ยุบพรรคก้าวไกล! สรุปคำตัดสิน-อนาคต สส. การเมืองไทย
กรณีการยุบพรรคก้าวไกล! สรุปคำตัดสิน-อนาคต สส. การเมืองไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร คำตัดสินดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ต่ออนาคตของพรรคและบุคลากรทางการเมือง แต่ยังรวมถึงภูมิทัศน์การเมืองไทยโดยรวม
สรุปประเด็นสำคัญจากคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล
- มติเอกฉันท์: ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง สั่งยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567
- เหตุผลหลัก: พฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลในการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการรณรงค์หาเสียงในประเด็นดังกล่าว ถูกวินิจฉัยว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- เพิกถอนสิทธิทางการเมือง: คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จำนวน 11 คน ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี และห้ามจดทะเบียนจัดตั้งหรือมีส่วนร่วมในการบริหารพรรคการเมืองใหม่เป็นเวลา 10 ปี
- สถานะของ ส.ส.: สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคจำนวน 143 คน พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคและต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน เพื่อรักษาสถานภาพ ส.ส. ของตนเอง
- ผลกระทบทันที: พรรคก้าวไกลต้องยุติการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงการรับสมัครสมาชิกและรับเงินบริจาคทันทีหลังมีคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยประวัติศาสตร์: จุดสิ้นสุดของพรรคก้าวไกล
คำตัดสินยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สำคัญ และเป็นบทสรุปเส้นทางการเมืองของพรรคที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่ส่งผลให้พรรคสิ้นสภาพไป แต่ยังก่อให้เกิดคำถามและการวิเคราะห์ถึงผลกระทบในระยะยาวต่อระบบประชาธิปไตยของประเทศ
ลำดับเหตุการณ์และที่มาของคดียุบพรรค
จุดเริ่มต้นของคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ซึ่งระบุว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลในการเสนอนโยบายหาเสียงเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คำร้องของ กกต. ได้นำไปสู่กระบวนการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นคำให้การแก้ข้อกล่าวหาและแสดงพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม กระบวนการได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เมื่อองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคในที่สุด
เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญในการมีมติเอกฉันท์
ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลในคำวินิจฉัยโดยสรุปว่า การกระทำของผู้ถูกร้อง (พรรคก้าวไกล) มีพฤติการณ์ที่แสดงเจตนาอย่างชัดเจนในการบ่อนทำลายและทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติเสื่อมลง โดยอาศัยการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐและอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง
พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้
คำตัดสินนี้ได้ตอกย้ำบรรทัดฐานทางกฎหมายและการเมืองเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในประเทศไทย โดยพรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคการเมืองลำดับที่ 111 ในประวัติศาสตร์ที่ถูกยุบโดยคำสั่งศาล นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพรรคฝ่ายค้านและดุลอำนาจในสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบโดยตรง: อนาคตของกรรมการบริหารและ ส.ส.

ผลพวงจากคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสิ้นสภาพของพรรค แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะและอนาคตทางการเมืองของบุคลากรสำคัญ ทั้งคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการเดินทางบนเส้นทางการเมืองต่อไป
เพิกถอนสิทธิทางการเมือง 10 ปี สำหรับกรรมการบริหาร 11 คน
หนึ่งในบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดคือการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาที่เกิดการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค (ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม 2564 – 31 มกราคม 2567) รวมทั้งสิ้น 11 คน เป็นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค
บทลงโทษนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 94 วรรคสอง ซึ่งนอกจากจะห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ยังห้ามไม่ให้บุคคลเหล่านี้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหาร หรือมีส่วนร่วมในการบริหารพรรคการเมืองใดๆ ภายในกำหนดเวลา 10 ปีอีกด้วย
| ลำดับ | ชื่อ – สกุล | ตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร |
|---|---|---|
| 1 | นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค |
| 2 | นายชัยธวัช ตุลาธน | หัวหน้าพรรค |
| 3 | นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล | รองหัวหน้าพรรค |
| 4 | นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ | รองหัวหน้าพรรค |
| 5 | นายณัฐวุฒิ บัวประทุม | รองหัวหน้าพรรค |
| 6 | พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ | รองหัวหน้าพรรค |
| 7 | นายอภิชาติ ศิริสุนทร | กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
| 8 | นายสมชาย ฝั่งชลจิตร | กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคใต้ |
| 9 | นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ | กรรมการบริหาร สัดส่วนกรุงเทพมหานคร |
| 10 | นางสาวเบญจา แสงจันทร์ | กรรมการบริหาร |
| 11 | นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล | กรรมการบริหาร |
สถานะของ ส.ส. 143 คน: เส้นทางสู่การสังกัดพรรคใหม่
สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคก้าวไกลทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อที่เหลืออยู่จำนวน 143 คน จะไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. ลงทันที แต่จะมีสถานะเป็น ส.ส. ที่ไม่มีสังกัดพรรคเป็นการชั่วคราว ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 101 (10) กำหนดให้ ส.ส. เหล่านี้ต้องหาพรรคการเมืองใหม่เพื่อเข้าสังกัดภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค หากไม่สามารถหาพรรคใหม่สังกัดได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว จะส่งผลให้สมาชิกภาพ ส.ส. สิ้นสุดลง
สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายให้กับกลุ่ม ส.ส. ทั้ง 143 คน ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการหาบ้านหลังใหม่ เพื่อสานต่อการทำงานทางการเมืองในฐานะผู้แทนราษฎรต่อไป ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อรองรับ ส.ส. กลุ่มดังกล่าว
การเมืองไทยหลังยุบพรรคก้าวไกล: ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง
การยุบพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านและเป็นพรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดในสภาฯ ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อภูมิทัศน์การเมืองไทย ทั้งในด้านสมการอำนาจในสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของฝ่ายค้าน และทิศทางการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมและการเมืองในอนาคต
การเตรียมจัดตั้ง “พรรคประชาชน”: ก้าวย่างต่อไปของอดีต ส.ส. ก้าวไกล
เพื่อรักษาสถานภาพ ส.ส. และสานต่ออุดมการณ์ทางการเมือง กลุ่ม ส.ส. ที่เหลืออยู่ของพรรคก้าวไกลได้เตรียมการย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้ชื่อ “พรรคประชาชน” เป็นบ้านหลังใหม่ในการขับเคลื่อนงานทางการเมืองต่อไป การก่อตั้งพรรคใหม่นี้ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรวบรวม ส.ส. และฐานเสียงเดิมของพรรคก้าวไกลไว้ด้วยกัน เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในสภาฯ ได้อย่างต่อเนื่อง
พรรคประชาชนจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาฐานมวลชนเดิมไว้ ท่ามกลางบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป และการที่แกนนำคนสำคัญของพรรคเดิมถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปถึง 10 ปี อย่างไรก็ตาม การรวมตัวกันของ ส.ส. จำนวนมากภายใต้พรรคใหม่จะยังคงทำให้พวกเขามีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญในสภาฯ ต่อไป
มุมมองและปฏิกิริยาจากภาคส่วนต่างๆ
คำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาและมุมมองที่หลากหลาย ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ในแง่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีการแสดงความกังวลและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความชอบธรรมของคำสั่งยุบพรรค โดยมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่ในประเทศ ความคิดเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนคำตัดสินมองว่าเป็นการรักษาระเบียบการปกครองและปกป้องสถาบันหลักของชาติจากการกระทำที่อาจเป็นอันตราย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมองว่าการยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกว่า 14 ล้านเสียง อาจเป็นการบั่นทอนเจตจำนงของประชาชนและส่งผลเสียต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในระยะยาว
บทสรุป: ทิศทางการเมืองไทยในอนาคต
โดยสรุปแล้ว การยุบพรรคก้าวไกลถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองไทยสมัยใหม่ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่ยุติบทบาทของพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออนาคตของ ส.ส. กว่า 140 คน และตัดเส้นทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรค 11 คนไปเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมือง และทำให้ภูมิทัศน์ของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรต้องถูกจัดระเบียบใหม่ การก้าวต่อไปของอดีต ส.ส. พรรคก้าวไกลภายใต้ชื่อพรรคใหม่ที่คาดว่าจะเป็น “พรรคประชาชน” และทิศทางการเมืองไทยหลังจากนี้ จะเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมันจะบ่งชี้ถึงพัฒนาการและเส้นทางของระบอบประชาธิปไตยไทยในอีกหลายปีข้างหน้า

