Shopping cart

ยุบก้าวไกล! สรุปคำตัดสิน-อนาคตการเมืองไทย

สารบัญ

เหตุการณ์ ยุบก้าวไกล! สรุปคำตัดสิน-อนาคตการเมืองไทย ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด คำตัดสินดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะของพรรคและคณะกรรมการบริหาร แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพและทิศทางของระบอบประชาธิปไตยไทยในระยะยาวอีกด้วย

ประเด็นสำคัญจากคำตัดสินยุบพรรคก้าวไกล

  • มติเอกฉันท์ยุบพรรค: ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง สั่งยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561
  • เหตุผลในการยุบพรรค: คำวินิจฉัยระบุว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการเสนอนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
  • ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี: กรรมการบริหารพรรคจำนวน 11 คนที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี และห้ามจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่หรือมีส่วนร่วมในการบริหารพรรคการเมืองอื่น
  • สส. ยังคงสถานะ: สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของพรรคก้าวไกลที่เหลืออยู่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ และยังคงสถานะความเป็น สส. โดยมีเวลาในการย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่

บทสรุปคำวินิจฉัยประวัติศาสตร์

คำตัดสินยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการเมืองไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสถาบันพรรคการเมืองและความท้าทายในการผลักดันนโยบายที่มีความละเอียดอ่อน การยุบพรรคที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นได้ก่อให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตย การตีความกฎหมาย และบทบาทขององค์กรอิสระในการเมืองไทย

จุดเริ่มต้นของคดียุบพรรค

คดีนี้มีต้นเรื่องมาจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า การเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กกต. จึงอาศัยคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นคำร้องยุบพรรคตามมาตรา 92 ของกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งนำไปสู่การไต่สวนและมีคำตัดสินในที่สุด

ความสำคัญของคำตัดสินต่อภูมิทัศน์การเมือง

ผลกระทบจากคำตัดสินนี้ขยายวงกว้างเกินกว่าสถานะของพรรคการเมืองหนึ่งพรรค แต่ส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองโดยรวม พรรคก้าวไกลซึ่งมีฐานะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร การถูกยุบทำให้ดุลอำนาจในสภาเปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกัน การตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ย่อมส่งผลต่อการนำและการกำหนดทิศทางของกลุ่มการเมืองที่สืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคในอนาคต

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ: สาระสำคัญและเหตุผล

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ: สาระสำคัญและเหตุผล

การทำความเข้าใจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคก้าวไกลจำเป็นต้องพิจารณาถึงสาระสำคัญของคำตัดสินและเหตุผลทางกฎหมายที่ศาลยกขึ้นมาประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่กำหนดชะตากรรมของพรรค

มติเอกฉันท์ยุบพรรคก้าวไกล

ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องและมีมติเป็นเอกฉันท์จากตุลาการทั้ง 9 ท่าน ให้ยุบพรรคก้าวไกล การมีมติเป็นเอกฉันท์สะท้อนให้เห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง ซึ่งระบุถึงเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง

เหตุผลเบื้องหลังคำตัดสิน: การล้มล้างการปกครอง

เหตุผลหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยคือ พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ของกฎหมายพรรคการเมือง

ศาลฯ ชี้ว่าการเสนอนโยบายหาเสียงเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการเสนอความคิดเห็นโดยสุจริต แต่มีลักษณะเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในสถานะที่อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยง่าย และเป็นการลดทอนสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย การกระทำดังกล่าวจึงถูกตีความว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในที่สุด

คำวินิจฉัยระบุว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลมีลักษณะต่อเนื่องและเป็นขบวนการ ตั้งแต่การเสนอนโยบาย การรณรงค์หาเสียง ไปจนถึงการเคลื่อนไหวของ สส. ในสภา ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง

บทลงโทษและผลกระทบต่อกรรมการบริหารพรรค

นอกเหนือจากการสั่งยุบพรรคแล้ว คำวินิจฉัยยังกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเส้นทางทางการเมืองของบุคคลเหล่านี้ในระยะยาว

การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี

ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลจำนวน 11 คน เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค บทลงโทษนี้หมายความว่าบุคคลทั้ง 11 คน จะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น สส., สว., หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า

รายชื่อกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์

คณะกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงระหว่างวันที่ 25 มีนาคม 2564 ถึง 31 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศาลฯ เห็นว่ามีการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ประกอบด้วยบุคคลสำคัญหลายคน อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นายชัยธวัช ตุลาธน, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ เป็นต้น

ข้อจำกัดในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่

นอกจากการตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งแล้ว กฎหมายยังกำหนดห้ามมิให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหาร หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีก ภายในกำหนด 10 ปี ซึ่งเป็นการสกัดกั้นไม่ให้แกนนำกลุ่มเดิมกลับมามีบทบาทนำในพรรคการเมืองใหม่ได้ในทันที

อนาคตของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และการเมืองไทย

แม้พรรคก้าวไกลจะถูกยุบและกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ์ แต่ สส. ของพรรคยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและการเตรียมการเพื่อสืบสานอุดมการณ์ทางการเมืองต่อไป

สถานะของ สส. พรรคก้าวไกล

ตามรัฐธรรมนูญ สส. ของพรรคที่ถูกยุบจะไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพในทันที แต่จะต้องหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดภายใน 60 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค ซึ่งหมายความว่าเสียงของ สส. กลุ่มนี้ยังคงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร และยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติต่อไปได้

แนวโน้มการจัดตั้งพรรคใหม่: บทเรียนจากอนาคตใหม่

สถานการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ในอดีต ซึ่งเป็นพรรคต้นกำเนิดของพรรคก้าวไกล ในครั้งนั้น สส. ส่วนใหญ่ของพรรคอนาคตใหม่ได้ย้ายไปสังกัดพรรคก้าวไกลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จึงมีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า สส. ของพรรคก้าวไกลในปัจจุบันจะรวมตัวกันย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่เตรียมการไว้ เพื่อเป็นฐานที่มั่นในการทำงานการเมืองต่อไป การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการ “ย้ายบ้าน” เพื่อรักษาฐานเสียงและสานต่อนโยบายของพรรคเดิม แม้จะมีข้อจำกัดที่แกนนำชุดเก่าไม่สามารถเข้ามาบริหารได้โดยตรง

ปฏิกิริยาและมุมมองจากนานาชาติ

คำตัดสินยุบพรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่เป็นข่าวใหญ่ในประเทศไทย แต่ยังได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าเป็นสัญญาณที่น่ากังวลต่อพัฒนาการประชาธิปไตยของไทย

การรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศ

สำนักข่าวชั้นนำระดับโลก เช่น รอยเตอร์, เอพี, บีบีซี และอัลจาซีรา ต่างรายงานข่าวนี้อย่างละเอียด โดยส่วนใหญ่วิเคราะห์ว่าเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของขบวนการการเมืองฝ่ายก้าวหน้าที่ต้องการท้าทายอำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมและสถาบันดั้งเดิมในสังคมไทย รายงานข่าวหลายชิ้นชี้ว่าการยุบพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติในระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง และสะท้อนถึงการใช้องค์กรตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ข้อวิจารณ์ต่อกระบวนการยุติธรรม

ในแวดวงนักวิชาการและองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีการตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระและความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมทางการเมืองของไทย นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าคำตัดสินนี้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “นิติสงคราม” (Lawfare) หรือการใช้กฎหมายเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง การยุบพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนเจตจำนงของผู้ลงคะแนนเสียง และจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมตัวทางการเมือง

สรุปภาพรวมคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และผลกระทบที่ตามมา
ประเด็น รายละเอียด
คำตัดสิน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล
เหตุผลหลัก พฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บทลงโทษกรรมการบริหาร เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 11 คน เป็นเวลา 10 ปี ห้ามจัดตั้งหรือร่วมบริหารพรรคใหม่
ผลกระทบต่อ สส. สส. ยังคงสถานะ แต่ต้องย้ายสังกัดพรรคใหม่ภายใน 60 วัน
แนวโน้มในอนาคต คาดการณ์ว่าจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อรองรับ สส. และฐานเสียงเดิม
ปฏิกิริยานานาชาติ รายงานข่าวในวงกว้าง และมีเสียงวิจารณ์ถึงการจำกัดเสรีภาพทางการเมือง

บทวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การยุบพรรค

การยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกในการเมืองไทย นักวิชาการและผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่คำตัดสินครั้งนี้คือการที่พรรคก้าวไกลมีแนวนโยบายที่ท้าทายต่อสถาบันหลักของประเทศอย่างกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งและมีบทบาทสำคัญในการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน

นโยบายที่พรรคผลักดัน เช่น การปฏิรูปกองทัพ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขมาตรา 112 ถูกมองว่าเป็นการพุ่งชนกับกลุ่มอำนาจเก่าโดยตรง ทำให้พรรคกลายเป็นเป้าหมายทางการเมืองและต้องเผชิญกับแรงต้านทานที่รุนแรงผ่านกลไกทางกฎหมายและองค์กรอิสระ ซึ่งท้ายที่สุดได้นำไปสู่การยุบพรรคตามที่เป็นข่าว

บทสรุปและทิศทางการเมืองไทยในอนาคต

คำตัดสิน ยุบก้าวไกล! สรุปคำตัดสิน-อนาคตการเมืองไทย ได้ปิดฉากพรรคการเมืองที่สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดฉากใหม่ของความท้าทายทางการเมืองไทย อนาคตของกลุ่มการเมืองนี้จะขึ้นอยู่กับการรวมตัวของ สส. ที่เหลือในการจัดตั้งพรรคใหม่ และความสามารถในการรักษาฐานเสียงและความเชื่อมั่นจากประชาชนเอาไว้

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนของเส้นทางประชาธิปไตยในประเทศไทย และทำให้ภูมิทัศน์การเมืองต้องเข้าสู่ช่วงของการปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อประเมินทิศทางและพัฒนาการของระบอบการเมืองในระยะยาว

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930