เก็บเงิน ‘ไรเดอร์-ฟรีแลนซ์’ เข้ากองทุนใหม่! รัฐสั่งแอปจ่าย
มาตรการล่าสุดจากภาครัฐได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เมื่อมีคำสั่งให้แพลตฟอร์มดิจิทัลดำเนินการ เก็บเงิน ‘ไรเดอร์-ฟรีแลนซ์’ เข้ากองทุนใหม่! รัฐสั่งแอปจ่าย เพื่อจัดตั้ง “กองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระ” ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนในการสร้างหลักประกันทางสังคมให้กับกลุ่มแรงงาน Gig Worker ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ประเด็นสำคัญที่ต้องทราบ
- การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระ: รัฐบาลได้ออกมาตรการใหม่เพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับกลุ่มไรเดอร์และฟรีแลนซ์โดยเฉพาะ
- บทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัล: แอปพลิเคชันผู้ให้บริการถูกกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่หักเงินรายได้ส่วนหนึ่งของแรงงานอิสระเพื่อนำส่งเข้ากองทุน
- วัตถุประสงค์หลัก: เพื่อสร้างหลักประกันด้านการออม, สวัสดิการพื้นฐานเช่น ค่ารักษาพยาบาล, และเงินบำนาญสำหรับแรงงานอิสระในระยะยาว
- ผลกระทบในวงกว้าง: มาตรการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ปัจจุบันของไรเดอร์, ต้นทุนการดำเนินงานของแพลตฟอร์ม, และโครงสร้างของเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม
- ความจำเป็นในการวางแผนการเงินเพิ่มเติม: แม้จะมีกองทุนใหม่ แต่แรงงานอิสระยังคงต้องพิจารณาเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นคงที่ครอบคลุม
นโยบาย เก็บเงิน ‘ไรเดอร์-ฟรีแลนซ์’ เข้ากองทุนใหม่! รัฐสั่งแอปจ่าย นับเป็นความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขช่องว่างทางสวัสดิการที่แรงงานอิสระ หรือ Gig Worker กำลังเผชิญ กลุ่มแรงงานเหล่านี้ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล มักไม่ถูกจัดอยู่ในสถานะ “ลูกจ้าง” ตามกฎหมายแรงงานแบบดั้งเดิม ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 ที่มีนายจ้างร่วมจ่ายเงินสมทบได้ มาตรการนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ให้กับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ โดยอาศัยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการ
ความสำคัญของนโยบายนี้เกิดขึ้นจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้จำนวนผู้ประกอบอาชีพอิสระผ่านแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แรงงานกลุ่มนี้มีความยืดหยุ่นด้านเวลาและรูปแบบการทำงานสูง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนของรายได้และการขาดสวัสดิการที่จำเป็น การจัดตั้งกองทุนใหม่นี้จึงเป็นมาตรการเชิงรุกที่มุ่งหวังจะยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับแรงงานกลุ่มนี้ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ภาพรวมของกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระ
กองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระเป็นเครื่องมือทางการเงินและสังคมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกกลางในการสร้างหลักประกันให้กับกลุ่มอาชีพไรเดอร์และฟรีแลนซ์ที่ทำงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แนวคิดหลักคือการเปลี่ยนรูปแบบการออมจากภาคสมัครใจที่หลายคนอาจละเลย มาสู่ระบบกึ่งบังคับที่ดำเนินการผ่านตัวกลางคือแอปพลิเคชันผู้ให้บริการ
ที่มาและความสำคัญของการจัดตั้งกองทุน
ปัญหาหลักที่นำไปสู่การก่อตั้งกองทุนนี้คือ “ช่องว่างทางสวัสดิการ” ของแรงงานในระบบเศรษฐกิจ Gig Economy แรงงานอิสระส่วนใหญ่ไม่เข้าข่ายการเป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกันสังคมภาคบังคับ (มาตรา 33) ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินสมทบให้ครึ่งหนึ่ง
แม้จะมีทางเลือกในการสมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 40 แต่ภาระการจ่ายเบี้ยประกันทั้งหมดจะตกอยู่กับตัวแรงงานเอง ประกอบกับรายได้ที่ไม่แน่นอนในแต่ละเดือน ทำให้แรงงานจำนวนมากเลือกที่จะไม่เข้าสู่ระบบประกันสังคม ส่งผลให้พวกเขาขาดหลักประกันที่สำคัญเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วย, อุบัติเหตุ, หรือเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ รัฐบาลจึงเข้ามามีบทบาทในการออกมาตรการนี้เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าว
การจัดตั้งกองทุนนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายแรงงานและระบบสวัสดิการสังคมให้เท่าทันต่อรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
วัตถุประสงค์หลักและกลุ่มเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระสามารถสรุปได้ดังนี้:
- เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว: สร้างวินัยทางการเงินโดยหักเงินจากรายได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แรงงานมีเงินเก็บสะสมไว้ใช้ในยามจำเป็นและหลังเกษียณ
- เพื่อจัดหาสวัสดิการขั้นพื้นฐาน: จัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ที่จำเป็น เช่น ค่ารักษาพยาบาล, เงินชดเชยกรณีทุพพลภาพ หรือเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต
- เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม: สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมระหว่างแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ
- เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: เมื่อแรงงานมีความมั่นคงทางการเงิน ย่อมส่งผลดีต่อกำลังซื้อและเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค
กลุ่มเป้าหมายหลัก ของกองทุนนี้คือ บุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระโดยมีแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวกลางในการรับงานและสร้างรายได้ ซึ่งครอบคลุมถึง:
- ไรเดอร์ (Riders): ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หรือยานพาหนะอื่น ๆ เพื่อให้บริการส่งอาหาร (Food Delivery), ส่งพัสดุ (Parcel Delivery) หรือรับส่งผู้โดยสาร (Ride-Hailing)
- ฟรีแลนซ์ (Freelancers): ผู้ทำงานอิสระในสาขาต่างๆ ที่รับงานผ่านแพลตฟอร์ม เช่น นักเขียน, นักแปล, กราฟิกดีไซเนอร์, นักการตลาดดิจิทัล, และผู้เชี่ยวชาญด้านไอที
โดยกฎหมายจะกำหนดนิยามและขอบเขตของ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” ที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้อย่างชัดเจน
กลไกการทำงาน: รัฐสั่งแอปจ่ายเงินสมทบอย่างไร?
หัวใจสำคัญของนโยบายนี้อยู่ที่การกำหนดให้ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” หรือแอปพลิเคชันผู้ให้บริการ เป็นผู้มีบทบาทหลักในการดำเนินการเก็บและนำส่งเงินสมทบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างจากเดิมที่แรงงานต้องรับผิดชอบด้วยตนเองทั้งหมด มาเป็นการใช้เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของแพลตฟอร์มให้เป็นประโยชน์
บทบาทและหน้าที่ของแพลตฟอร์มดิจิทัล
ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มจะมีหน้าที่ตามกฎหมายดังต่อไปนี้:
- หน้าที่ในการหักเงินสมทบ: แพลตฟอร์มจะต้องพัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อคำนวณและหักเงินรายได้ส่วนหนึ่งของไรเดอร์และฟรีแลนซ์ในทุกรอบการจ่ายเงิน อัตราการหักอาจถูกกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้หรือเป็นจำนวนเงินคงที่ตามที่กฎหมายระบุ
- หน้าที่ในการนำส่งเงิน: หลังจากหักเงินสมทบแล้ว แพลตฟอร์มมีหน้าที่รวบรวมและนำส่งเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น รายเดือน หรือรายไตรมาส
- หน้าที่ในการรายงานข้อมูล: แพลตฟอร์มต้องจัดทำและส่งรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น รายชื่อผู้ทำงาน, จำนวนรายได้, และยอดเงินสมทบที่นำส่ง ให้แก่หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลกองทุน เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้
บทบาทนี้ทำให้แพลตฟอร์มกลายเป็นเสมือน “นายจ้าง” ในมิติของการจัดการสวัสดิการ แม้ว่าในทางกฎหมายความสัมพันธ์อาจจะยังคงเป็นแบบ “คู่สัญญา” ก็ตาม
ขั้นตอนการนำส่งเงินเข้ากองทุน
กระบวนการทำงานของกลไกนี้สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้:
- การรับงานและสร้างรายได้: ไรเดอร์หรือฟรีแลนซ์รับงานผ่านแอปพลิเคชันและได้รับค่าตอบแทน
- การคำนวณรายได้สุทธิ: แพลตฟอร์มคำนวณรายได้รวมของแรงงานในรอบการจ่ายเงินนั้นๆ
- การหักเงินสมทบ: ระบบของแพลตฟอร์มจะหักเงินจากรายได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ก่อนที่จะโอนเงินส่วนที่เหลือให้แก่แรงงาน
- การรวบรวมและนำส่ง: แพลตฟอร์มรวบรวมเงินสมทบจากแรงงานทุกคนบนแพลตฟอร์ม และนำส่งไปยังบัญชีของกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระ
- การบันทึกข้อมูล: กองทุนฯ จะบันทึกยอดเงินสะสมของแรงงานแต่ละคน เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ในอนาคต
กระบวนการอัตโนมัตินี้ช่วยลดปัญหาการขาดส่งเงินสมทบและสร้างความสม่ำเสมอในการออม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากปล่อยให้เป็นความสมัครใจของแต่ละบุคคล
เปรียบเทียบความคุ้มครอง: กองทุนใหม่ vs. ประกันสังคมเดิม
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบกองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระที่จัดตั้งขึ้นใหม่กับระบบประกันสังคมที่มีอยู่เดิม (มาตรา 33 สำหรับลูกจ้าง และ มาตรา 40 สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ) จะช่วยให้เข้าใจถึงความแตกต่างและจุดเด่นของแต่ละรูปแบบ
คุณสมบัติ | กองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระ (ใหม่) | ประกันสังคม มาตรา 33 (ลูกจ้าง) | ประกันสังคม มาตรา 40 (อาชีพอิสระ) |
---|---|---|---|
ผู้จ่ายเงินสมทบ | แรงงานอิสระ (หักจากรายได้ผ่านแอปฯ) | ลูกจ้าง, นายจ้าง, และรัฐบาล | ผู้ประกันตน (แรงงานอิสระ) และรัฐบาล |
กลไกการนำส่ง | แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นผู้นำส่ง (กึ่งบังคับ) | นายจ้างเป็นผู้นำส่ง (ภาคบังคับ) | ผู้ประกันตนนำส่งเอง (ภาคสมัครใจ) |
ความคุ้มครองหลัก | เน้นการออมเพื่อการเกษียณและสวัสดิการพื้นฐาน (เช่น ค่ารักษาพยาบาล) | ครอบคลุม 7 กรณี: เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, สงเคราะห์บุตร, ชราภาพ, ว่างงาน | มี 3 ทางเลือก ความคุ้มครองแตกต่างกันไป (เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, ชราภาพ) |
ความเสี่ยง | สิทธิประโยชน์อาจไม่ครอบคลุมเท่า ม.33, ขึ้นอยู่กับการออกแบบกองทุน | ไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับแรงงานที่ไม่มีนายจ้าง | ความไม่สม่ำเสมอในการส่งเงินสมทบ, ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ผู้ประกันตน |
จากตารางจะเห็นได้ว่ากองทุนใหม่นี้มีจุดเด่นที่กลไกการนำส่งเงินซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องวินัยการออมได้ดีกว่ามาตรา 40 อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของสิทธิประโยชน์อาจยังไม่ครอบคลุมเท่ากับมาตรา 33 ซึ่งยังคงเป็นมาตรฐานสูงสุดของระบบประกันสังคมไทย
ผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในเศรษฐกิจดิจิทัล
การบังคับใช้กองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตั้งแต่ตัวแรงงานเอง ไปจนถึงผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม และผู้บริโภค
มุมมองของไรเดอร์และฟรีแลนซ์: ข้อดีและข้อควรพิจารณา
ข้อดี:
- ความมั่นคงในระยะยาว: ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือการมีเงินออมสะสมไว้สำหรับวัยเกษียณและมีหลักประกันด้านสวัสดิการพื้นฐาน ซึ่งช่วยลดความกังวลต่ออนาคต
- การเข้าถึงสวัสดิการที่ง่ายขึ้น: ระบบอัตโนมัติทำให้การออมและการได้รับสิทธิ์เป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง
- การสร้างวินัยทางการเงิน: การหักเงิน ณ ที่จ่ายช่วยสร้างพฤติกรรมการออม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ
ข้อควรพิจารณา:
- รายรับปัจจุบันลดลง: การถูกหักเงินสมทบหมายถึงรายได้ที่รับจริงในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์จะลดน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- ความกังวลต่อการบริหารกองทุน: แรงงานอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินกองทุนว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความยั่งยืนได้หรือไม่
ความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม
สำหรับผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน มาตรการนี้ก่อให้เกิดความท้าทายหลายประการ:
- ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น: แพลตฟอร์มต้องลงทุนในการพัฒนาระบบ IT และเพิ่มบุคลากรเพื่อจัดการกระบวนการหักและนำส่งเงินสมทบ ซึ่งถือเป็นต้นทุนด้านการบริหารจัดการ (Administrative Cost)
- ความซับซ้อนทางกฎหมาย: การปฏิบัติตามข้อบังคับใหม่ต้องอาศัยความเข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายอย่างถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่บทลงโทษ
- ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน: การหักเงินจากรายได้ของไรเดอร์อาจทำให้แรงงานบางส่วนย้ายไปทำงานกับแพลตฟอร์มอื่นที่ (อาจจะ) อยู่นอกเหนือกฎหมาย หรือหันไปรับงานโดยตรงไม่ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของแรงงานในระบบ
การวางแผนการเงินในฐานะแรงงานอิสระ
แม้ว่ากองทุนสวัสดิการแรงงานอิสระจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคง แต่การพึ่งพากองทุนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับความท้าทายทางการเงินทั้งหมดในระยะยาว แรงงานอิสระจึงควรพิจารณาวางแผนการเงินเพิ่มเติมด้วยตนเอง
ทำไมกองทุนใหม่อาจไม่เพียงพอ?
กองทุนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “สวัสดิการขั้นพื้นฐาน” ซึ่งหมายความว่าสิทธิประโยชน์ที่ได้รับอาจไม่ครอบคลุมทุกความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินรุนแรงหรือปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ เงินบำนาญที่ได้รับหลังเกษียณอาจไม่เพียงพอที่จะรักษารูปแบบการใช้ชีวิตแบบเดิมได้ หากไม่ได้มีการออมเพิ่มเติม
กลยุทธ์เสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว
เพื่อสร้างเกราะป้องกันทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น ไรเดอร์และฟรีแลนซ์ควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้ควบคู่ไปกับการเป็นสมาชิกกองทุน:
- การทำประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติม: การซื้อประกันสุขภาพส่วนบุคคลจะช่วยครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เจ็บป่วยรุนแรงซึ่งสวัสดิการจากกองทุนอาจไม่เพียงพอ ขณะที่ประกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบอาชีพไรเดอร์ที่มีความเสี่ยงบนท้องถนนสูง
- การลงทุนเพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income: นอกเหนือจากการออมผ่านกองทุน ควรศึกษาช่องทางการลงทุนอื่นๆ ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น การลงทุนในกองทุนรวม, หุ้นปันผล, หรืออสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมและลดการพึ่งพารายได้จากการทำงานเพียงอย่างเดียว
- การจัดทำงบประมาณและบริหารสภาพคล่อง: การบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอและการสำรองเงินสดฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากรายได้ที่ไม่แน่นอน
การผสมผสานสวัสดิการจากภาครัฐเข้ากับการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอย่างรอบคอบ จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับแรงงานอิสระ
สรุป: ก้าวต่อไปของสวัสดิการแรงงานในยุคดิจิทัล
นโยบาย เก็บเงิน ‘ไรเดอร์-ฟรีแลนซ์’ เข้ากองทุนใหม่! รัฐสั่งแอปจ่าย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานสมัยใหม่ มาตรการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับแรงงานอิสระที่เคยถูกมองข้าม แต่ยังเป็นการกำหนดความรับผิดชอบทางสังคมให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัลในฐานะผู้มีส่วนสำคัญในระบบนิเวศเศรษฐกิจนี้
แม้ว่าการดำเนินการอาจมีความท้าทายในช่วงเริ่มต้น ทั้งในแง่ของผลกระทบต่อรายได้ของแรงงานและต้นทุนของผู้ประกอบการ แต่ในระยะยาวแล้ว กองทุนนี้มีศักยภาพที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างเสถียรภาพให้กับแรงงานกลุ่มใหญ่ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุน รวมถึงการยอมรับและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับไรเดอร์และฟรีแลนซ์ การเกิดขึ้นของกองทุนนี้เป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินอย่างรอบด้าน การพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสร้างความมั่นคงทางการเงินด้วยตนเองผ่านการทำประกัน, การลงทุน, และการบริหารจัดการเงินอย่างมีวินัย จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอไป การทำความเข้าใจในรายละเอียดของกองทุนนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและวางแผนอนาคตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา