Shopping cart

กฎใหม่! ซูเปอร์มาร์เก็ตห้ามทิ้งอาหาร ต้องลดราคา-บริจาค

สารบัญ

ประเด็นเรื่อง กฎใหม่! ซูเปอร์มาร์เก็ตห้ามทิ้งอาหาร ต้องลดราคา-บริจาค ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในสังคมไทย สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นต่อปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกที่ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของกฎหมายดังกล่าวในประเทศไทย สำรวจความรุนแรงของปัญหาขยะอาหาร พร้อมทั้งศึกษาแนวปฏิบัติจากต่างประเทศเพื่อหาแนวทางที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทยต่อไป

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายจัดการอาหารส่วนเกิน

  • สถานะกฎหมายในไทย: จากข้อมูล ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีการประกาศใช้กฎหมายที่บังคับให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าปลีกห้ามทิ้งอาหารอย่างเป็นทางการ แนวทางส่วนใหญ่ยังคงเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจภาคสมัครใจ
  • วิกฤตขยะอาหาร: ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาขยะอาหารในระดับที่รุนแรง โดยมีสถิติการสร้างขยะอาหารสูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสร้างภาระต่อระบบกำจัดขยะและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
  • ตัวอย่างจากต่างประเทศ: ประเทศฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการบังคับใช้กฎหมายห้ามซูเปอร์มาร์เก็ตทิ้งอาหาร และกำหนดให้ต้องบริจาคอาหารส่วนเกินให้แก่องค์กรการกุศล
  • ผลกระทบเชิงบวก: การจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงทางอาหารโดยการกระจายอาหารไปยังกลุ่มเปราะบาง และลดต้นทุนการกำจัดขยะ
  • ความจำเป็นในการติดตาม: แม้จะยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ แต่ทิศทางนโยบายของภาครัฐในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลง การติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ

ไขข้อเท็จจริง: กฎใหม่บังคับซูเปอร์มาร์เก็ตจัดการอาหารเหลือในไทย

แนวคิดเกี่ยวกับ กฎใหม่! ซูเปอร์มาร์เก็ตห้ามทิ้งอาหาร ต้องลดราคา-บริจาค เป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในแวดวงนโยบายสาธารณะและกลุ่มผู้บริโภคบ่อยครั้ง แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาอาหารส่วนเกินจำนวนมหาศาลที่ถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดายจากภาคธุรกิจค้าปลีก ทั้งที่อาหารเหล่านั้นยังคงมีคุณภาพดีและสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย การผลักดันให้เกิดกฎหมายลักษณะนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างระบบการจัดการอาหารที่ยั่งยืน ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในประเทศ

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด พบว่าประเทศไทยยังไม่มีการออกกฎหมายหรือข้อบังคับที่เป็นรูปธรรมเพื่อบังคับให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ต้องปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แม้จะมีความพยายามจากหลายภาคส่วนในการรณรงค์และสร้างความตระหนักรู้ แต่มาตรการของภาครัฐในปัจจุบันยังคงเน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจและความร่วมมือแบบสมัครใจเป็นหลัก มากกว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีบทลงโทษ ซึ่งหมายความว่าการลดราคาอาหารใกล้หมดอายุหรือการบริจาคยังคงขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท

การที่ประเด็นนี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากปัญหาขยะอาหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย องค์กรระหว่างประเทศและนักวิชาการต่างชี้ให้เห็นถึงความสูญเสียทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทิ้งอาหาร ทำให้สังคมเริ่มเรียกร้องให้มีมาตรการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการจัดการปัญหานี้ ดังนั้น แม้กฎหมายจะยังไม่เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แต่ก็ถือเป็นทิศทางนโยบายที่มีความเป็นไปได้สูงในอนาคต และเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อม

สถานการณ์ปัญหาขยะอาหารในประเทศไทย

ปัญหาขยะอาหาร หรือ Food Waste ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในระดับประเทศและระดับโลก สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ดังกล่าวมีความน่ากังวลอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 12.3 ซึ่งมุ่งลดขยะอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030

สถิติที่น่าตกใจจาก UNEP

รายงาน Food Waste Index Report 2021 จากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับสถานการณ์ขยะอาหารในประเทศไทย โดยชี้ว่าคนไทยหนึ่งคนสร้างขยะอาหารโดยเฉลี่ยสูงถึง 86 กิโลกรัมต่อปี ตัวเลขนี้ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่สองของภูมิภาคอาเซียนในด้านการสร้างขยะอาหารต่อหัว

คนไทยทิ้งอาหารเฉลี่ย 86 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาขยะอาหารที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

เมื่อคำนวณจากจำนวนประชากรทั้งหมด ปริมาณขยะอาหารที่เกิดขึ้นในแต่ละปีจึงมีจำนวนมหาศาล ขยะเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นความสูญเสียทางทรัพยากร แต่ยังสร้างภาระหนักให้กับระบบการจัดการขยะของประเทศ ตั้งแต่การเก็บขนไปจนถึงการฝังกลบ ซึ่งต้องใช้พื้นที่และงบประมาณจำนวนมาก

ผลกระทบของขยะอาหารในมิติต่างๆ

ปัญหา Food Waste ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบในหลายมิติ ดังนี้:

  1. ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม: เมื่อขยะอาหารถูกนำไปฝังกลบ จะเกิดกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน (Methane) ก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า นอกจากนี้ การผลิตอาหารที่ถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่ายังหมายถึงการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในกระบวนการผลิตไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน น้ำ พลังงาน และปุ๋ย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อม
  2. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ: ขยะอาหารคือการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยตรง ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต การแปรรูป การขนส่ง ไปจนถึงต้นทุนในการกำจัดขยะที่เกิดขึ้น สำหรับภาคธุรกิจค้าปลีก อาหารที่ต้องทิ้งไปหมายถึงการสูญเสียรายได้และกำไร ในขณะที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้นทุกปี
  3. ผลกระทบด้านสังคม: ในขณะที่อาหารจำนวนมากถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่า ยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมที่เผชิญกับภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารและการขาดสารอาหาร ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร หากสามารถนำอาหารส่วนเกินมาจัดสรรและกระจายสู่ผู้ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถบรรเทาปัญหาสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้

โมเดลจากต่างประเทศ: กรณีศึกษากฎหมายฝรั่งเศส

โมเดลจากต่างประเทศ: กรณีศึกษากฎหมายฝรั่งเศส

เพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นไปได้และแนวทางการบังคับใช้กฎหมายจัดการอาหารส่วนเกิน การศึกษาตัวอย่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยประเทศฝรั่งเศสถือเป็นต้นแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล หลังจากเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายห้ามซูเปอร์มาร์เก็ตทิ้งอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้ในปี 2016

สาระสำคัญของกฎหมาย

กฎหมายของฝรั่งเศสมีข้อกำหนดที่ชัดเจนและครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายประการ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการอาหารส่วนเกินของภาคธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ สาระสำคัญของกฎหมายประกอบด้วย:

  • ขอบเขตการบังคับใช้: กฎหมายนี้บังคับใช้กับซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 400 ตารางเมตรขึ้นไป
  • ข้อห้ามเด็ดขาด: ห้ามร้านค้าทำลายอาหารที่ยังไม่หมดอายุและยังสามารถบริโภคได้ เช่น การใช้สารฟอกขาวราดบนอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนนำไปบริโภคต่อ
  • ข้อบังคับการบริจาค: กำหนดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องทำสัญญาความร่วมมือกับองค์กรการกุศลหรือธนาคารอาหาร (Food Bank) อย่างน้อยหนึ่งแห่ง เพื่อบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดแต่ยังคงมีคุณภาพดี
  • บทลงโทษ: หากร้านค้าฝ่าฝืนกฎหมาย จะมีบทลงโทษที่รุนแรง รวมถึงค่าปรับเป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

บทเรียนสู่การปรับใช้

ความสำเร็จของโมเดลฝรั่งเศสให้บทเรียนที่สำคัญหลายประการที่สามารถนำมาพิจารณาในบริบทของประเทศไทยได้ ประการแรก การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและมีบทลงโทษที่แน่นอนเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขององค์กรขนาดใหญ่ ประการที่สอง ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งจากภาคประชาสังคม โดยเฉพาะองค์กรการกุศลและธนาคารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการรับและกระจายอาหารไปสู่ผู้ที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม การนำโมเดลนี้มาปรับใช้ในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึงความท้าทายเฉพาะตัว เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์สำหรับการขนส่งอาหาร (โดยเฉพาะอาหารสดที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ) ประเด็นด้านกฎหมายความรับผิด (Liability) กรณีเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารที่บริจาค และการสร้างเครือข่ายองค์กรรับบริจาคที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพทั่วประเทศ

แนวทางการจัดการอาหารส่วนเกินของไทยในปัจจุบัน

แม้จะยังไม่มีกฎหมายบังคับเป็นการเฉพาะ แต่ประเทศไทยก็มีความเคลื่อนไหวในการจัดการปัญหาขยะอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่แนวทางแบบสมัครใจและการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นต่อปัญหานี้ แนวทางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันสามารถสรุปได้ดังนี้:

  • นโยบายส่งเสริมและแรงจูงใจ: ภาครัฐพยายามสร้างแรงจูงใจทางนโยบาย เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่บริจาคอาหารส่วนเกินให้แก่องค์กรการกุศล เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลดขยะอาหารมากขึ้น
  • ความริเริ่มของภาคเอกชน: ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มดำเนินโครงการจัดการอาหารส่วนเกินของตนเอง เช่น การจัดโซนลดราคาสินค้าที่ใกล้หมดอายุ การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อจำหน่ายอาหารส่วนเกินในราคาพิเศษ หรือการสร้างความร่วมมือโดยตรงกับองค์กรรับบริจาคอาหาร
  • บทบาทขององค์กรภาคประชาสังคม: ประเทศไทยมีองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เช่น มูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับอาหารส่วนเกินจากโรงแรม ร้านอาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อนำไปส่งต่อให้กับชุมชนที่ขาดแคลน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนขยะอาหารให้กลายเป็นอาหารที่มีคุณค่า
  • การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้: มีการจัดกิจกรรมและแคมเปญต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับผลกระทบของขยะอาหารและส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในระดับครัวเรือน
ตารางเปรียบเทียบแนวทางการจัดการอาหารส่วนเกินระหว่างฝรั่งเศสและไทย
ประเด็นเปรียบเทียบ ฝรั่งเศส (โมเดลกฎหมายบังคับ) ไทย (โมเดลปัจจุบัน)
กลไกหลัก การบังคับใช้กฎหมาย (Legal Enforcement) พร้อมบทลงโทษที่ชัดเจน การส่งเสริมและแรงจูงใจ (Incentives) และความร่วมมือแบบสมัครใจ
กลุ่มเป้าหมายหลัก ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ (พื้นที่ 400 ตร.ม. ขึ้นไป) ภาคธุรกิจค้าปลีกและผู้ประกอบการทุกขนาด (ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ)
รูปแบบการดำเนินการ บังคับทำสัญญาบริจาคอาหารกับองค์กรการกุศล หลากหลายรูปแบบ ทั้งการลดราคา, บริจาคผ่านองค์กรกลาง, หรือจัดการเอง
บทบาทภาครัฐ ผู้กำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้สนับสนุน, สร้างแรงจูงใจ, และอำนวยความสะดวก

ความท้าทายและโอกาสในการออกกฎหมายในอนาคต

การพิจารณาออกกฎหมายเพื่อจัดการอาหารส่วนเกินในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ถึงอุปสรรคและศักยภาพอย่างรอบด้าน เพื่อให้กฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุด

อุปสรรคที่ต้องพิจารณา

  1. ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน: ระบบโลจิสติกส์ โดยเฉพาะระบบขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาคุณภาพของอาหารสดที่ได้รับบริจาค การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการกระจายอาหารไปยังพื้นที่ห่างไกล
  2. ประเด็นด้านกฎหมายและความปลอดภัย: จำเป็นต้องมีกฎหมายหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของอาหารที่บริจาค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้บริจาคและผู้รับบริจาค และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากมีผู้บริโภคเจ็บป่วย
  3. ต้นทุนของภาคธุรกิจ: การพัฒนาระบบคัดแยก จัดเก็บ และขนส่งอาหารเพื่อการบริจาคอาจมีต้นทุนเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก มาตรการสนับสนุนทางการเงินหรือทางเทคนิคจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  4. การสร้างเครือข่ายองค์กรรับบริจาค: การมีเครือข่ายธนาคารอาหารหรือองค์กรการกุศลที่เข้มแข็งและครอบคลุมทั่วประเทศเป็นหัวใจสำคัญของระบบ การสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพขององค์กรเหล่านี้จึงเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป

ศักยภาพและประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น

แม้จะมีความท้าทาย แต่การมีกฎหมายที่ชัดเจนก็เปิดโอกาสและสร้างประโยชน์มหาศาลเช่นกัน:

  • การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลดปริมาณขยะอาหารที่ต้องนำไปฝังกลบจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดโลกร้อนของประเทศ
  • การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร: สามารถนำอาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพไปช่วยเหลือกลุ่มประชากรที่เปราะบาง ลดปัญหาความหิวโหยและการขาดสารอาหารได้อย่างเป็นระบบ
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียน: ส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และอาจสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาหารส่วนเกิน
  • การสร้างมาตรฐานใหม่ให้ภาคธุรกิจ: การออกกฎหมายจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของภาคธุรกิจค้าปลีกให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่

บทสรุปและแนวโน้มสำหรับอนาคต

โดยสรุป ประเด็นเรื่อง กฎใหม่! ซูเปอร์มาร์เก็ตห้ามทิ้งอาหาร ต้องลดราคา-บริจาค ยังคงเป็นแนวคิดเชิงนโยบายที่ยังไม่ถูกนำมาบังคับใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่เป็นทิศทางที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เนื่องจากปัญหาขยะอาหารในประเทศมีความรุนแรงและต้องการมาตรการแก้ไขที่จริงจัง ปัจจุบัน แนวทางการดำเนินงานของไทยยังคงเน้นการสร้างความร่วมมือแบบสมัครใจและการให้แรงจูงใจ ซึ่งแม้จะมีความคืบหน้าในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้

กรณีศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่า การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการผลักดันให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม การจะนำโมเดลดังกล่าวมาปรับใช้จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม

สำหรับอนาคต การแก้ไขปัญหาขยะอาหารอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในการกำหนดนโยบายที่เอื้ออำนวย ภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และผู้บริโภคในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อและบริโภค การติดตามข้อมูลและนโยบายจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเตรียมความพร้อมและร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่ปลอดขยะอาหารได้อย่างแท้จริง

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930