เปิดตัว ‘ทางรัฐ’ Super App รัฐบาล รับเงินดิจิทัล 10,000
รัฐบาลได้ประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยเตรียมเปิดตัว ‘ทางรัฐ’ Super App รัฐบาล รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งจะเป็นช่องทางหลักสำหรับประชาชนในการลงทะเบียนและรับสิทธิ์ตามนโยบาย Digital Wallet การยกระดับแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมศูนย์บริการภาครัฐและมาตรการเศรษฐกิจให้เป็นหนึ่งเดียว สร้างความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบสวัสดิการสู่ประชาชน
สรุปประเด็นสำคัญของโครงการ
- ช่องทางหลัก: แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ถูกกำหนดให้เป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการลงทะเบียน ยืนยันตัวตน และรับ-ใช้จ่ายเงินในโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- เงื่อนไขผู้รับสิทธิ์: ผู้มีสิทธิ์ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และมีเงินฝากรวมทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท ณ วันที่กำหนด
- กำหนดการลงทะเบียน: ประชาชนที่เข้าเกณฑ์จะต้องดำเนินการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายน 2567
- ช่วงเวลาใช้จ่าย: คาดการณ์ว่าประชาชนจะสามารถเริ่มใช้จ่ายเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ตามแผนการดำเนินงานของรัฐบาล
- วัตถุประสงค์โครงการ: มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของประชาชน
ทำความรู้จักแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ Super App

ก่อนที่จะก้าวสู่การเป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่กว้างกว่านั้น การทำความเข้าใจที่มาและเป้าหมายดั้งเดิมจะช่วยให้เห็นภาพรวมของการยกระดับสู่การเป็น Super App ของภาครัฐได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
จุดกำเนิดและเป้าหมายหลัก
แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เป็นผลงานการพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. (DGA) ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 แนวคิดหลักในการสร้างแอปพลิเคชันนี้คือการเป็น “ศูนย์กลางบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ” (One Stop Service) บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป้าหมายคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของหน่วยงานรัฐได้จากช่องทางเดียว โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสำนักงานหรือเข้าใช้งานเว็บไซต์ของแต่ละหน่วยงานแยกกัน
ประโยชน์หลักที่ ‘ทางรัฐ’ มอบให้แก่ประชาชนนับตั้งแต่เปิดตัว ได้แก่:
- การรวมศูนย์บริการ: รวบรวมบริการจากหลายหน่วยงานไว้ในที่เดียว เช่น การตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร, การตรวจสอบสิทธิประกันสังคม, การเช็กสิทธิหลักประกันสุขภาพ (สิทธิบัตรทอง), และการตรวจสอบใบสั่งจราจร
- การตรวจสอบสิทธิและสวัสดิการ: ประชาชนสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ ที่ตนพึงได้รับจากภาครัฐได้อย่างสะดวก เช่น เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, และสถานะผู้ประกันตน
- ความสะดวกและประหยัด: ลดขั้นตอน ลดระยะเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อติดต่อราชการ ทำให้การเข้าถึงบริการภาครัฐเป็นเรื่องง่าย ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ตโฟน
บทบาทใหม่สู่การเป็นช่องทางหลักของเงินดิจิทัล
ภายใต้นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมประชาชนกลุ่มเป้าหมาย รัฐบาลจึงได้เลือกแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับ ให้ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มหลักของโครงการนี้
การทำงานของ ‘ทางรัฐ’ ในโครงการนี้ จะเป็นการเชื่อมต่อระบบหลังบ้านของภาครัฐเข้ากับระบบโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่างๆ ซึ่งหมายความว่าแม้ประชาชนจะมีแอปพลิเคชันของธนาคารใดอยู่แล้ว ก็ยังสามารถใช้จ่ายเงินจากโครงการนี้ผ่านการสแกน QR Code ตามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้นของโครงการมีเงื่อนไขสำคัญคือเงินดิจิทัลที่ได้รับจะไม่สามารถเบิกถอนเป็นเงินสดได้ในทันที เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การรับสิทธิ์เงินดิจิทัล 10,000 บาท
เพื่อให้การกระจายเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและตรงตามกลุ่มเป้าหมาย รัฐบาลได้กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขสำหรับผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในโครงการไว้อย่างชัดเจน ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำเป็นต้องตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองให้ถี่ถ้วนก่อนดำเนินการลงทะเบียน
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ
เกณฑ์การพิจารณาผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ประกอบด้วยปัจจัยด้านสัญชาติ อายุ รายได้ และเงินออม เพื่อให้แน่ใจว่าความช่วยเหลือมุ่งไปสู่กลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยมีรายละเอียดดังนี้
| หลักเกณฑ์ | รายละเอียดเงื่อนไข |
|---|---|
| สัญชาติและทะเบียนบ้าน | ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ลงทะเบียน |
| เกณฑ์อายุ | มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับการลงทะเบียน (15 กันยายน 2567) |
| เกณฑ์รายได้ | มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท |
| เกณฑ์เงินฝาก | มีเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทุกบัญชี ไม่เกิน 500,000 บาท |
| การลงทะเบียน | ต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตน (KYC) ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด |
| อุปกรณ์ที่จำเป็น | จำเป็นต้องมีสมาร์ตโฟนที่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ |
ข้อจำกัดและข้อกำหนดในการใช้จ่าย
นอกเหนือจากคุณสมบัติผู้รับสิทธิ์แล้ว โครงการยังได้กำหนดขอบเขตของสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจและไม่สนับสนุนอบายมุข โดยมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ ไม่สามารถนำเงินดิจิทัลไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการบางประเภทได้ อาทิ:
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผลิตภัณฑ์ยาสูบและบุหรี่
- สลากกินแบ่งรัฐบาล สลากออนไลน์ หรือการพนันทุกรูปแบบ
- ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับเกม
- การชำระหนี้สินหรือค่าสาธารณูปโภคบางประเภท
กรอบเวลาและแผนการดำเนินงานโครงการ
การดำเนินโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปิดให้บริการแก่ประชาชน รัฐบาลได้เปิดเผยแผนแม่บทและกรอบเวลางบประมาณเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบถึงความคืบหน้าของโครงการ
ไทม์ไลน์การพัฒนาและเปิดให้บริการระบบ
แผนการดำเนินงานของโครงการถูกแบ่งออกเป็นหลายระยะเพื่อให้การพัฒนาและทดสอบระบบเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยมีกรอบเวลาที่สำคัญดังนี้:
- ระยะที่ 1: การจัดเตรียมและจัดซื้อจัดจ้าง (กรกฎาคม – กันยายน 2567): เป็นช่วงของการดำเนินการด้านเอกสาร การจัดซื้อจัดจ้าง และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางรากฐานของโครงการ
- ระยะที่ 2: การพัฒนาและทดสอบระบบ (กรกฎาคม – ธันวาคม 2567): ช่วงเวลาสำคัญที่ทีมพัฒนาจะดำเนินการสร้างและทดสอบระบบหลังบ้านของแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบของสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบมีความเสถียรและปลอดภัย
- ระยะที่ 3: การเปิดให้บริการและสนับสนุนการใช้งาน (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568): เป็นช่วงที่คาดว่าจะเริ่มเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนและใช้งานระบบอย่างเป็นทางการ โดยจะมีการจัดตั้งทีมงานเพื่อสนับสนุนและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน
งบประมาณที่คาดการณ์ไว้สำหรับโครงการนี้อยู่ที่ประมาณ 95 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้น 160 วัน (ไม่นับรวมกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง) ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ว่าประชาชนจะได้เริ่มใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
สถานะปัจจุบันและการเตรียมความพร้อม
ณ เดือนกันยายน 2567 โครงการยังคงอยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมและพัฒนาระบบตามแผนที่วางไว้ การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคการเงินกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน
สำหรับประชาชนที่เข้าเกณฑ์และต้องการรับสิทธิ์ สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้คือการติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมโดยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ มาติดตั้งบนสมาร์ตโฟน เพื่อให้พร้อมสำหรับการลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิ์ทันทีที่ระบบเปิดให้บริการ
ผลกระทบที่คาดหวังต่อเศรษฐกิจและสังคม
โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ไม่เพียงแต่เป็นมาตรการทางการคลังเท่านั้น แต่ยังถูกคาดหวังให้สร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติทางสังคม
การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก
เป้าหมายหลักทางเศรษฐกิจของโครงการคือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รัฐบาลและนักวิเคราะห์คาดหวังว่าการใช้จ่ายของประชาชนกว่า 50 ล้านคนจะสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจในหลายระดับ:
- ร้านค้าขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย: จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของประชาชนในพื้นที่ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและรายได้ให้กับธุรกิจฐานราก เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และตลาดสด
- ภาคการผลิตและบริการ: เมื่อความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตที่ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และภาคบริการที่ต้องรองรับลูกค้าจำนวนมากขึ้น
- การสร้างการจ้างงาน: การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่าย
แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ก็ยังคงมีข้อถกเถียงในแวดวงวิชาการเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณที่ใช้ไป ตลอดจนความพร้อมของระบบในการรองรับการใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก
มิติทางสังคมและการเข้าถึงบริการดิจิทัลภาครัฐ
นอกเหนือจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว การผลักดันให้ประชาชนจำนวนมากหันมาใช้งานแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ยังส่งผลดีในมิติทางสังคมและการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล การที่ประชาชนคุ้นเคยกับการใช้ Super App ของภาครัฐ จะช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการอื่นๆ ในระยะยาว ประชาชนสามารถเรียนรู้ที่จะตรวจสอบสิทธิ์ของตนเอง ติดต่อหน่วยงานรัฐ และทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
สรุปภาพรวมและขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับประชาชน
การเปิดตัว ‘ทางรัฐ’ Super App รัฐบาล รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง โดยมีแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงในช่วงปลายปี 2567
สำหรับประชาชนผู้ที่ตรวจสอบแล้วว่าตนเองมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ควรเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการรับสิทธิ์ โดยมีขั้นตอนที่ควรดำเนินการดังนี้:
- ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน: ค้นหาและดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ จาก App Store (สำหรับ iOS) หรือ Google Play Store (สำหรับ Android) มาติดตั้งบนสมาร์ตโฟน
- เตรียมข้อมูลสำหรับการยืนยันตัวตน: เตรียมบัตรประจำตัวประชาชนและข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นให้พร้อมสำหรับกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) ผ่านแอปพลิเคชัน
- ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: รอประกาศวันเปิดลงทะเบียนอย่างเป็นทางการจากช่องทางของรัฐบาล และดำเนินการลงทะเบียนตามขั้นตอนภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเองในโครงการนี้

