รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง
เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย การยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางกฎหมาย สังคม และภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศในระยะยาว คำถามที่ว่าการกระทำดังกล่าวมีความชอบธรรมทางกฎหมายหรือไม่ ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมของสถานการณ์รัฐประหาร 2557
- สถานะทางกฎหมาย: รัฐประหาร 2557 ไม่ได้ถูกตัดสินว่า “ผิดกฎหมาย” ในกระบวนการยุติธรรมไทย เนื่องจากคณะรัฐประหารที่กระทำการสำเร็จจะกลายเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” หรือผู้ถืออำนาจอธิปไตย ซึ่งอำนาจนี้ใช้ในการออกประกาศและคำสั่งต่างๆ รวมถึงการนิรโทษกรรมตนเองในภายหลัง
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ: คสช. ได้ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (พ.ศ. 2560) ซึ่งมีกลไกที่สร้างความต่อเนื่องทางอำนาจให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจเดิมและกองทัพ
- ผลกระทบระยะยาว: เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง สร้างความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ และเป็นรากฐานของวิกฤตการณ์ทางการเมืองในยุคต่อมา
- มรดกที่ส่งต่อ: ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกลไกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง คือตัวอย่างของมรดกจากยุค คสช. ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อทิศทางการเมืองไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ย้อนรอยเหตุการณ์ก่อนการยึดอำนาจ
การวิเคราะห์ประเด็น รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง จำเป็นต้องทำความเข้าใจบริบทและสถานการณ์ที่นำไปสู่การยึดอำนาจในครั้งนั้น เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลพวงมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับเดือน เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างการเมืองและระบอบประชาธิปไตยของไทยในทศวรรษต่อมา
วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่ทางตัน
ช่วงปลายปี 2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 สถานการณ์การเมืองไทยมีความตึงเครียดอย่างหนัก การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้ขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้น การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งและการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล ทำให้กลไกการบริหารประเทศเป็นอัมพาต รัฐบาลรักษาการไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และความขัดแย้งได้ลุกลามไปสู่การปะทะกันในหลายพื้นที่ สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
การประกาศกฎอัยการศึกและการเข้ามาของ คสช.
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไร้ทางออก กองทัพบกในฐานะกลไกด้านความมั่นคงได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุรุนแรง อย่างไรก็ตาม เพียงสองวันหลังจากนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมจัดตั้ง “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือ คสช. ขึ้นมาบริหารประเทศ การกระทำดังกล่าวเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และยุติการทำงานของรัฐบาลรักษาการในขณะนั้นลงโดยสมบูรณ์ การเข้ามาของ คสช. ถือเป็นการปิดฉากวิกฤตการณ์ทางการเมืองด้วยวิธีการนอกวิถีทางประชาธิปไตย และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยแห่งการปกครองโดยทหารที่ยาวนานกว่า 5 ปี
ประเด็นทางกฎหมาย: รัฐประหาร 57 ไม่ผิด?

หนึ่งในคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจคือ สถานะทางกฎหมายของการรัฐประหาร ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การล้มล้างรัฐธรรมนูญถือเป็นความผิดร้ายแรง แต่ในทางปฏิบัติของประวัติศาสตร์การเมืองไทย แนวคำพิพากษาของศาลได้สร้างบรรทัดฐานที่แตกต่างออกไป
หลักการ “รัฏฐาธิปัตย์” กับการรับรองอำนาจ
ในทางนิตินัย การรัฐประหารคือการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและอาจเข้าข่ายเป็นกบฏ อย่างไรก็ตาม วงการกฎหมายไทยมักอ้างอิงถึงหลักการที่เรียกว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งหมายถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ แนวคิดนี้ถูกตีความว่า หากคณะรัฐประหารสามารถยึดอำนาจได้สำเร็จอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คณะรัฐประหารนั้นจะกลายเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยเสียเอง ดังนั้น ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำใดๆ ของคณะรัฐประหารจึงมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ การกระทำที่เกิดขึ้นจึงไม่ถูกพิจารณาว่า “ผิดกฎหมาย” ในเชิงรูปธรรม เพราะผู้กระทำได้กลายเป็นแหล่งที่มาของกฎหมายใหม่ไปแล้ว แม้ว่าการกระทำนั้นจะเริ่มต้นจากการฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดก็ตาม
แม้การรัฐประหารจะเป็นการกระทำนอกรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อกระทำการสำเร็จ คณะรัฐประหารจะกลายเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐ และการกระทำต่างๆ จะถูกรับรองให้ชอบด้วยกฎหมายผ่านอำนาจของตนเอง ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญและกลไกตุลาการ
ภายใต้การปกครองของ คสช. อำนาจขององค์กรตุลาการรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญมีอย่างจำกัด คสช. ได้ออกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ซึ่งมาตรา 47 ได้บัญญัติให้นิรโทษกรรมการกระทำทั้งปวงของ คสช. ที่เกี่ยวกับการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินนั้นชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ต่อมาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็ได้มีการรับรองความต่อเนื่องของประกาศและคำสั่งของ คสช. เหล่านี้ไว้ในบทเฉพาะกาลอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีการพิจารณาคดีความผิดฐานกบฏต่อคณะ คสช. ในชั้นศาล และกลไกทางกฎหมายที่มีอยู่เดิมได้ถูกทำให้ยอมรับสถานะของคณะรัฐประหารไปโดยปริยาย
ผลกระทบทางการเมืองที่หยั่งรากลึก
การรัฐประหาร 2557 ไม่ได้จบลงแค่การเปลี่ยนผ่านอำนาจ แต่ได้ทิ้งมรดกและสร้างผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อการเมืองไทยในระยะยาว ซึ่งยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560: มรดกทางอำนาจของ คสช.
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการร่างและประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจและวางกลไกควบคุมการเมืองในอนาคต ประเด็นสำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกอบด้วย:
- วุฒิสภาจากการแต่งตั้ง: กำหนดให้มีวุฒิสภา (สว.) จำนวน 250 คน ซึ่งมาจากการคัดเลือกโดย คสช. ในช่วง 5 ปีแรก และมีอำนาจสำคัญในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎร
- ระบบการเลือกตั้งที่ซับซ้อน: การนำระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมมาใช้ ทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ที่นั่ง ส.ส. ยากขึ้น และเกิดรัฐบาลผสมที่มีหลายพรรค ทำให้ขาดเสถียรภาพ
- องค์กรอิสระ: ที่มาและอำนาจขององค์กรอิสระหลายแห่งถูกตั้งคำถามถึงความเป็นกลางและความเชื่อมโยงกับคณะผู้มีอำนาจเดิม
การจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก
ตลอดช่วงเวลาการปกครองของ คสช. มีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเข้มงวด มีการออกประกาศและคำสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน การควบคุมสื่อ และการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัวเพื่อ “ปรับทัศนคติ” มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้ให้อำนาจหัวหน้า คสช. อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการออกคำสั่งใดๆ เพื่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและอยู่เหนือการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการและนิติบัญญัติ บรรยากาศแห่งความกลัวได้จำกัดการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนเป็นอย่างมาก
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี: กรอบนโยบายระยะยาว
อีกหนึ่งมรดกสำคัญคือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ซึ่งถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่รัฐบาลทุกชุดหลังจากนี้ต้องปฏิบัติตาม แม้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีเป้าหมายที่ดีในหลายด้าน แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการวางกรอบนโยบายที่ตายตัว ไม่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และเป็นการจำกัดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการกำหนดนโยบายของตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการคงบทบาทและอิทธิพลของกองทัพและกลุ่มอำนาจเดิมในระบบการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่
แม้การรัฐประหารจะทำให้ความขัดแย้งบนท้องถนนในขณะนั้นยุติลง แต่ก็เป็นเพียงการระงับปัญหาไว้ชั่วคราว การบริหารประเทศของ คสช. และโครงสร้างทางการเมืองที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ได้กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งระลอกใหม่ ผลการเลือกตั้งในปี 2562 ที่ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของเสียงส่วนใหญ่ ประกอบกับความไม่พอใจต่อการสืบทอดอำนาจ ได้นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มเยาวชนและประชาชนในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งมีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เปรียบเทียบภูมิทัศน์การเมืองไทย ก่อนและหลังรัฐประหาร 2557
| ประเด็น | ก่อนรัฐประหาร 2557 (ภายใต้ รธน. 2550) | หลังรัฐประหาร 2557 (ภายใต้ รธน. 2560) |
|---|---|---|
| รัฐธรรมนูญ | รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่มาจากการลงประชามติ | รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ร่างขึ้นในยุค คสช. และผ่านประชามติ |
| ที่มาของวุฒิสภา | มาจากการเลือกตั้งและสรรหาอย่างละครึ่ง | มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ทั้งหมด (ในวาระแรก) |
| อำนาจเลือกนายกฯ | เป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น | วุฒิสภา (สว.) มีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย |
| ระบบการเลือกตั้ง | ระบบคู่ขนาน แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อแยกกัน | ระบบจัดสรรปันส่วนผสม (MMP) ที่คำนวณซับซ้อน |
| สิทธิและเสรีภาพ | ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มีการชุมนุมแสดงออกได้ | ถูกจำกัดอย่างเข้มงวดด้วยประกาศ/คำสั่ง คสช. และ ม.44 |
| กรอบนโยบายรัฐบาล | กำหนดโดยพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง | ต้องดำเนินนโยบายภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี |
บทสรุปและอนาคตการเมืองไทย
สรุปแล้ว ในทางปฏิบัติและตามบรรทัดฐานของคำตัดสินในอดีตของไทย **รัฐประหาร 57 ไม่ผิด?** คำตอบในเชิงกฎหมายคือ “ไม่ผิด” เพราะการกระทำดังกล่าวได้รับการรับรองโดยอำนาจของคณะรัฐประหารเอง ซึ่งกลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม หากมองในมิติของหลักการประชาธิปไตย การยึดอำนาจถือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างสิ้นเชิง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารครั้งนี้ยังคงดำรงอยู่และมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยอย่างมีนัยสำคัญ รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้สร้างระบบนิเวศทางการเมืองที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจและลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้ง ความขัดแย้งทางความคิดที่ฝังรากลึกในสังคมยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอการแก้ไข การทำความเข้าใจเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 และผลกระทบที่ตามมาอย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ติดตามและสนใจในพลวัตของการเมืองไทย เพื่อเป็นบทเรียนและกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศต่อไป

