Shopping cart

ปิดคดีผู้กำกับโจ้! ยืนโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ประหาร

สารบัญ

คดีประวัติศาสตร์ที่สังคมให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดได้เดินทางมาถึงบทสรุปสุดท้าย เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ในคดีของ พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้กำกับโจ้” อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ และพวกรวม 7 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ซึ่งเป็นการ ปิดคดีผู้กำกับโจ้! ยืนโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ประหาร สร้างบรรทัดฐานใหม่และจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขวาง

  • คำตัดสินสุดท้าย: ศาลฎีกาพิพากษายืนให้จำคุกตลอดชีวิต พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล และผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 5 นาย จากความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยการใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะ
  • เหตุผลการลดโทษ: โทษถูกลดหย่อนจากประหารชีวิตที่ศาลชั้นต้นตัดสินไว้ เนื่องจากจำเลยได้พยายามช่วยเหลือผู้เสียชีวิตหลังเกิดเหตุ และมีการชดใช้ค่าเสียหายเยียวยาแก่ครอบครัวของเหยื่อ ซึ่งศาลพิจารณาว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ
  • ผลกระทบทางกฎหมาย: คดีนี้เป็นหนึ่งในคดีตัวอย่างที่สร้างแรงผลักดันให้เกิดการตระหนักรู้และนำไปสู่การพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการซ้อมทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายในประเทศไทย
  • จุดจบของจำเลย: ภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล ได้เสียชีวิตระหว่างรับโทษในเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 เป็นการปิดฉากชีวิตอดีตนายตำรวจที่เคยโด่งดังอย่างถาวร

บทสรุปคำพิพากษาคดีสะเทือนขวัญ

คดีของ พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “ผู้กำกับโจ้” กลายเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนนับตั้งแต่วินาทีแรกที่คลิปวิดีโอการกระทำอันโหดร้ายถูกเผยแพร่ออกมา เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาที่ร้ายแรง แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างรุนแรง การดำเนินคดีตั้งแต่ชั้นสืบสวนสอบสวนจนถึงการพิจารณาของศาลสามระดับได้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามว่ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัวได้หรือไม่ การเดินทางของคดีนี้จึงเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างในวงการตำรวจ และเป็นบททดสอบสำคัญของระบบยุติธรรมไทย

คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ถือเป็นบทสรุปที่สิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประเด็นให้สังคมได้ถกเถียงถึงความเหมาะสมของบทลงโทษ และความสำคัญของเหตุบรรเทาโทษตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้กระทำผิดรอดพ้นจากโทษประหารชีวิต คดีนี้จึงทิ้งไว้ซึ่งคำถามและบทเรียนมากมายสำหรับสังคมไทยในการปฏิรูปองค์กรตำรวจและพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้โปร่งใสและตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต

ย้อนรอยเหตุการณ์: จุดเริ่มต้นของคดีถุงคลุมหัว

ย้อนรอยเหตุการณ์: จุดเริ่มต้นของคดีถุงคลุมหัว

จุดเริ่มต้นของมหากาพย์คดีนี้เกิดขึ้นภายในสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานของ พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล ในขณะนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนจากห้องทำงานธรรมดาให้กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ และนำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรมที่อยู่เหนือกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ

เหตุการณ์ในห้องทำงาน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการสอบสวนผู้ต้องหาในคดียาเสพติด พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ พร้อมด้วยทีมงานตำรวจใต้บังคับบัญชา ได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาชายรายหนึ่งเพื่อเค้นข้อมูลเกี่ยวกับการขยายผลเครือข่ายยาเสพติด แต่วิธีการที่ใช้กลับเป็นการกระทำที่เกินกว่าขอบเขตของกฎหมายอย่างสิ้นเชิง โดยมีการใช้กำลังบังคับและวิธีการที่โหดร้ายทารุณ

จากการสืบสวนและพยานหลักฐานในชั้นศาล พบว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ถุงพลาสติกหลายชั้นคลุมศีรษะของผู้ต้องหาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผู้ต้องหาขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด การกระทำดังกล่าวถูกบันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิดภายในห้องทำงาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่มัดตัวผู้กระทำผิดอย่างแน่นหนา

คลิปวิดีโอฉนวนเหตุ: สู่การเปิดโปงความจริง

หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ได้มีความพยายามปกปิดข้อเท็จจริง โดยมีการรายงานสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ต้องหาว่าเป็นผลมาจากยาเสพติดเกินขนาด อย่างไรก็ตาม ความจริงได้ถูกเปิดโปงเมื่อคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดได้รั่วไหลและถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

คลิปวิดีโอดังกล่าวได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วสังคมไทย ภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำโดย “ผู้กำกับโจ้” อย่างชัดเจน ทำให้เกิดกระแสความโกรธแค้นและเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

แรงกดดันจากสังคมทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องลงมาสั่งการด้วยตนเอง มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงและดำเนินคดีอาญาอย่างเร่งด่วน พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ และพวกรวม 7 คน ถูกออกหมายจับและหลบหนีไป ก่อนจะเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา คดีนี้จึงเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการจับตามองของคนทั้งประเทศ

เส้นทางคดีสู่ศาล: การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม

หลังจากการจับกุมและการรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้น อัยการได้ยื่นฟ้อง พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล และพวกเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการพิจารณาคดีได้ดำเนินไปตามลำดับชั้นของศาล

คำพิพากษาศาลชั้นต้น: โทษประหารชีวิต

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลชั้นต้น) ได้มีคำพิพากษาในคดีนี้ ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหมด รวมถึงคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างชัดเจน แล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ขัดต่อหลักการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และเป็นการกระทำความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน

ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้ลงโทษ ประหารชีวิต พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ และจำเลยร่วมอีก 5 นาย ส่วนจำเลยอีก 1 นาย พิพากษาจำคุก 5 ปี 4 เดือน คำตัดสินดังกล่าวได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากสังคมส่วนใหญ่ที่มองว่าเป็นการลงโทษที่สาสมกับการกระทำที่รุนแรง

ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน: ลดโทษสู่จำคุกตลอดชีวิต

ต่อมา ฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาสำนวนคดีและข้อต่อสู้ของจำเลยอีกครั้ง โดยประเด็นสำคัญที่ศาลอุทธรณ์นำมาพิจารณาเพิ่มเติมคือ “เหตุบรรเทาโทษ” ตามประมวลกฎหมายอาญา

ศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่า ภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้พยายามปฐมพยาบาลผู้เสียชีวิต (แม้จะไม่สำเร็จ) และที่สำคัญที่สุดคือจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายและค่าปลงศพให้กับบิดามารดาของผู้เสียชีวิตจนเป็นที่พอใจ และบิดามารดาของผู้เสียชีวิตได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลลดโทษแก่จำเลยด้วย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการสำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงอาศัยเหตุบรรเทาโทษนี้ ลดโทษจากประหารชีวิตลงหนึ่งในสาม คงเหลือโทษ จำคุกตลอดชีวิต สำหรับ พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ และพวกอีก 5 นาย

คำพิพากษาศาลฎีกา: บทสรุปสุดท้ายของคดี

คดีได้ดำเนินมาถึงชั้นศาลสูงสุดคือศาลฎีกา ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายและตรวจสอบความถูกต้องของคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง หลังจากใช้เวลาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับเหตุผลของศาลอุทธรณ์ในเรื่องการมีเหตุบรรเทาโทษ โดยเฉพาะการจ่ายเงินเยียวยาแก่ครอบครัวผู้เสียหาย ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้จำเลยได้รับการลดหย่อนโทษได้หากมีการบรรเทาผลร้าย ดังนั้น คำพิพากษาที่ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจึงถือเป็นที่สิ้นสุด ทำให้การเดินทางของคดีประวัติศาสตร์นี้จบลงอย่างเป็นทางการ

วิเคราะห์คำพิพากษา: เหตุผลเบื้องหลังการลดหย่อนโทษ

คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยืนโทษจำคุกตลอดชีวิตแทนที่จะเป็นโทษประหารชีวิตนั้น มีพื้นฐานอยู่บนหลักการทางกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ “เหตุบรรเทาโทษ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลนำมาพิจารณาเพื่อกำหนดบทลงโทษที่เหมาะสม การทำความเข้าใจเหตุผลเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของกระบวนการยุติธรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เหตุบรรเทาโทษ: ปัจจัยสำคัญในการพิจารณา

ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย ศาลมีดุลยพินิจในการลดโทษให้แก่จำเลยได้หากมีเหตุอันควรปรานี ซึ่งเหตุบรรเทาโทษที่สำคัญในคดีนี้คือ:

  1. การบรรเทาผลร้าย: การที่ พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ และพวกได้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าปลงศพให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต เป็นการกระทำที่แสดงถึงความพยายามรับผิดชอบและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อผู้เสียหาย การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิด
  2. การสำนึกผิด: แม้การกระทำจะรุนแรง แต่การจ่ายค่าชดเชยก็ถูกตีความว่าเป็นการแสดงความสำนึกผิดอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ การที่บิดามารดาของผู้ตายไม่ติดใจเอาความและยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ลดโทษ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ศาลนำมาพิจารณาประกอบ
  3. ความพยายามช่วยเหลือ: พยานหลักฐานบางส่วนชี้ให้เห็นว่าหลังจากผู้ต้องหาสิ้นสติไปแล้ว จำเลยได้มีความพยายามในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แม้จะไม่เป็นผลสำเร็จ แต่ศาลก็มองว่าเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาแน่วแน่ที่จะให้ผู้ต้องหาถึงแก่ความตายตั้งแต่แรก

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ศาลสูงทั้งสองจึงใช้ดุลยพินิจลดโทษจากสถานหนักที่สุดคือประหารชีวิต มาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้

บทลงโทษของผู้ร่วมกระทำผิด

สำหรับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ในคดีนี้ซึ่งเป็นตำรวจใต้บังคับบัญชา ศาลได้พิจารณาบทบาทและการมีส่วนร่วมของแต่ละคนในการกระทำความผิด โดยสรุปบทลงโทษสุดท้ายได้ดังนี้

สรุปคำพิพากษาถึงที่สุดสำหรับจำเลยในคดีผู้กำกับโจ้
จำเลย ตำแหน่ง (ในขณะเกิดเหตุ) คำพิพากษาสุดท้าย
พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล (ผู้กำกับโจ้) ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยที่ 2-6 (นายตำรวจ 5 นาย) ผู้ใต้บังคับบัญชา จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยที่ 7 ผู้ใต้บังคับบัญชา จำคุก 5 ปี 4 เดือน

ผลกระทบหลังสิ้นสุดคดีและจุดจบของอดีตผู้กำกับ

แม้กระบวนการทางกฎหมายจะสิ้นสุดลง แต่ผลกระทบจากคดีผู้กำกับโจ้ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในสังคมไทย ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นต่อองค์กรตำรวจ การปฏิรูปกฎหมาย และชะตากรรมสุดท้ายของผู้ก่อเหตุเอง

แรงกระเพื่อมในสังคมและวงการตำรวจ

คดีนี้ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงเรื่องการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนได้เห็นถึงปัญหาการใช้อำนาจในทางที่ผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกระดับชั้นขององค์กรตำรวจ ความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่กลายเป็นประเด็นที่สังคมเรียกร้องอย่างหนัก

นอกจากนี้ คดีดังกล่าวยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งผลักดันให้เกิด พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดนิยามและบทลงโทษสำหรับการซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างชัดเจน ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญของกฎหมายสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

จุดจบของ ฐิติสรรค์ อุทธนผล

หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ต.อ. ฐิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ ถูกควบคุมตัวเพื่อรับโทษจำคุกตลอดชีวิตที่เรือนจำกลางคลองเปรม อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 มีรายงานข่าวว่าเขาได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงภายในเรือนจำ เป็นการปิดฉากชีวิตของอดีตนายตำรวจที่เคยมีอนาคตไกล แต่กลับต้องมาพบจุดจบอย่างน่าสลดจากผลของการกระทำของตนเอง

บทสรุปและอนาคตของกระบวนการยุติธรรมไทย

การปิดคดีผู้กำกับโจ้! ยืนโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ประหาร ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์อาชญากรรมของไทย คดีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของหลักฐานทางดิจิทัลและกระแสสังคมในการเปิดโปงความจริงและนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้คำตัดสินสุดท้ายอาจไม่เป็นที่พอใจของทุกคน แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมที่พิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด

บทเรียนจากคดีนี้ยังคงเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ถือกฎหมายทุกคนให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเคารพในสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันก็เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับสังคมไทยในการร่วมกันผลักดันการปฏิรูปองค์กรตำรวจและพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และสามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริงต่อไปในอนาคต

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930