ค่าไฟขึ้นอีก! กกพ. เคาะค่า FT รอบใหม่ กระทบทุกบ้าน
สถานการณ์ค่าไฟฟ้าเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชนทุกคน ล่าสุด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่า FT สำหรับรอบบิลใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าค่าไฟในแต่ละเดือนจะถูกหรือแพงขึ้น การทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
- อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับงวดเดือนกันยายน–ธันวาคม 2568 ถูกกำหนดไว้ที่ประมาณ 3.94 บาทต่อหน่วย
- ค่า FT ในรอบล่าสุดมีการปรับลดลงเล็กน้อย 4 สตางค์ต่อหน่วย จากข้อเสนอเดิมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
- ปัจจัยสำคัญในการกำหนดค่า FT คือต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้สะสมของ กฟผ.
- การเปลี่ยนแปลงค่า FT แม้เพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของทุกครัวเรือนและต้นทุนของผู้ประกอบการทั่วประเทศ
- การปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานและการเลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟ เป็นแนวทางสำคัญในการลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ทำความเข้าใจสถานการณ์ค่าไฟฟ้าล่าสุด
ประเด็นเรื่อง **ค่าไฟขึ้นอีก! กกพ. เคาะค่า FT รอบใหม่ กระทบทุกบ้าน** กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการประกอบธุรกิจ การปรับเปลี่ยนอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละครั้งจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายที่ทุกครัวเรือนและทุกภาคส่วนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลราคาพลังงานของประเทศ ได้ประกาศผลการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Fuel Adjustment Charge at the given time) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “ค่า FT” สำหรับรอบบิลเดือนกันยายนถึงธันวาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อสภาวะเศรษฐกิจและภาระค่าครองชีพของประชาชนโดยรวม การทำความเข้าใจถึงรายละเอียดและเหตุผลเบื้องหลังการปรับอัตราค่าไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถวางแผนและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึก “ค่า FT” คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ
หลายคนอาจเคยเห็นตัวย่อ “FT” ปรากฏอยู่บนบิลค่าไฟฟ้า แต่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน ค่า FT เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน การทำความเข้าใจส่วนนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของระบบราคาพลังงานในประเทศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นิยามและความหมายของค่า FT
ค่า FT หรือ ค่าไฟฟ้าผันแปร คือค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า และค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสถานการณ์ตลาดโลกและปัจจัยอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ค่า FT ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกในการสะท้อนต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้มายังผู้ใช้ไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง โดยไม่ต้องทำการปรับโครงสร้าง “ค่าไฟฟ้าฐาน” ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างคงที่บ่อยครั้งนัก โดยปกติแล้ว กกพ. จะทำการพิจารณาและปรับปรุงค่า FT ทุกๆ 4 เดือน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โครงสร้างค่าไฟฟ้าในประเทศไทย
เพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ค่าไฟฟ้าที่ปรากฏบนบิลรายเดือนประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้:
- ค่าไฟฟ้าฐาน: เป็นต้นทุนหลักในการผลิต ส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง สายจำหน่าย และค่าบริหารจัดการของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง (กฟผ., กฟน., กฟภ.) อัตรานี้จะค่อนข้างคงที่และมีการปรับเปลี่ยนไม่บ่อยนัก
- ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT): ส่วนที่สะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงที่ผันผวนตามที่ได้อธิบายไปข้างต้น ค่า FT สามารถเป็นได้ทั้งบวก (เรียกเก็บเพิ่ม) หรือลบ (ให้ส่วนลด) ขึ้นอยู่กับว่าต้นทุนเชื้อเพลิงในช่วงเวลานั้นๆ สูงหรือต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ภาษี 7% ที่คำนวณจากผลรวมของค่าไฟฟ้าฐานและค่า FT
ค่า FT จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บิลค่าไฟในแต่ละรอบบิลมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าจะเหมือนเดิมก็ตาม
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่า FT
การปรับขึ้นลงของค่า FT ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่เป็นผลมาจากปัจจัยซับซ้อนหลายประการ ดังนี้:
- ราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลก: ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น ราคา LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ในตลาดโลกจึงมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ราคาน้ำมันและถ่านหินก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ: เนื่องจากต้องนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนการจัดหาเชื้อเพลิง หากเงินบาทอ่อนค่าลง ต้นทุนการนำเข้าก็จะสูงขึ้น
- ปริมาณการใช้ไฟฟ้า: ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมีผลต่อการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ ซึ่งมีต้นทุนเชื้อเพลิงไม่เท่ากัน
- ภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): ในช่วงที่ต้นทุนพลังงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาครัฐอาจมีนโยบายตรึงราคาค่า FT ไว้เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งทำให้ กฟผ. ต้องแบกรับภาระต้นทุนส่วนต่างไว้ก่อน และภาระหนี้ที่สะสมนี้จะถูกทยอยเรียกเก็บคืนผ่านค่า FT ในรอบบิลถัดๆ ไป
สรุปมติ กกพ. เคาะค่า FT รอบใหม่ ก.ย.–ธ.ค. 2568

การตัดสินใจของ กกพ. ในรอบล่าสุดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน
อัตราค่าไฟฟ้าใหม่และเบื้องหลังการตัดสินใจ
สำหรับงวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม พ.ศ. 2568 กกพ. ได้มีมติกำหนดให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดค่า FT ลงประมาณ 4 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อเทียบกับข้อเสนอเดิมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้นำเสนอไว้ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถปรับลดค่า FT ลงได้ในครั้งนี้ คือการที่ กกพ. ได้ดำเนินการเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกินจากการไฟฟ้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,640 ล้านบาท และนำเงินจำนวนดังกล่าวมาช่วยลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าในรอบนี้ รวมถึงช่วยลดภาระหนี้สะสมของ กฟผ. ไปพร้อมกัน ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ช่วยพยุงราคาไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากกว่านี้
ย้อนรอยสถานการณ์ค่าไฟในช่วงที่ผ่านมา
หากมองย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2565 จะเห็นภาพความผันผวนของราคาพลังงานได้อย่างชัดเจน ในช่วงนั้น กกพ. เคยประกาศปรับขึ้นค่า FT สูงถึง 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยพุ่งสูงขึ้นไปถึง 4.72 บาทต่อหน่วย สาเหตุหลักมาจากวิกฤตราคาพลังงานโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับภาระหนี้ที่ กฟผ. ต้องแบกรับจากการอุดหนุนราคาพลังงานก่อนหน้านี้ ซึ่งมียอดสะสมสูงกว่า 100,000 ล้านบาท การปรับขึ้นครั้งใหญ่นั้นจึงมีความจำเป็นเพื่อรักษาสภาพคล่องของ กฟผ. และความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศ
การตัดสินใจในรอบปัจจุบัน (ก.ย.–ธ.ค. 2568) ที่ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย จึงถือเป็นสัญญาณของการรักษาเสถียรภาพราคา และเป็นการพยายามลดภาระของประชาชนลงเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตดังกล่าว
| ช่วงเวลา | ค่า FT (สตางค์/หน่วย) | อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (บาท/หน่วย) | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
| ช่วงปลายปี 2565 | +93.43 | 4.72 | ได้รับผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงานโลก |
| ช่วงกลางปี 2568 | (มีการปรับลดลงมาบ้าง) | ~3.98 (ข้อเสนอเดิม) | สถานการณ์ต้นทุนเริ่มมีเสถียรภาพ |
| ก.ย. – ธ.ค. 2568 | (ปรับลดลง 4 สตางค์) | 3.94 | กกพ. ใช้มาตรการเรียกคืนเงินเพื่อลดภาระ |
ผลกระทบจากการปรับค่า FT ต่อภาคส่วนต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้าแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับมหภาคของเศรษฐกิจ
ภาระค่าครองชีพของภาคครัวเรือน
สำหรับประชาชนทั่วไป ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือบิลค่าไฟฟ้าที่ต้องชำระในแต่ละเดือนที่สูงขึ้น การปรับอัตราค่าไฟฟ้าส่งผลให้รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นโดยตรง ทำให้เงินที่เหลือสำหรับใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพสูง แม้การปรับขึ้นในอัตราเพียงไม่กี่สตางค์ต่อหน่วย แต่เมื่อรวมกับการใช้ไฟฟ้าทั้งเดือนก็อาจกลายเป็นจำนวนเงินที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้า 300 หน่วยต่อเดือน หากค่าไฟเพิ่มขึ้น 10 สตางค์ต่อหน่วย จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 30 บาทต่อเดือน หรือ 360 บาทต่อปี
ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
ในภาคธุรกิจ ไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนการดำเนินงานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กอย่างร้านค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เมื่อค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องได้หลายทาง:
- การผลักภาระไปยังผู้บริโภค: ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ เพื่อรักษาระดับกำไรไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าโดยรวมในตลาดสูงขึ้น (ภาวะเงินเฟ้อ)
- การลดความสามารถในการแข่งขัน: สำหรับธุรกิจที่เน้นการส่งออก ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำกว่า
- การชะลอการลงทุน: ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้ประกอบการชะลอแผนการขยายธุรกิจหรือการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม
แนวทางรับมือในยุคค่าไฟแพง
แม้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะไม่สามารถควบคุมการปรับขึ้นลงของค่า FT ได้ แต่สามารถบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าของตนเองเพื่อลดผลกระทบและควบคุมค่าใช้จ่ายได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน
การสร้างนิสัยการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องลงทุนสูง แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว:
- ปิดไฟและถอดปลั๊ก: ปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่อยู่ในห้อง และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน เพราะอุปกรณ์หลายชนิดยังคงใช้พลังงานในโหมดสแตนด์บาย
- ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม: การตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25-26 องศาเซลเซียส เป็นระดับที่ให้ความสบายและประหยัดพลังงาน การลดอุณหภูมิลงทุก 1 องศา จะทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 10%
- ทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้า: หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ และตรวจสอบขอบยางของตู้เย็นให้อยู่ในสภาพดีเสมอ เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่สิ้นเปลืองพลังงาน
- ใช้แสงธรรมชาติ: เปิดม่านหรือหน้าต่างเพื่อรับแสงสว่างจากธรรมชาติในตอนกลางวัน เพื่อลดการเปิดไฟโดยไม่จำเป็น
การเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
การลงทุนในอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว:
- มองหาสัญลักษณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5: เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว ยิ่งดาวมาก ยิ่งประหยัดไฟมาก
- เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED: หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้แบบดั้งเดิมถึง 85% และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่ามาก
- เลือกระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter): เครื่องปรับอากาศและตู้เย็นที่ใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ สามารถควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าระบบธรรมดา
- พิจารณาพลังงานทางเลือก: สำหรับครัวเรือนหรือธุรกิจที่มีความพร้อม การลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากระบบ และช่วยลดค่าไฟได้อย่างยั่งยืน
บทสรุปและทิศทางค่าไฟฟ้าในอนาคต
การประกาศอัตราค่า FT สำหรับรอบเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2568 ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย สะท้อนถึงความพยายามของ กกพ. ในการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของเชื้อเพลิงและภาระหนี้ของ กฟผ. กับการบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน แม้ว่าอัตราใหม่จะมีการปรับลดลงเล็กน้อยจากข้อเสนอเดิม แต่สถานการณ์ **ค่าไฟแพง** ยังคงเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องเผชิญต่อไป
ในอนาคต ทิศทางของค่าไฟฟ้าในประเทศไทยจะยังคงมีความผันผวนและขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก เช่น ราคาพลังงานในตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กกพ. และ กฟผ. อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหันมาใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน จึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

