พายุลูกใหม่เข้าไทย! กรมอุตุฯ เตือนฝนถล่ม 45 จังหวัด
กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนสถานการณ์สภาพอากาศรุนแรง โดยระบุถึงการก่อตัวของพายุโซนร้อนลูกใหม่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน 2568 ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
- พายุโซนร้อน “รากาซา”: พายุกำลังทวีความรุนแรงในทะเลจีนใต้และคาดว่าจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อประเทศไทยในช่วงวันที่ 23-25 กันยายน 2568
- ผลกระทบหลัก: แม้พายุอาจไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่จะกระตุ้นร่องมรสุมให้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและฝนตกสะสมเป็นบริเวณกว้าง
- พื้นที่เฝ้าระวัง: กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภัย 45 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก
- การเตรียมความพร้อม: ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น
จากการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศล่าสุด พบว่ามีพายุลูกใหม่เข้าไทย! กรมอุตุฯ เตือนฝนถล่ม 45 จังหวัด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พายุโซนร้อน “รากาซา” (Ragasa) กำลังก่อตัวและมีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นในทะเลจีนใต้ แม้ว่าเส้นทางของพายุจะยังไม่ชัดเจนว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศไทยโดยตรงหรือไม่ แต่ผลกระทบทางอ้อมที่สำคัญคือการเหนี่ยวนำให้ร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากและมีฝนตกสะสมต่อเนื่องในพื้นที่ 45 จังหวัด ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยง
ภาพรวมสถานการณ์และผลกระทบที่คาดการณ์
สถานการณ์พายุ “รากาซา” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดสภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน 2568 โดยช่วงเวลาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2568 ความสำคัญของประกาศเตือนภัยครั้งนี้อยู่ที่ลักษณะของผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่การเผชิญหน้ากับความรุนแรงของลมพายุโดยตรง แต่เป็นการรับมือกับปริมาณฝนจำนวนมหาศาลที่เกิดจากร่องมรสุมที่ถูกกระตุ้นให้มีพลังมากขึ้น ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ที่ลาดเชิงเขา และใกล้ทางน้ำธรรมชาติจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากฝนที่ตกสะสมอาจทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำและลำคลองเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ภาวะอุทกภัยในวงกว้างได้ การติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้
ทำความรู้จักพายุโซนร้อน “รากาซา” (Ragasa)
การทำความเข้าใจธรรมชาติของพายุที่กำลังจะส่งผลกระทบเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเตรียมการรับมือ เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงและปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม
พายุ “รากาซา” คืออะไร?
พายุ “รากาซา” เป็นพายุหมุนเขตร้อนที่จัดอยู่ในระดับ “พายุโซนร้อน” (Tropical Storm) ตามเกณฑ์การจำแนกความรุนแรงของพายุสากล ซึ่งหมายถึงพายุที่มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 63 ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุโซนร้อนมีลักษณะเด่นคือมีโครงสร้างการหมุนเวียนของเมฆและลมที่ชัดเจน สามารถก่อให้เกิดฝนตกหนักและคลื่นลมแรงในทะเลได้ พายุรากาซาก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกและเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานความร้อนจากผิวน้ำทะเลที่เอื้อต่อการทวีกำลังแรงขึ้นของพายุ
เส้นทางและแนวโน้มความรุนแรง
ตามแบบจำลองสภาพอากาศ ณ วันที่ 22 กันยายน 2568 พายุโซนร้อนรากาซามีศูนย์กลางอยู่ในทะเลจีนใต้ตอนกลาง และมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกหรือตะวันตกเฉียงเหนืออย่างช้าๆ ปัจจัยที่น่าจับตามองคือพายุลูกนี้มีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้นอีก เนื่องจากสภาพแวดล้อมในทะเลจีนใต้มีความเหมาะสม ทั้งอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงและความแปรปรวนของลมในระดับบนที่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม แบบจำลองส่วนใหญ่ยังคงชี้ว่าโอกาสที่พายุจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรงยังมีไม่มากนัก แต่จะเคลื่อนตัวเลียบชายฝั่งประเทศเวียดนามและอ่อนกำลังลง
ความแตกต่างจากพายุที่เข้าไทยโดยตรง
ผลกระทบจากพายุ “รากาซา” ในครั้งนี้มีความแตกต่างจากกรณีที่พายุเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศไทยโดยตรงอย่างชัดเจน หากพายุขึ้นฝั่งโดยตรง ความเสียหายหลักมักเกิดจากลมกระโชกแรงที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ แต่ในกรณีของรากาซา ซึ่งส่งผลกระทบทางอ้อม ภัยคุกคามหลักจะเปลี่ยนเป็น “ปริมาณน้ำฝน” ที่ตกเป็นบริเวณกว้างและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน พายุจะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเครื่องสูบขนาดใหญ่ ดึงเอาความชื้นมหาศาลจากทะเลเข้ามาเสริมกำลังให้กับร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยอยู่แล้ว ทำให้เกิดเมฆฝนหนาแน่นและฝนตกหนักเป็นพิเศษ
กลไกการเกิดฝนตกหนัก: อิทธิพลจากร่องมรสุม
ความเข้าใจในกลไกทางอุตุนิยมวิทยาที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก จะช่วยให้ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าศูนย์กลางพายุจะอยู่ห่างไกลออกไป
ร่องมรสุมคืออะไรและทำงานอย่างไร
ร่องมรสุม (Monsoon Trough) หรือที่เรียกว่า ร่องความกดอากาศต่ำ เป็นแนวที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้ามาปะทะกัน (Converge) ทำให้เกิดการยกตัวของอากาศอย่างรุนแรง เมื่ออากาศที่มีความชื้นสูงถูกยกตัวขึ้น จะเกิดการควบแน่นกลายเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่และก่อให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยปกติแล้วในช่วงฤดูฝน ร่องมรสุมนี้จะพาดผ่านประเทศไทยเป็นระยะๆ ทำให้มีฝนตกชุกอยู่แล้ว แต่ความรุนแรงของฝนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเสริมอื่นๆ
เหตุใดพายุ “รากาซา” จึงส่งผลกระทบรุนแรงแม้ไม่ขึ้นฝั่ง
อิทธิพลของพายุโซนร้อนรากาซาทำหน้าที่เป็น “ตัวเร่ง” ที่สำคัญ การหมุนเวียนของลมรอบศูนย์กลางพายุในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา (ในซีกโลกเหนือ) จะช่วยเสริมกำลังให้กับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดเข้าหาประเทศไทยให้มีความเร็วสูงขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้น ลมที่แรงขึ้นนี้สามารถพัดพาเอาไอน้ำจากทะเลอันดามันและอ่าวไทยเข้ามาสู่แผ่นดินได้ในปริมาณมหาศาล ความชื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้จะถูกป้อนเข้าไปในแนวร่องมรสุมที่พาดผ่านอยู่เดิม ทำให้กระบวนการเกิดเมฆและฝนทวีความรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว ผลลัพธ์ที่ได้คือฝนที่ไม่เพียงแต่ตกหนัก แต่ยังตกครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างและยาวนานกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุทกภัยในหลายพื้นที่
พื้นที่เสี่ยง: 45 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด
ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา มีพื้นที่ 45 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งตามลักษณะความเสี่ยงในแต่ละภูมิภาคได้ดังนี้
ภาคเหนือ: เฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม
จังหวัดในภาคเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดที่ติดกับเทือกเขา เช่น เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม เนื่องจากภูมิประเทศเป็นที่สูงชัน เมื่อฝนตกหนักและสะสมเป็นเวลานาน ดินบนภูเขาจะอุ้มน้ำไว้จนอิ่มตัวและสูญเสียความสามารถในการยึดเกาะ ทำให้เกิดการถล่มลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ลาดเชิงเขาและใกล้ลำธารควรติดตามสถานการณ์ระดับน้ำและสีของน้ำในลำธารอย่างใกล้ชิด หากน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขุ่นหรือระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรเตรียมอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยทันที
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: รับมือมวลน้ำและภาวะน้ำท่วมขัง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่รับน้ำจากภาคเหนือและมีแม่น้ำสายหลักหลายสาย เช่น แม่น้ำชีและแม่น้ำมูล เมื่อมีฝนตกหนักในพื้นที่ ประกอบกับมวลน้ำที่ไหลมาจากตอนบน จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำ เช่น เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา และอุบลราชธานี มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นบริเวณกว้าง นอกจากนี้ ภาวะน้ำท่วมขังอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแอ่งกระทะ ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ช้า
ภาคกลางและภาคตะวันออก: พื้นที่ลุ่มต่ำและผลกระทบต่อเขตเมือง
สำหรับภาคกลาง ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงหลักมาจากน้ำท่วมขังในเขตเมืองและชุมชน โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งระบบระบายน้ำอาจไม่สามารถรองรับปริมาณฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องได้ทันท่วงที ขณะที่จังหวัดในภาคตะวันออก เช่น ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี และระยอง ซึ่งมีทั้งพื้นที่เกษตรกรรมและนิคมอุตสาหกรรม ก็มีความเสี่ยงจากน้ำท่วมขังและน้ำที่ไหลบ่าจากพื้นที่สูงลงมาเช่นกัน
ภูมิภาค | ลักษณะฝนที่คาดการณ์ | ความเสี่ยงหลัก | พื้นที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ |
---|---|---|---|
ภาคเหนือ | ฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่อง | น้ำป่าไหลหลาก, ดินโคลนถล่ม | พื้นที่ลาดเชิงเขา, หมู่บ้านใกล้ลำธาร, เส้นทางคมนาคมบนภูเขา |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | ฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง | น้ำล้นตลิ่ง, น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน | พื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำชี-มูล, พื้นที่เกษตรกรรม, เขตเทศบาล |
ภาคกลางและภาคตะวันออก | ฝนตกหนักกระจายตัว | น้ำท่วมขังในเขตเมือง, น้ำท่วมพื้นที่เกษตร | กรุงเทพฯ และปริมณฑล, ที่ราบลุ่มภาคกลาง, นิคมอุตสาหกรรม |
บทเรียนจากอดีต: ทบทวนสถานการณ์พายุในปี 2568
การทบทวนเหตุการณ์พายุที่เคยเกิดขึ้นในปีเดียวกัน ช่วยให้เห็นรูปแบบและแนวโน้มของภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นซ้ำรอยได้ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการเตรียมรับมือ
กรณีศึกษาพายุโซนร้อน “มิแทก”
ในช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเผชิญกับอิทธิพลของพายุโซนร้อน “มิแทก” (Mitag) ซึ่งแม้จะไม่ได้เคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางของประเทศโดยตรง แต่ได้ส่งผลให้ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างชัดเจน เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นวงกว้างในหลายจังหวัด นำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรและชุมชน บทเรียนจากพายุมิแทกชี้ให้เห็นว่า แม้พายุจะอยู่ห่างออกไป แต่การกระตุ้นร่องมรสุมก็สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรงได้ไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับพายุ “รากาซา” ที่กำลังจะเกิดขึ้น
การเตือนภัยฝนถล่มในเดือนกรกฎาคม 2568
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาเคยออกประกาศเตือนฝนถล่มใน 45 จังหวัดมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนอีกลูกที่เคลื่อนผ่านทะเลจีนใต้ การเตือนภัยในครั้งนั้นเป็นการเน้นย้ำถึงความเปราะบางของพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทยต่ออิทธิพลของพายุที่ไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าโดยตรง ประสบการณ์จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หน่วยงานภาครัฐและประชาชนมีความตื่นตัวและสามารถเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ดียิ่งขึ้น
ความถี่ของพายุในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปี เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนต้องเฝ้าระวังและไม่ประมาทต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ
แนวทางการเตรียมความพร้อมและรับมือสถานการณ์
การเตรียมความพร้อมที่ดีเป็นหัวใจสำคัญในการลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ
การเตรียมตัวของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวัง 45 จังหวัด ควรเริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมดังนี้:
- ตรวจสอบความแข็งแรงของที่อยู่อาศัย: ตรวจสอบหลังคา ผนัง และโครงสร้างบ้านให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง สามารถทนทานต่อลมและฝนได้
- ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง: ย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้า เอกสารสำคัญ และของมีค่าอื่นๆ ไปไว้ในที่สูงและปลอดภัยจากน้ำท่วม
- เตรียมชุดอุปกรณ์ยังชีพฉุกเฉิน: จัดเตรียมกระเป๋าที่บรรจุน้ำดื่ม อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง และของใช้ที่จำเป็นอื่นๆ ให้พร้อมสำหรับการอพยพได้ทันที
- สำรวจเส้นทางอพยพ: ศึกษาและทำความคุ้นเคยกับเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยและศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ใกล้ที่สุด
- ดูแลสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์: วางแผนเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังพื้นที่ปลอดภัยและสำรองอาหารสัตว์ให้เพียงพอ
ช่องทางการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ในช่วงเวลาที่อาจมีข่าวสารที่ไม่ถูกต้องเผยแพร่ออกไป การรับข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาโดยตรง ผ่านทางเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันอย่างเป็นทางการ รวมถึงรับฟังข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสื่อสารมวลชนกระแสหลัก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์
ข้อควรปฏิบัติและหลีกเลี่ยงในช่วงฝนตกหนัก
เมื่อสถานการณ์ฝนตกหนักเริ่มขึ้น มีข้อควรปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการสัญจรผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังหรือใกล้กับแม่น้ำลำคลอง
- งดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อร่างกายเปียกชื้นหรืออยู่ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง และควรสับคัตเอาต์เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่ว
- ระมัดระวังสัตว์มีพิษ เช่น งู หรือตะขาบ ที่อาจหนีน้ำท่วมเข้ามาในบ้าน
- ห้ามลงเล่นน้ำหรือหาปลาในบริเวณที่มีน้ำไหลเชี่ยวโดยเด็ดขาด
บทสรุป: เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือ
สถานการณ์พายุโซนร้อน “รากาซา” ที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในช่วงวันที่ 23-25 กันยายน 2568 เป็นสถานการณ์ที่ต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างสูงสุด แม้พายุจะไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศโดยตรง แต่การกระตุ้นร่องมรสุมให้มีกำลังแรงขึ้นจะนำมาซึ่งฝนตกหนักถึงหนักมากใน 45 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงโดยตรงต่อการเกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ประสบการณ์จากพายุลูกก่อนๆ ในปี 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงจากกลไกทางธรรมชาติในลักษณะนี้แล้ว
ดังนั้น การติดตามประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเตรียมความพร้อมของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ทั้งการป้องกันที่อยู่อาศัย การเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ และการวางแผนอพยพ จึงเป็นมาตรการที่จำเป็นและสำคัญที่สุดในการลดผลกระทบและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้ การปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และการไม่ประมาทจะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย