จับแล้ว! ‘ชนินทร์’ Stark สรุปมหากาพย์โกงหมื่นล้าน
บทสรุปมหากาพย์โกงหมื่นล้านในคดีประวัติศาสตร์ของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ได้เดินทางมาถึงจุดสำคัญอีกครั้ง หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ประสบความสำเร็จในการประสานงานกับทางการดูไบ จนนำไปสู่การจับกุมตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตประธานกรรมการและผู้บริหารคนสำคัญของบริษัท การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นความคืบหน้าครั้งใหญ่ในการดำเนินคดีที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อนักลงทุนและสั่นคลอนความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก
สรุปประเด็นสำคัญของคดี STARK
- การจับกุมผู้ต้องหาคนสำคัญ: นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตซีอีโอของ STARK ถูกจับกุมที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังหลบหนีหมายจับในคดีทุจริตทางการเงินครั้งใหญ่ และถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
- มูลค่าความเสียหายมหาศาล: คดีนี้เกี่ยวข้องกับการตกแต่งบัญชีและสร้างงบการเงินเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อนักลงทุนและเจ้าหนี้เป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 14,000–15,000 ล้านบาท
- ข้อหาหนักหลายกระทง: DSI ตั้งข้อหาหลักต่อนายชนินทร์และผู้เกี่ยวข้องรวม 6 ข้อหา ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงประชาชน การกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และการฟอกเงิน
- ผลกระทบต่อตลาดทุน: คดี STARK ถือเป็นหนึ่งในกรณีทุจริตทางบรรษัทภิบาลที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
- การปฏิเสธข้อกล่าวหา: นายชนินทร์ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่ได้หลบหนีและตั้งใจกลับมาเพื่อต่อสู้คดี พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนตัว
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ STARK Corporation
เพื่อทำความเข้าใจถึงความซับซ้อนของคดีนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปดูที่มาของบริษัท STARK ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเป้าหมายทางธุรกิจที่นำไปสู่การก่อหนี้สินจำนวนมหาศาลในเวลาต่อมา
จาก Phelps Dodge สู่ STARK
เดิมทีธุรกิจหลักของ STARK คือบริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (Phelps Dodge) ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำที่มีรากฐานจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อบริษัทแม่ประสบปัญหา กลุ่มผู้บริหารชาวไทย นำโดย นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ทายาทตระกูลสีทีโอเอ ได้เข้ามาซื้อกิจการและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
การสร้างอาณาจักรบนหนี้สิน
ภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ STARK ได้ดำเนินการระดมทุนครั้งใหญ่ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้เพื่อจำหน่ายให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เงินทุนที่ได้มาถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการและประกาศแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทที่กำลังเติบโตและมีอนาคตที่สดใส อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการเติบโตที่สวยหรูนั้น กลับซ่อนปัญหาทางการเงินที่กำลังก่อตัวขึ้น จนนำไปสู่การก่อหนี้สินรวมมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
กลโกงทางการเงินที่สั่นคลอนตลาดทุน

จุดแตกหักของ STARK เกิดขึ้นเมื่อความผิดปกติในงบการเงินของบริษัทเริ่มปรากฏสู่สาธารณะ ซึ่งเผยให้เห็นถึงการทุจริตครั้งใหญ่ที่ถูกวางแผนมาอย่างเป็นระบบ เพื่อหลอกลวงนักลงทุนและเจ้าหนี้
การตกแต่งบัญชีและงบการเงินเท็จ
แก่นแท้ของการทุจริตในคดีนี้คือ การตกแต่งบัญชี (Window Dressing) และการสร้างข้อมูลทางการเงินที่เป็นเท็จขึ้นมา ผู้บริหารกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันสร้างตัวเลขรายได้และกำไรที่สูงเกินจริง ปลอมแปลงเอกสารการซื้อขาย และบิดเบือนข้อมูลในงบการเงิน เพื่อทำให้นักลงทุนและสถาบันการเงินเชื่อว่าบริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและน่าลงทุน การกระทำดังกล่าวเป็นการจงใจให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดบนพื้นฐานของข้อมูลลวง และถือเป็นการฉ้อโกงประชาชนอย่างร้ายแรง
การบิดเบือนข้อมูลทางการเงินของ STARK ไม่เพียงแต่เป็นการปกปิดสถานะที่แท้จริงของบริษัท แต่ยังเป็นการทำลายกลไกความโปร่งใสของตลาดทุน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
มูลค่าความเสียหายและผลกระทบในวงกว้าง
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย มูลค่าความเสียหายจากกรณี STARK ถูกประเมินไว้สูงถึง 14,000–15,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนหลายหมื่นรายที่ถือหุ้นและหุ้นกู้ของบริษัท ราคาหุ้น STARK ดิ่งลงจนไร้มูลค่า และบริษัทถูกพักการซื้อขายในที่สุด นอกจากความเสียหายทางการเงินแล้ว คดียังได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อระบบการตรวจสอบและกำกับดูแลของตลาดทุนไทยอย่างรุนแรง ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและตรวจจับการทุจริตในบริษัทจดทะเบียน
ไทม์ไลน์การหลบหนีสู่การจับกุมที่ดูไบ
หลังจากการทุจริตถูกเปิดโปง นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคนสำคัญ ได้เดินทางออกนอกประเทศ ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ต้องเริ่มกระบวนการติดตามตัวเพื่อนำกลับมาดำเนินคดี
การออกหมายจับและการติดตามตัว
เมื่อ DSI รวบรวมพยานหลักฐานจนแน่ชัดว่านายชนินทร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและได้หลบหนีออกนอกราชอาณาจักร จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุมัติหมายจับ จากนั้นได้เริ่มกระบวนการติดตามตัวโดยประสานงานกับหน่วยงานตำรวจสากล (Interpol) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศเพื่อระบุแหล่งที่พักพิงของนายชนินทร์ ซึ่งในที่สุดก็พบว่าเขาพำนักอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ปฏิบัติการประสานงานรวบตัวข้ามประเทศ
การจับกุมตัวนายชนินทร์เป็นผลมาจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่าง DSI, สำนักงานอัยการสูงสุด และทางการตำรวจดูไบ หลังจากได้รับการยืนยันที่อยู่ เจ้าหน้าที่ DSI ได้เดินทางไปยังดูไบเพื่อประสานงานและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย จนกระทั่งสามารถควบคุมตัวนายชนินทร์ได้สำเร็จ และนำตัวกลับมายังประเทศไทยในวันที่ 22 มิถุนายน 2567 เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายไทยต่อไป
กระบวนการทางกฎหมายและข้อกล่าวหา
เมื่อนายชนินทร์ถูกนำตัวกลับมายังประเทศไทย เขาต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงหลายกระทง ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนและขนาดของการทุจริตที่เกิดขึ้น
| ข้อหา | คำอธิบายโดยย่อ |
|---|---|
| ฉ้อโกงประชาชน | การหลอกลวงประชาชนทั่วไปโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง |
| ฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ | กระทำการอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ และ/หรือจัดทำและเปิดเผยงบการเงินที่ไม่ถูกต้อง |
| ปลอมแปลงบันทึกบัญชี | การลงข้อความเท็จในบัญชีหรือเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้บริษัทหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ที่ควรได้ |
| การบริหารโดยประมาทเลินเล่อ | การดำเนินงานของกรรมการหรือผู้บริหารที่กระทำโดยไม่ระมัดระวังจนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย |
| การทุจริต | การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของบริษัท |
| ฟอกเงิน | การนำทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานไปกระทำการใดๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพหรือปกปิดแหล่งที่มา |
คำให้การปฏิเส-ธและข้อกังวลส่วนตัว
ในการสอบสวนเบื้องต้น นายชนินทร์ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ DSI แจ้งมา ทนายความของเขาระบุว่า นายชนินทร์ไม่ได้มีเจตนาหลบหนี แต่ต้องการเดินทางกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีการปฏิเสธข่าวลือเรื่องการโอนเงินจำนวน 8,000 ล้านบาทไปยังประเทศอังกฤษ นายชนินทร์ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนตัว โดยอ้างว่าถูกข่มขู่คุกคามจากกลุ่มผู้เสียหาย และแจ้งว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับช่องท้อง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในระหว่างการดำเนินคดีต่อไป
บทสรุปและอนาคตของคดีประวัติศาสตร์
การจับกุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ นับเป็นก้าวสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในคดีทุจริตหุ้น STARK ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีทางการเงินที่ซับซ้อนและสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คดีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและเยียวยาความเสียหายให้แก่นักลงทุน แต่ยังเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน
อนาคตของคดีนี้จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ DSI และอัยการจะนำเสนอต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาทั้งหมด 11 คน รวมถึงนายชนินทร์ด้วย ขณะเดียวกัน คดีนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการทบทวนและยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแล การตรวจสอบบัญชี และบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันซ้ำรอย และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดทุนไทยในระยะยาว การติดตามความคืบหน้าของมหากาพย์ STARK จึงยังคงเป็นสิ่งที่สังคมและแวดวงการลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป

