการ (Caretaker Government) จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะให้รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “รักษาการนายกรัฐมนตรี”

อย่างไรก็ตาม อำนาจของรัฐบาลรักษาการนั้นมีจำกัด โดยหลักการแล้วจะเน้นการบริหารราชการแผ่นดินในเรื่องที่จำเป็นและต่อเนื่องเท่านั้น ไม่สามารถอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะสร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไปได้ และไม่สามารถดำเนินการแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน

สองทางเลือกหลัก: ยุบสภา หรือ เลือกนายกฯ คนใหม่

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เส้นทางการเมืองไทยในระยะสั้นมีทางเลือกหลักอยู่ 2 แนวทาง ดังนี้:

  1. การยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่: รักษาการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการเสนอให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ หากเลือกเส้นทางนี้ จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ภายใน 45-60 วันนับจากวันยุบสภา วิธีนี้ถือเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง แต่อาจต้องใช้เวลาและงบประมาณในการดำเนินการ และผลการเลือกตั้งก็อาจนำไปสู่สมการทางการเมืองที่ซับซ้อนเช่นเดิม
  2. การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภา: หากไม่มีการยุบสภา กระบวนการจะกลับไปที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตที่แต่ละพรรคการเมืองได้ยื่นต่อ กกต. ไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งครั้งล่าสุด การดำเนินการในแนวทางนี้จะรวดเร็วกว่า แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและรวบรวมเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมหรืออาจมีการสลับขั้วทางการเมืองใหม่

การตัดสินใจเลือกระหว่างสองแนวทางนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ของพรรคการเมืองแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงความพร้อม เสถียรภาพ และคะแนนเสียงสนับสนุนในสภา

จับตาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป: ใครมีโอกาสบ้าง?

ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรเดินหน้ากระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การพิจารณาจะจำกัดอยู่เฉพาะบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้ตัวเลือกมีจำกัดและสามารถคาดการณ์ได้ในระดับหนึ่ง

ภาพรวมบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ

บัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถูกเสนอโดยพรรคการเมืองต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด พรรคที่มี สส. ตั้งแต่ 25 คนขึ้นไปมีสิทธิ์เสนอชื่อบุคคลได้ไม่เกิน 3 รายชื่อ สำหรับพรรคแกนนำรัฐบาลเดิมอย่างพรรคเพื่อไทย ยังมีแคนดิเดตเหลืออยู่ในบัญชีอีก 2 คน ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็มีแคนดิเดตของตนเองเช่นกัน การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จึงเป็นการหาฉันทามติจากพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อรวบรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร

วิเคราะห์ตัวเต็ง: รายชื่อที่น่าจับตามอง

แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่แวดวงการเมืองได้เริ่มมีการวิเคราะห์ถึงบุคคลที่มีโอกาสจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยพิจารณาจากสถานะทางการเมืองและเสียงสนับสนุนจากพรรคต่างๆ

ตารางสรุปรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เป็นไปได้จากพรรคการเมืองต่างๆ
ชื่อ-นามสกุล พรรคการเมือง อายุ (โดยประมาณ) บทบาทและประสบการณ์ที่สำคัญ
นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย 76 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, อดีตอัยการสูงสุด มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย 57 ปี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ 78 ปี อดีตรองนายกรัฐมนตรี, หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีฐานอำนาจทางการเมืองที่แข็งแกร่ง
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ 65 ปี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

นอกเหนือจากรายชื่อในตาราง ยังมีบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในบัญชีแคนดิเดตซึ่งอาจถูกเสนอชื่อได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาต่อรองของพรรคการเมืองต่างๆ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เสียงสะท้อนจากนานาชาติและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในประเทศไทยมักได้รับความสนใจจากประชาคมโลกเสมอ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกะทันหันในครั้งนี้ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของเสถียรภาพและทิศทางนโยบายของประเทศ

มุมมองจากสื่อต่างประเทศ

สื่อต่างประเทศหลายสำนักได้รายงานข่าวการพ้นจากตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน อย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่มองว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเสถียรภาพทางการเมืองไทย สำนักข่าว CNN รายงานว่าคำตัดสินดังกล่าวสร้างความ

ตื่นตระหนกและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย

เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการเลือกตั้งถูกถอดถอนโดยศาลรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลด้านคุณสมบัติในการแต่งตั้งรัฐมนตรี มุมมองเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่านานาชาติกำลังจับตามองกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของไทยอย่างใกล้ชิด

ความท้าทายต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่น

ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงเวลาที่รัฐบาลยังเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่อาจต้องหยุดชะงัก การเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลชุดใหม่ที่ราบรื่นและรวดเร็วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ หากกระบวนการยืดเยื้อหรือนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์และการตัดสินใจลงทุนในระยะยาวได้

บทสรุปและแนวโน้มอนาคตการเมืองไทย

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งปี 2566 สถานการณ์หลังจากนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่มีกรอบการดำเนินการที่ชัดเจนอยู่สองทาง คือการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภา หรือการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับการต่อรองของพรรคการเมืองต่างๆ

ขณะเดียวกัน การจับตามองได้พุ่งเป้าไปที่บรรดาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและบทบาทสำคัญทางการเมือง การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์ถึงวุฒิภาวะทางการเมืองของทุกฝ่ายในการนำพาประเทศก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ไปได้ ทุกความเคลื่อนไหวหลังจากนี้จะส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพ ทิศทางนโยบาย และอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930