เลิกงานห้ามทัก! จ่อคลอดกฎหมายสิทธิลืมงาน
- ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- ทำความเข้าใจ “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ”
- ภาพรวมกฎหมาย “สิทธิลืมงาน” ในต่างประเทศ
- สถานการณ์ในประเทศไทย: กฎหมายแรงงานกับการสร้างสมดุลชีวิต
- ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีกฎหมาย “เลิกงานห้ามทัก” ในไทย
- ตารางเปรียบเทียบ: ข้อดีและข้อควรพิจารณาของกฎหมายสิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ
- แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรและพนักงานในปัจจุบัน
- บทสรุปและทิศทางในอนาคต
ประเด็นเรื่อง เลิกงานห้ามทัก! จ่อคลอดกฎหมายสิทธิลืมงาน กำลังกลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่สำคัญในแวดวงแรงงานไทย ท่ามกลางยุคดิจิทัลที่เส้นแบ่งระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวเลือนลางลงทุกขณะ แนวคิด “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” (Right to Disconnect) ซึ่งให้สิทธิลูกจ้างในการปฏิเสธการสื่อสารเรื่องงานนอกเวลาทำงาน ได้รับการพูดถึงมากขึ้นในระดับสากลและเริ่มส่งแรงกระเพื่อมมาถึงประเทศไทย แม้จะยังไม่มีร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการ แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) และป้องกันปัญหาภาวะหมดไฟที่ทวีความรุนแรงขึ้นในสังคมการทำงานสมัยใหม่
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ (Right to Disconnect) คือแนวคิดที่ให้สิทธิลูกจ้างในการไม่ต้องตอบการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น อีเมล หรือข้อความแชท นอกเวลาทำงานที่กำหนดไว้ โดยไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการประเมินผลงาน
- กระแสโลกและกฎหมายในต่างประเทศ: หลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและสเปน ได้ออกกฎหมายรองรับสิทธินี้แล้ว เพื่อปกป้องสุขภาพจิตและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน
- สถานการณ์ในประเทศไทย: แม้จะยังไม่มีการยื่นร่างกฎหมาย “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” โดยตรง แต่มีการเคลื่อนไหวในการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มุ่งเน้นการกำหนดชั่วโมงการทำงานที่ชัดเจนและส่งเสริมสมดุลชีวิต ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกัน
- ผลกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้าง: แนวคิดนี้สร้างประโยชน์ด้านการลดความเครียดและภาวะหมดไฟให้แก่ลูกจ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายให้นายจ้างในด้านความยืดหยุ่นและการบริหารจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมองค์กร: นอกเหนือจากกฎหมาย การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เคารพเวลาส่วนตัวของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาระยะยาว
ทำความเข้าใจ “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ”
แนวคิดเรื่อง “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” ไม่ใช่เพียงแค่การปิดแจ้งเตือน แต่เป็นหลักการพื้นฐานที่ยอมรับว่าเวลาพักผ่อนของพนักงานคือสิ่งจำเป็นต่อสุขภาวะและประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม การทำความเข้าใจนิยามและที่มาของแนวคิดนี้จะช่วยให้เห็นภาพความสำคัญของมันในบริบทการทำงานปัจจุบัน
นิยามและความหมายของ Right to Disconnect
สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ หรือ Right to Disconnect หมายถึง สิทธิอันชอบธรรมของลูกจ้างที่จะงดเว้นจากการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับงานนอกชั่วโมงทำงานตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจ้าง ซึ่งรวมถึงการไม่อ่านและไม่ตอบอีเมล, ข้อความสนทนา, หรือรับโทรศัพท์เรื่องงาน โดยการใช้สิทธิดังกล่าวจะต้องไม่ถูกนำไปเป็นเหตุผลในการลงโทษ, การประเมินผลงานในแง่ลบ, หรือการเลิกจ้าง
แก่นแท้ของสิทธินี้คือการคืน “เวลาส่วนตัว” ให้กับพนักงานอย่างแท้จริง เพื่อให้พวกเขาสามารถพักผ่อน, ใช้เวลากับครอบครัว, หรือทำกิจกรรมส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากความกังวลหรือแรงกดดันว่าต้องพร้อมสแตนด์บายเรื่องงานตลอด 24 ชั่วโมง
ทำไมแนวคิดนี้จึงเกิดขึ้นในยุคดิจิทัล
การเกิดขึ้นของแนวคิดนี้เป็นผลพวงโดยตรงจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในศตวรรษที่ 21 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้ “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” มีความสำคัญมากขึ้น ได้แก่:
- การแพร่หลายของสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต: อุปกรณ์สื่อสารที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลาทำให้ “ออฟฟิศ” สามารถติดตามพนักงานไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน, ระหว่างการเดินทาง, หรือแม้กระทั่งในวันหยุด
- วัฒนธรรมการทำงานแบบ “Always-on”: การสื่อสารที่รวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันสนทนาสร้างความคาดหวังว่าพนักงานจะต้องตอบสนองอย่างทันท่วงที ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา (Always-on Culture)
- การทำงานทางไกล (Remote Work): แม้จะมีข้อดีด้านความยืดหยุ่น แต่การทำงานจากที่บ้านทำให้เส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่ส่วนตัวจางหายไป พนักงานจำนวนมากพบว่าตนเองทำงานนานขึ้นและเลิกงานช้าลงกว่าเดิม
- ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: การไม่สามารถตัดขาดจากงานได้อย่างสมบูรณ์นำไปสู่ความเครียดสะสม, ความวิตกกังวล, และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ภาวะหมดไฟ (Burnout) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งตัวพนักงานและประสิทธิภาพขององค์กร
หลักการสำคัญและเป้าหมาย
เป้าหมายหลักของการผลักดันกฎหมายหรือนโยบาย “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” คือการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและยั่งยืน โดยมีหลักการสำคัญดังนี้:
- การคุ้มครองสุขภาพของแรงงาน: ปกป้องพนักงานจากผลกระทบทางลบด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไปและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- การส่งเสริม Work-Life Balance: สร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความรับผิดชอบในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว เพื่อให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- การเคารพเวลาส่วนตัว: ยอมรับว่าเวลาหลังเลิกงานเป็นสิทธิส่วนบุคคลของพนักงานที่ควรได้รับการเคารพจากนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน
- การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยให้พนักงานกลับมาทำงานได้อย่างสดชื่น มีสมาธิ และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผลิตภาพขององค์กรในระยะยาว
ภาพรวมกฎหมาย “สิทธิลืมงาน” ในต่างประเทศ
แนวคิดเรื่อง “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล หลายประเทศได้ตระหนักถึงปัญหานี้และเริ่มบัญญัติเป็นกฎหมายหรือข้อบังคับอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองแรงงานในยุคดิจิทัล การศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศช่วยให้เห็นแนวทางและความเป็นไปได้ในการนำมาปรับใช้
กรณีศึกษา: ฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกกฎหมาย
ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศแรกๆ ที่บัญญัติ “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” (Le droit à la déconnexion) ไว้ในกฎหมายแรงงานอย่างเป็นทางการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2017 กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้บริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องเริ่มเจรจากับตัวแทนลูกจ้างเพื่อกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือดิจิทัลนอกเวลาทำงาน
สาระสำคัญของกฎหมายฝรั่งเศสไม่ได้ห้ามการส่งอีเมลนอกเวลาทำงานโดยสิ้นเชิง แต่เน้นไปที่การสร้าง “ข้อตกลง” ร่วมกันภายในองค์กร เช่น การกำหนดช่วงเวลาที่พนักงานไม่จำเป็นต้องตอบอีเมล หรือการปิดเซิร์ฟเวอร์อีเมลในช่วงสุดสัปดาห์ เป้าหมายคือการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เคารพเวลาพักผ่อนของพนักงานมากขึ้น แทนที่จะเป็นการบังคับใช้บทลงโทษที่ตายตัว
ประเทศอื่นๆ ที่นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้
หลังจากความสำเร็จของฝรั่งเศส หลายประเทศทั่วโลกก็ได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป:
- สเปน: ออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและสิทธิดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งรวมถึงสิทธิของพนักงานที่จะตัดการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ดิจิทัลนอกเวลาทำงาน
- อิตาลี: มีกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองแก่พนักงานที่ทำงานทางไกล (Smart Working) โดยระบุว่าต้องมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พนักงานต้องพักและไม่ถูกรบกวนจากเรื่องงาน
- เบลเยียม: ข้าราชการของรัฐบาลกลางได้รับสิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อตั้งแต่ปี 2022 โดยหัวหน้างานไม่สามารถคาดหวังให้ลูกน้องตอบข้อความหรือรับโทรศัพท์นอกเวลาทำงานได้ ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจริงๆ
- ฟิลิปปินส์: มีการเสนอร่างกฎหมายที่ห้ามนายจ้างติดต่องานกับลูกจ้างนอกเวลาทำงาน และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
- แคนาดา (รัฐออนแทรีโอ): บังคับให้นายจ้างที่มีพนักงาน 25 คนขึ้นไป ต้องมีนโยบาย “Right to Disconnect” เป็นลายลักษณ์อักษร
การเคลื่อนไหวในระดับสากลแสดงให้เห็นว่า “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของกฎหมายแรงงานทั่วโลก เพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป
สถานการณ์ในประเทศไทย: กฎหมายแรงงานกับการสร้างสมดุลชีวิต
สำหรับประเทศไทย แม้คำว่า “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” จะยังไม่ถูกบัญญัติเป็นกฎหมายโดยตรง แต่แนวคิดเรื่องการคุ้มครองเวลาพักผ่อนของลูกจ้างและการสร้างสมดุลชีวิตการทำงานนั้นปรากฏอยู่ในกฎหมายแรงงานฉบับปัจจุบัน และกำลังเป็นประเด็นที่มีการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมกฎหมายแรงงานปัจจุบันเรื่องเวลาทำงาน
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้วางกรอบพื้นฐานเกี่ยวกับการกำหนดเวลาทำงานและเวลาพักไว้ค่อนข้างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้นายจ้างใช้งานลูกจ้างหนักเกินไป หลักการสำคัญประกอบด้วย:
- เวลาทำงานปกติ: กำหนดให้เวลาทำงานปกติไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- เวลาพัก: ในวันที่มีการทำงาน นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมงติดต่อกัน
- วันหยุดประจำสัปดาห์: ลูกจ้างต้องมีวันหยุดไม่น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ โดยมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน
- การทำงานล่วงเวลา (OT): การทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นคราวๆ ไป และนายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
จากหลักการข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายไทยได้ให้ความสำคัญกับการจำกัดชั่วโมงทำงานและรับรองสิทธิในการพักผ่อนของลูกจ้างอยู่แล้ว
ความเคลื่อนไหวและร่างแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่เกี่ยวข้อง
แม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการร่างกฎหมาย “เลิกงานห้ามทัก” ในประเทศไทย แต่มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในการปฏิรูปกฎหมายแรงงานซึ่งมีทิศทางสอดคล้องกัน โดยเฉพาะการผลักดันการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปี 2025 ที่มีแนวโน้มจะยกระดับสิทธิของลูกจ้างในหลายมิติ เช่น:
- การปรับปรุงสิทธิการลา: มีการผลักดันให้ขยายสิทธิการลาเพื่อคลอดและเลี้ยงดูบุตร ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัวและบทบาทนอกที่ทำงานของลูกจ้าง
- การคุ้มครองแรงงานนอกระบบ: มีความพยายามที่จะขยายความคุ้มครองของกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมแรงงานแพลตฟอร์มและฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักเผชิญกับปัญหาชั่วโมงการทำงานที่ไม่แน่นอน
- การส่งเสริมความเท่าเทียม: การผลักดันสิทธิแรงงานให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพหรือรูปแบบการจ้างงาน
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ภาครัฐและภาคประชาสังคมกำลังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของแรงงานให้ดีขึ้น ซึ่งการรับรอง “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” อาจเป็นก้าวต่อไปในอนาคตอันใกล้
ช่องว่างทางกฎหมายและความท้าทาย
ความท้าทายที่สำคัญคือ กฎหมายแรงงานฉบับปัจจุบันถูกร่างขึ้นในยุคก่อนที่การสื่อสารดิจิทัลจะแพร่หลายเท่าทุกวันนี้ ทำให้เกิด “ช่องว่าง” ในการตีความและการบังคับใช้ ตัวอย่างเช่น
- การ “สั่งงาน” นอกเวลา: การส่งข้อความหรืออีเมลสั่งงานนอกเวลาทำงานนั้น ถือเป็นการ “ทำงานล่วงเวลา” หรือไม่? กฎหมายยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นนี้
- ภาระการพิสูจน์: หากลูกจ้างรู้สึกกดดันที่ต้องตอบข้อความ แต่ไม่มีคำสั่งโดยตรงจากนายจ้าง เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าถูกละเมิดสิทธิ
- ความหลากหลายของธุรกิจ: ธุรกิจบางประเภท เช่น งานบริการหรืองานที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ อาจมีความจำเป็นต้องสื่อสารนอกเวลาทำงานปกติ การออกกฎหมายที่ครอบคลุมทุกกรณีจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีกฎหมาย “เลิกงานห้ามทัก” ในไทย
การนำแนวคิด “สิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ” มาบังคับใช้เป็นกฎหมายย่อมส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งลูกจ้างและนายจ้าง การพิจารณาผลกระทบในทุกมิติจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหาจุดสมดุลที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย
ประโยชน์ต่อลูกจ้าง
หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของลูกจ้างอย่างมีนัยสำคัญ:
- การฟื้นฟูสุขภาพจิตและลดภาวะหมดไฟ: การได้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานจะช่วยลดระดับความเครียด ความวิตกกังวล และป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance): พนักงานจะมีเวลาให้กับครอบครัว เพื่อน และกิจกรรมที่ตนเองสนใจมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความสุขและความพึงพอใจในชีวิตโดยรวม
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในเวลา: เมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ พนักงานจะสามารถกลับมาทำงานในวันถัดไปได้อย่างเต็มศักยภาพ มีสมาธิและพลังในการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ทำงานเสร็จเร็วขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นในเวลาทำงานปกติ
- สร้างขอบเขตที่ชัดเจน: กฎหมายจะช่วยสร้างบรรทัดฐานและขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว ลดความรู้สึกผิดหรือความกดดันในการปฏิเสธงานนอกเวลา
ความท้าทายและข้อกังวลสำหรับนายจ้าง
ในมุมของนายจ้างและองค์กร การมีกฎหมายนี้อาจสร้างความท้าทายใหม่ๆ ในการบริหารจัดการ:
- ความยืดหยุ่นในการทำงานที่อาจลดลง: ในธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวสูงหรือมีการแข่งขันที่รุนแรง การจำกัดการสื่อสารนอกเวลาอาจทำให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือความต้องการของลูกค้าช้าลง
- การรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน: การกำหนดนิยามของ “เหตุฉุกเฉิน” หรือ “เหตุจำเป็นเร่งด่วน” ที่อนุญาตให้ติดต่อนอกเวลาได้นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทได้
- ภาระในการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติ: องค์กรจะต้องลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรในการจัดทำนโยบายภายใน, สื่อสารให้พนักงานเข้าใจ, และปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรมองค์กร: องค์กรที่มีวัฒนธรรมการทำงานแบบใกล้ชิดและไม่เป็นทางการอาจต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับใหม่
ตารางเปรียบเทียบ: ข้อดีและข้อควรพิจารณาของกฎหมายสิทธิที่จะตัดการเชื่อมต่อ
มุมมอง | ข้อดี / ประโยชน์ | ข้อควรพิจารณา / ความท้าทาย |
---|---|---|
สำหรับลูกจ้าง | – ลดความเครียดและป้องกันภาวะหมดไฟ – ปรับปรุง Work-Life Balance – เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในเวลา – มีขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน |
– อาจพลาดข้อมูลสำคัญในกรณีฉุกเฉิน – อาจรู้สึกกดดันหากเพื่อนร่วมงานบางคนยังคงทำงานนอกเวลา |
สำหรับนายจ้าง/องค์กร | – พนักงานมีสุขภาพจิตที่ดีและมีแรงจูงใจ – ลดอัตราการลาออกของพนักงาน – สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดี – เพิ่มผลิตภาพในระยะยาว |
– ลดความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ – ความยากลำบากในการจัดการเหตุฉุกเฉิน – ภาระในการสร้างและบังคับใช้นโยบาย – อาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ |
แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรและพนักงานในปัจจุบัน
ในระหว่างที่กฎหมายยังไม่มีความชัดเจน ทั้งองค์กรและพนักงานสามารถเริ่มต้นปรับตัวและสร้างแนวทางปฏิบัติที่ดีร่วมกันได้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เคารพซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องรอให้กฎหมายบังคับ