พายุลูกใหม่จ่อเข้าไทย! เช็คจังหวัดเสี่ยงภัยฝนถล่ม
สถานการณ์ พายุลูกใหม่จ่อเข้าไทย! เช็คจังหวัดเสี่ยงภัยฝนถล่ม กำลังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนกันยายน 2568 เนื่องจากข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและผู้เชี่ยวชาญบ่งชี้ถึงการก่อตัวของพายุโซนร้อนลูกใหม่ชื่อ “รากาซา” ที่คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านอยู่ก่อนแล้ว ทำให้หลายพื้นที่ทั่วประเทศมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ การทำความเข้าใจสถานการณ์และเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
ภาพรวมสถานการณ์พายุและฝนตกหนัก
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2568 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัจจัยทางสภาพอากาศที่ซับซ้อนหลายประการพร้อมกัน ทั้งจากอิทธิพลของพายุลูกเดิมที่สลายตัวไปแล้วแต่ยังคงทิ้งผลกระทบไว้ การก่อตัวของพายุลูกใหม่ และการมีอยู่ของร่องมรสุมกำลังแรง ทำให้เกิดแนวโน้มฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายภูมิภาค การเฝ้าระวังและติดตามประกาศเตือนภัยจึงมีความสำคัญสูงสุดในช่วงเวลานี้
- การมาถึงของพายุโซนร้อน “รากาซา”: พายุลูกใหม่ที่คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของไทยในช่วงวันที่ 23-25 กันยายน 2568 ซึ่งจะนำมาซึ่งฝนตกหนักในวงกว้าง
- อิทธิพลต่อเนื่องจากร่องมรสุม: ร่องมรสุมกำลังแรงที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกสะสมและเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าว
- จังหวัดเสี่ยงภัยครอบคลุมหลายภูมิภาค: พื้นที่เสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคอีสาน แต่ยังรวมถึงภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- เฝ้าระวังพายุลูกถัดไปในเดือนตุลาคม: มีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญว่าอาจมีพายุอีกลูกหนึ่งเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยหลังวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งอาจซ้ำเติมสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน
เจาะลึกเส้นทางพายุและปัจจัยเสริมความรุนแรง
การทำความเข้าใจถึงที่มาและปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อสภาพอากาศรุนแรงในครั้งนี้ จะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์และเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากพายุเพียงลูกเดียว แต่เป็นผลพวงจากหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน
อิทธิพลจากพายุมิแทกและร่องมรสุมกำลังแรง
แม้ว่าพายุลูกก่อนหน้าอย่าง “มิแทก” จะได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งและอ่อนกำลังลงแล้ว แต่อิทธิพลของมันยังคงส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของประเทศไทย โดยเฉพาะการดึงร่องมรสุมให้เลื่อนขึ้นมาพาดผ่านบริเวณประเทศไทยตอนบนอย่างชัดเจน ร่องมรสุมนี้เปรียบเสมือนแนวปะทะของอากาศที่ทำให้เกิดเมฆและการควบแน่นของไอน้ำปริมาณมหาศาล ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเป็นระยะ นอกจากนี้ หย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คอยป้อนความชื้นเข้ามาเสริม ทำให้สถานการณ์ฝนตกหนักมีแนวโน้มที่จะคงอยู่และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงวันที่ 14-27 กันยายน 2568
การเฝ้าระวังพายุโซนร้อน “รากาซา” ลูกใหม่ล่าสุด
พายุโซนร้อน “รากาซา” (RAGASA) คือพายุลูกใหม่ที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าพายุลูกนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงสัปดาห์หน้า และมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้นเมื่อเคลื่อนผ่านทะเลจีนใต้ที่มีอุณหภูมิผิวน้ำอุ่น ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีของพายุ อย่างไรก็ตาม เส้นทางและความรุนแรงสุดท้ายยังคงมีความไม่แน่นอนสูง กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่พายุอาจจะอ่อนกำลังลงหรือสลายตัวไปก่อนที่จะถึงชายฝั่งประเทศไทย แต่ถึงกระนั้น อิทธิพลทางอ้อมของพายุก็ยังสามารถเหนี่ยวนำให้ลมมรสุมมีกำลังแรงขึ้น และส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายจังหวัดได้ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับฝนปริมาณมากจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้
การติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากทิศทางและความรุนแรงของพายุสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
แนวโน้มพายุลูกต่อไปในช่วงเดือนตุลาคม
นอกเหนือจากพายุรากาซาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านพายุและน้ำยังได้ออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีพายุอีกลูกหนึ่งก่อตัวและเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทยในช่วงหลังวันที่ 15 ตุลาคม 2568 พายุลูกนี้อาจส่งผลให้เกิดฝนตกหนักสะสมในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกครั้ง โดยคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 100-150 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงมากและสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ได้ นอกจากนี้ ยังมีการเตือนให้ระวัง “น้ำเหนือทะเลหลาก” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มวลน้ำจากตอนบนของประเทศไหลบ่าลงมาสมทบกับปริมาณฝนในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์อุทกภัยมีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น การวางแผนจัดการน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้
จังหวัดเสี่ยงภัยที่ต้องเตรียมรับมือฝนถล่ม
จากข้อมูลการพยากรณ์อากาศล่าสุด พื้นที่เสี่ยงภัยจากฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันครอบคลุมหลายภูมิภาคของประเทศไทย โดยแต่ละพื้นที่มีระดับความเสี่ยงและลักษณะของผลกระทบที่แตกต่างกันไป การทราบข้อมูลจังหวัดในกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ประชาชนสามารถเตรียมการป้องกันได้อย่างตรงจุด
ภูมิภาค | พื้นที่เสี่ยงหลัก | ลักษณะความเสี่ยง |
---|---|---|
ภาคเหนือ | จังหวัดเชียงราย, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์ | ฝนตกหนักสะสม, น้ำป่าไหลหลาก, ดินโคลนถล่มบริเวณที่ลาดเชิงเขา |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | จังหวัดเลย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ, สกลนคร, นครพนม, ชัยภูมิ, ขอนแก่น, นครราชสีมา, อุบลราชธานี | ฝนตกหนักถึงหนักมาก, น้ำท่วมฉับพลัน, น้ำล้นตลิ่งในลุ่มน้ำสายหลัก |
ภาคกลาง | จังหวัดนครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี, สระบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | ฝนตกหนัก, น้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำและเขตเมือง, ปัญหาน้ำรอการระบาย |
ภาคตะวันออก | จังหวัดนครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด | ฝนตกหนักและลมกระโชกแรง, คลื่นลมแรงในทะเล, น้ำท่วมพื้นที่ชายฝั่ง |
ภาคใต้ | จังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง, สตูล (ฝั่งตะวันตก) | ฝนตกชุกต่อเนื่อง, คลื่นลมแรงในทะเลอันดามัน, เสี่ยงน้ำท่วมและดินสไลด์ |
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สองภูมิภาคนี้ถือเป็นพื้นที่ด่านหน้าที่ต้องรับมือกับอิทธิพลของร่องมรสุมและพายุโดยตรง เนื่องจากเป็นเส้นทางผ่านของมวลอากาศชื้นและเป็นพื้นที่รับน้ำจากเทือกเขา ปริมาณฝนที่ตกสะสมมาหลายวันทำให้ดินอุ้มน้ำไว้มากจนใกล้ถึงจุดอิ่มตัว เมื่อมีฝนหนักตกลงมาซ้ำเติม จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ลาดเชิงเขาและใกล้ทางน้ำธรรมชาติจึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
แม้จะไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักของพายุโดยตรง แต่ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น สมุทรปราการ ก็ได้รับผลกระทบจากกลุ่มฝนที่แผ่ขยายวงกว้างเช่นกัน ลักษณะปัญหาในพื้นที่นี้จะเน้นไปที่น้ำท่วมขังรอการระบาย เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำจำนวนมาก เมื่อฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ ระบบระบายน้ำอาจไม่สามารถทำงานได้ทันท่วงที ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมบนถนนสายหลักและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการจราจรและการใช้ชีวิตของคนในเมือง
ภาคตะวันออกและภาคใต้
สำหรับภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก (ทะเลอันดามัน) จะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น ผลกระทบที่สำคัญคือฝนตกชุกต่อเนื่องและคลื่นลมในทะเลที่จะมีกำลังแรงขึ้น ชาวเรือและผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลควรเพิ่มความระมัดระวังและตรวจสอบประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ พื้นที่ชายฝั่งของภาคตะวันออกยังอาจเผชิญกับภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งเมื่อประกอบกับฝนที่ตกหนัก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมทะเลได้
ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตกหนัก
สถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องและพายุที่อาจเกิดขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ทำให้เกิดน้ำท่วม แต่ยังมีความเสี่ยงและผลกระทบในด้านอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาและเตรียมการรับมืออย่างรอบด้าน
ภัยคุกคามจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก
ความเสี่ยงที่อันตรายที่สุดคือ “น้ำท่วมฉับพลัน” และ “น้ำป่าไหลหลาก” ซึ่งมักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้านานนัก ในพื้นที่ภูเขาและที่ลาดชัน ปริมาณฝนที่ตกหนักอย่างรวดเร็วจะทำให้มวลน้ำไหลบ่าลงมาด้วยความเร็วสูง พัดพาดิน หิน และต้นไม้มาด้วย สร้างความเสียหายรุนแรงต่อบ้านเรือนและชีวิต ส่วนในพื้นที่ราบลุ่มและเขตเมือง น้ำท่วมฉับพลันอาจเกิดจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินกว่าที่ระบบระบายน้ำจะรับไหว ทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและถนนหนทางอย่างรวดเร็ว ความเสียหายไม่เพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงจากไฟฟ้าดูด สัตว์มีพิษที่หนีน้ำ และการแพร่ระบาดของโรคที่มากับน้ำท่วม
ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและการใช้ชีวิต
อุทกภัยและพายุส่งผลกระทบในวงกว้างต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การคมนาคมเป็นสิ่งแรกที่ได้รับผลกระทบ ถนนหลายสายอาจถูกตัดขาดจากน้ำท่วมหรือดินถล่ม ทำให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างยากลำบาก ระบบไฟฟ้าและประปาอาจขัดข้องหรือต้องถูกตัดเพื่อความปลอดภัย ระบบสื่อสารโทรคมนาคมอาจล่ม ทำให้การติดต่อขอความช่วยเหลือเป็นไปได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ผลกระทบยังขยายไปถึงภาคเกษตรกรรม ซึ่งพืชผลอาจได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขัง และภาคเศรษฐกิจโดยรวมที่อาจหยุดชะงักจากการที่ประชาชนไม่สามารถเดินทางไปทำงานหรือประกอบกิจการได้ตามปกติ
แนวทางการเตรียมความพร้อมและข้อควรปฏิบัติ
การเตรียมความพร้อมที่ดีเป็นหัวใจสำคัญในการลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น ทุกภาคส่วนตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ไปจนถึงชุมชน ควรมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับสถานการณ์
การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ควรติดตามการพยากรณ์อากาศ รายงานสถานการณ์น้ำ และคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันของหน่วยงานราชการ การรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยให้สามารถตัดสินใจและเตรียมตัวได้อย่างทันท่วงที หลีกเลี่ยงการเชื่อหรือส่งต่อข่าวลือที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน ซึ่งอาจสร้างความสับสนและตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
การเตรียมตัวในระดับครัวเรือน
ทุกครัวเรือนในพื้นที่เสี่ยงควรมีการเตรียมความพร้อมเบื้องต้น ดังนี้:
- จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ยังชีพฉุกเฉิน: เตรียมกระเป๋าที่บรรจุน้ำดื่ม อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และเอกสารสำคัญต่างๆ ใส่ไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำ
- ตรวจสอบความแข็งแรงของที่อยู่อาศัย: ตรวจสอบหลังคา ประตู หน้าต่าง และโครงสร้างบ้านให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้ที่อาจหักโค่นลงมาทับบ้านหรือสายไฟได้
- ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง: หากบ้านอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำเสี่ยงต่อน้ำท่วม ควรย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และของมีค่าอื่นๆ ขึ้นไปไว้บนชั้นสองหรือที่สูงที่ปลอดภัย
- สำรวจเส้นทางอพยพ: ศึกษาและวางแผนเส้นทางอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือบ้านญาติที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และตกลงจุดนัดพบกับสมาชิกในครอบครัวกรณีที่ต้องพลัดหลงกัน
- ดูแลระบบไฟฟ้าและแก๊ส: เรียนรู้วิธีการตัดการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า (สับคัตเอาต์) และปิดวาล์วแก๊สหุงต้ม เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วและแก๊สระเบิดเมื่อเกิดน้ำท่วม
บทสรุปและคำแนะนำสุดท้าย
จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์สภาพอากาศอย่างเข้มงวดในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2568 จากปัจจัยซ้อนของพายุโซนร้อน “รากาซา” และร่องมรสุมกำลังแรง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ไปจนถึงภาคใต้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุทกภัย น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก
สิ่งที่ดีที่สุดที่ประชาชนสามารถทำได้ในขณะนี้คือการไม่ประมาทและเตรียมความพร้อมรับมืออยู่เสมอ การติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมในระดับครัวเรือน ทั้งการจัดหาเสบียงและอุปกรณ์ที่จำเป็น การตรวจสอบความปลอดภัยของที่พักอาศัย และการวางแผนอพยพหากมีความจำเป็น การร่วมมือกันเฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่จะช่วยลดผลกระทบและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด