Shopping cart

EV 4.0 มาแล้ว! ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลดสูงสุด 1 แสน เช็คเงื่อนไข

สารบัญ

คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเฟสใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “EV 4.0” ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มาตรการนี้มอบเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาท

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • เงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท: รัฐบาลมอบเงินอุดหนุนโดยตรงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ โดยเฉพาะขนาดแบตเตอรี่
  • เงื่อนไขด้านแบตเตอรี่: ขนาดความจุของแบตเตอรี่เป็นปัจจัยหลักในการกำหนดจำนวนเงินอุดหนุนที่ผู้ซื้อจะได้รับ
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี: นอกเหนือจากเงินอุดหนุน ยังมีการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง
  • ความร่วมมือจากค่ายรถยนต์: ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายเข้าร่วมโครงการ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ประกันภัย EV โดยเฉพาะ: มีการออกกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน

การประกาศมาตรการ EV 4.0 มาแล้ว! ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลดสูงสุด 1 แสน เช็คเงื่อนไข ถือเป็นข่าวสำคัญสำหรับตลาดยานยนต์ในประเทศไทย นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำและส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน มาตรการดังกล่าวครอบคลุมทั้งเงินอุดหนุนโดยตรง การลดหย่อนภาษี และการสร้างความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) อยู่ในระดับที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อและเพิ่มจำนวนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน

มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์คันใหม่ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม ตั้งแต่สถานีชาร์จไปจนถึงการพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง การทำความเข้าใจในเงื่อนไขและรายละเอียดของมาตรการ EV 4.0 จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่สนใจ เพื่อให้สามารถวางแผนและใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

มาตรการ EV 4.0 คืออะไร? และสำคัญอย่างไร

มาตรการ EV 4.0 เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นโครงการต่อเนื่องที่พัฒนามาจากมาตรการก่อนหน้า เพื่อรักษาแรงส่งและกระตุ้นตลาดให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง หัวใจสำคัญของนโยบายนี้คือการใช้เครื่องมือทางการคลัง ทั้งในรูปแบบของเงินอุดหนุนโดยตรงและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า

นโยบาย EV 4.0 คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ภาพรวมและเป้าหมายของนโยบาย

เป้าหมายหลักของมาตรการ EV 4.0 คือการทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปภายในมากขึ้น เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้สูงขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยนโยบายนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:

  1. เงินอุดหนุนโดยตรง (Direct Subsidies): มอบเงินสนับสนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์ ซึ่งจำนวนเงินจะแตกต่างกันไปตามขนาดความจุของแบตเตอรี่
  2. การลดหย่อนภาษี (Tax Reductions): ลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และอาจมีการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับชิ้นส่วนบางรายการ เพื่อลดต้นทุนของผู้ผลิตและส่งผลต่อราคาขายปลีก
  3. การสร้างความร่วมมือ (Automaker Collaboration): ส่งเสริมให้ค่ายรถยนต์เข้าร่วมโครงการและทำการตลาดเชิงรุก เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด

นโยบายนี้ไม่เพียงกระตุ้นฝั่งอุปสงค์ แต่ยังส่งเสริมฝั่งอุปทาน โดยจูงใจให้ผู้ผลิตเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ ซึ่งจะสร้างงานและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในระยะยาว

ใครได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้บ้าง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการ EV 4.0 คือ ผู้บริโภค ที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ โดยจะได้รับส่วนลดจากเงินอุดหนุนของภาครัฐ ทำให้สามารถซื้อรถในราคาที่ถูกลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ก็ได้รับประโยชน์จากการที่ตลาดขยายตัวและมีต้นทุนการนำเข้าหรือผลิตที่ลดลง ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น ในภาพรวม สังคมและประเทศชาติ จะได้รับประโยชน์จากการลดมลพิษทางอากาศ การประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากการนำเข้าน้ำมัน และการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ

เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การรับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท

เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากมาตรการ EV 4.0 ผู้ซื้อและรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขหลักจะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเทคนิคของรถยนต์ โดยเฉพาะขนาดความจุของแบตเตอรี่และระยะเวลาของโครงการ

คุณสมบัติด้านรถยนต์และแบตเตอรี่

ปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดจำนวนเงินอุดหนุนคือขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพและระยะทางการวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า โดยทั่วไปหลักเกณฑ์จะถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้:

  • เงินอุดหนุนสูงสุด: สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เช่น มากกว่า 30 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป อาจได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 100,000 – 150,000 บาท (ขึ้นอยู่กับการประกาศอย่างเป็นทางการในแต่ละช่วง)
  • เงินอุดหนุนระดับรองลงมา: สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดความจุแบตเตอรี่ระหว่าง 10 – 30 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) จะได้รับเงินอุดหนุนในจำนวนที่ลดหลั่นลงมา เช่น ประมาณ 70,000 บาท

นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะต้องเป็นรุ่นที่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ซื้อสามารถตรวจสอบรายชื่อรุ่นรถที่เข้าร่วมได้จากผู้จัดจำหน่ายโดยตรง

ขั้นตอนและระยะเวลาของโครงการ

โดยทั่วไปแล้ว มาตรการสนับสนุนจะมีระยะเวลาที่ชัดเจน โดยสิทธิประโยชน์สูงสุดมักจะกระจุกตัวอยู่ในช่วง 2 ปีแรกของโครงการ หลังจากนั้นสิทธิประโยชน์อาจลดลงในลักษณะขั้นบันไดในช่วงปีที่ 3 และ 4 เพื่อค่อยๆ ปรับให้กลไกตลาดทำงานได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจซื้อในช่วงต้นของโครงการจะได้รับประโยชน์สูงสุด

สำหรับขั้นตอนการรับสิทธิ์ ส่วนลดจากเงินอุดหนุนมักจะถูกหักลบจากราคาขาย ณ จุดจำหน่ายโดยตรง ผู้ซื้อจึงไม่ต้องดำเนินการยื่นขอเงินคืนด้วยตนเอง แต่เป็นหน้าที่ของผู้จัดจำหน่ายในการประสานงานกับภาครัฐ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

เจาะลึกส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ

เจาะลึกส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ

นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงอย่างชัดเจนแล้ว มาตรการ EV 4.0 ยังมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่ช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของในระยะยาว และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน

การลดหย่อนภาษีและเงินอุดหนุนโดยตรง

สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการทำให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จ โดยประกอบด้วยการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากอัตราปกติลงอย่างมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบในประเทศหรือนำเข้า ซึ่งทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลงและสามารถตั้งราคาขายที่น่าดึงดูดใจได้มากขึ้น การผสมผสานระหว่างเงินอุดหนุนโดยตรงที่ผู้บริโภคได้รับ กับการลดหย่อนภาษีที่ผู้ผลิตได้รับ ทำให้เกิดผลกระทบแบบทวีคูณ ส่งผลให้ราคาสุดท้ายของผู้บริโภคลดลงได้มากถึงหลักแสนบาท

การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่

เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ ได้มีการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 กรมธรรม์รูปแบบใหม่นี้ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมชิ้นส่วนสำคัญของ EV เช่น:

  • แบตเตอรี่: ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาสูงที่สุด
  • อุปกรณ์ชาร์จ: รวมถึงสายชาร์จและ Wall Box Charger
  • ความเสี่ยงเฉพาะทาง: เช่น ความเสียหายจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือความเสียหายต่อบุคคลภายนอกจากอุปกรณ์ชาร์จ

การมีประกันภัยที่ออกแบบมาโดยเฉพาะนี้ ช่วยลดความกังวลของผู้ใช้งานเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมในระยะยาว

ตัวอย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการและราคาสุทธิ

มาตรการ EV 4.0 ส่งผลให้ค่ายรถยนต์หลายแห่งจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นมีราคาที่น่าสนใจและเข้าถึงง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดกลาง

กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 500,000 บาท

รถยนต์ในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากราคาสุทธิหลังหักส่วนลดแล้วอยู่ในระดับที่แข่งขันกับรถยนต์ Eco Car ได้โดยตรง ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่:

  • NETA V-II: มีการทำราคาโปรโมชันที่น่าดึงดูด โดยบางช่วงอาจมีราคาเริ่มต้นเพียง 319,000 บาท
  • Wuling Binguo EV: เปิดตัวด้วยราคาประมาณ 399,000 บาท พร้อมการรับประกันที่ครอบคลุมทั้งตัวรถ แบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
  • BYD Dolphin: รถแฮทช์แบ็กที่ผลิตในประเทศไทย มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นประมาณ 499,900 บาท มักมาพร้อมกับโปรโมชันของแถม เช่น เครื่องชาร์จ และฟรีค่าจดทะเบียน

รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2568

ตลาดยังคงมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เตรียมเปิดตัวในปี 2568 ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นและมีระยะทางการวิ่งไกลกว่าเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและเข้าเกณฑ์การรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ตัวอย่างเช่น Aion V และ BYD Sealion ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาด

ตารางเปรียบเทียบข้อมูลเบื้องต้นของรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นที่ได้รับความนิยมภายใต้มาตรการส่งเสริม EV
รุ่นรถยนต์ ราคาโดยประมาณ (บาท) จุดเด่น
NETA V-II เริ่มต้น 319,000 ราคาเข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง
Wuling Binguo EV เริ่มต้น 399,000 การรับประกันระยะยาวสำหรับแบตเตอรี่และมอเตอร์
BYD Dolphin 499,900 – 619,900 ผลิตในประเทศ, มีโปรโมชันและของแถมครบครัน
Aion V (รุ่นใหม่) ประมาณ 1,029,900 เทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูงและระยะทางวิ่งไกล

สรุป: อนาคตตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยภายใต้นโยบาย EV 4.0

มาตรการ EV 4.0 ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย การผสมผสานระหว่างเงินอุดหนุนโดยตรง การลดหย่อนภาษี และความร่วมมือจากภาคเอกชน ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญจนสามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปได้ นโยบายนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่สามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีสะอาดในราคาที่จับต้องได้ แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การศึกษาเงื่อนไขและตรวจสอบรายชื่อรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอย่างละเอียด จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด การตัดสินใจในช่วงที่นโยบายยังคงให้สิทธิประโยชน์สูงสุดถือเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930