เงินดิจิทัล 10,000: สรุปเงื่อนไขล่าสุด ใครได้-ไม่ได้บ้าง

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของภาครัฐ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างกว้างขวาง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง พร้อมทั้งส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด การทำความเข้าใจเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน

นโยบาย เงินดิจิทัล 10,000: สรุปเงื่อนไขล่าสุด ใครได้-ไม่ได้บ้าง ถือเป็นมาตรการทางการคลังขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจและช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โครงการนี้ดำเนินการผ่านการมอบเงินจำนวน 10,000 บาท ให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง ความเข้าใจในรายละเอียดของเงื่อนไขจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งประชาชนผู้รับสิทธิ์และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างถูกต้องและบรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบาย

ภาพรวมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผ่านการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ระดับน้อยถึงปานกลาง แนวคิดหลักคือการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านแอปพลิเคชันทางการเงิน โดยกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายให้เกิดการหมุนเวียนภายในประเทศและกระจายสู่ร้านค้าขนาดเล็กเป็นหลัก

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การกระตุ้นการบริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนและร้านค้าคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมไร้เงินสด โครงการนี้จึงมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ตั้งแต่ประชาชนผู้มีสิทธิ์ ร้านค้าขนาดเล็ก สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เจาะลึกคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท

เพื่อให้โครงการสามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง รัฐบาลได้กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับสิทธิ์อย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งด้านสถานะบุคคล รายได้ และปริมาณสินทรัพย์ทางการเงิน

การตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองล่วงหน้าเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่พลาดสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการ

เกณฑ์ด้านสัญชาติและอายุ

คุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของผู้มีสิทธิ์คือสถานะความเป็นพลเมืองของประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

• สัญชาติไทย: ผู้รับสิทธิ์ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ลงทะเบียน
• อายุ: ต้องมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยนับถึงวันที่ปิดรับลงทะเบียนของโครงการ คือวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2567 ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551 จะอยู่ในเกณฑ์นี้

เกณฑ์ด้านอายุถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับสิทธิ์มีความสามารถในการจัดการทางการเงินและทำธุรกรรมดิจิทัลได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง

เกณฑ์ด้านรายได้พึงประเมิน

เพื่อเป็นการคัดกรองให้ความช่วยเหลือมุ่งไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเป็นหลัก จึงมีการกำหนดเพดานรายได้ไว้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้:

• เพดานรายได้: มีรายได้พึงประเมินสำหรับปีภาษี 2566 (ยื่นแบบในช่วงต้นปี 2567) รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 840,000 บาท

รายได้พึงประเมินนี้หมายถึงรายได้ทั้งหมดก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ ซึ่งเมื่อคำนวณเฉลี่ยต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลรายได้ของตนเองได้จากเอกสารการยื่นภาษี หรือปรึกษาฝ่ายบุคคลของหน่วยงานที่ตนเองสังกัด

เกณฑ์ด้านเงินฝากในบัญชี

นอกจากรายได้แล้ว เกณฑ์ด้านเงินออมก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสถานะทางการเงินที่ถูกนำมาพิจารณา เพื่อให้แน่ใจว่าความช่วยเหลือจะไปถึงกลุ่มที่ต้องการอย่างแท้จริง:

• ยอดเงินฝากรวม: มีเงินฝากในบัญชีของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมกันทุกบัญชีแล้วต้องมียอดไม่เกิน 500,000 บาท
• วันสิ้นสุดการพิจารณา: ยอดเงินฝากจะถูกพิจารณา ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567

ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้จ่าย

เป้าหมายสำคัญของโครงการคือการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ดังนั้นจึงมีการกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ชัดเจน เพื่อให้เม็ดเงินกระจายไปสู่ร้านค้าขนาดเล็กและหมุนเวียนอยู่ในชุมชน

พื้นที่และประเภทร้านค้าที่สามารถใช้จ่ายได้

ข้อกำหนดด้านพื้นที่และร้านค้าเป็นหัวใจสำคัญของโครงการนี้:

• พื้นที่การใช้จ่าย: ประชาชนจะต้องใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ภายในเขตอำเภอ (Amphoe) ตามที่ระบุไว้ในทะเบียนบ้านของตนเองเท่านั้น
• ประเภทร้านค้า: สามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.), หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ร้านค้าประเภทหาบเร่แผงลอยที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีจะไม่สามารถเข้าร่วมได้

เงื่อนไขนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศในระยะยาว