งบประมาณ 2569: ส่องกระทรวงไหนได้งบเยอะสุด กระทบเราไหม?
คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญที่สะท้อนทิศทางการบริหารและพัฒนาประเทศของรัฐบาลในปีถัดไป การทำความเข้าใจรายละเอียดของงบประมาณจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน
- วงเงินงบประมาณรวมปี 2569 อยู่ที่ 3.78 ล้านล้านบาท โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
- งบกลางได้รับการจัดสรรสูงสุดที่ 632,968 ล้านบาท ตามมาด้วยกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย
- งบประมาณส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นรายจ่ายประจำ ขณะที่งบลงทุนมีสัดส่วนประมาณ 22.9% เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- การจัดสรรงบประมาณในแต่ละกระทรวงส่งผลโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ตั้งแต่การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงความมั่นคงและเศรษฐกิจ
ภาพรวมงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2569: ตัวเลขและทิศทางประเทศ
การวิเคราะห์ งบประมาณ 2569: ส่องกระทรวงไหนได้งบเยอะสุด กระทบเราไหม? เป็นการทำความเข้าใจแผนการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชน ซึ่งกำหนดทิศทางของประเทศในอีกหนึ่งปีข้างหน้า โดยร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดวงเงินรวมไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่เป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือความมั่นคง
ความสำคัญของงบประมาณแผ่นดินนั้นมีผลกระทบต่อทุกคนในประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งเงินทุนหลักสำหรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ตั้งแต่การสร้างถนนหนทาง โรงเรียน โรงพยาบาล ไปจนถึงการจ่ายเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการต่างๆ การจัดสรรงบประมาณที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละกระทรวงจึงสามารถบ่งชี้ได้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นใดเป็นพิเศษในปีนั้นๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสของประชาชนโดยตรง การติดตามและทำความเข้าใจรายละเอียดของ พ.ร.บ. งบประมาณ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ
โครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ: เงินภาษีถูกนำไปใช้อะไรบ้าง?
งบประมาณรวม 3.78 ล้านล้านบาท ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในลักษณะเดียวกันทั้งหมด แต่มีการจำแนกตามประเภทของรายจ่ายอย่างชัดเจน เพื่อให้การบริหารการเงินของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส โดยโครงสร้างหลักของงบประมาณปี 2569 สามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ ดังนี้
- รายจ่ายประจำ: เป็นงบประมาณส่วนที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70.2% ของงบประมาณทั้งหมด โดยมีวงเงิน 2.65 ล้านล้านบาท รายจ่ายส่วนนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น เงินเดือน ค่าจ้างบุคลากรภาครัฐ ค่าสาธารณูปโภค ค่าวัสดุอุปกรณ์ และเงินอุดหนุนต่างๆ ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อหล่อเลี้ยงระบบราชการให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง
- รายจ่ายลงทุน: มีวงเงิน 864,077 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22.9% ของงบประมาณรวม งบส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เพราะเป็นเงินที่ใช้สำหรับโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น การก่อสร้างถนน เขื่อน ระบบขนส่งมวลชน การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดหาครุภัณฑ์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
- รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้: จัดสรรไว้ที่ 151,200 ล้านบาท (4.0%) เพื่อชำระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะที่รัฐบาลได้กู้ยืมมาในอดีต การชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือทางการคลังของประเทศ
- รายจ่ายชดใช้เงินคงคลัง: มีวงเงิน 123,541 ล้านบาท (3.3%) เป็นรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังที่ได้นำมาใช้จ่ายไปก่อนหน้านี้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นกลไกปกติในการบริหารสภาพคล่องทางการคลังของรัฐบาล
| ประเภทรายจ่าย | วงเงิน (ล้านบาท) | สัดส่วน (%) |
|---|---|---|
| รายจ่ายประจำ | 2,650,000 | 70.2% |
| รายจ่ายลงทุน | 864,077 | 22.9% |
| รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ | 151,200 | 4.0% |
| รายจ่ายชดใช้เงินคงคลัง | 123,541 | 3.3% |
เจาะลึกกระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด

เมื่อพิจารณาการจัดสรรงบประมาณรายกระทรวง จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับภารกิจด้านใดเป็นพิเศษ สำหรับปี 2569 หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 4 อันดับแรก (ไม่รวมงบกลาง) สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายหลักที่มุ่งเน้นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารราชการแผ่นดิน
| อันดับ | หน่วยงาน/กระทรวง | วงเงิน (ล้านบาท) |
|---|---|---|
| 1 | งบกลาง | 632,968 |
| 2 | กระทรวงการคลัง | 397,856 |
| 3 | กระทรวงศึกษาธิการ | 355,108 |
| 4 | กระทรวงมหาดไทย | 301,265 |
อันดับ 1: งบกลาง – งบประมาณอเนกประสงค์เพื่อขับเคลื่อนประเทศ
งบกลางยังคงเป็นรายการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงที่สุด ด้วยวงเงิน 632,968 ล้านบาท ลักษณะเด่นของงบกลางคือ ไม่ได้เป็นของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งโดยตรง แต่เป็นงบประมาณที่สำนักงบประมาณและนายกรัฐมนตรีดูแล เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วน ใช้สำหรับโครงการพิเศษที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นสูง หรือเป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีต่างๆ เช่น การรับมือภัยพิบัติ, ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของข้าราชการ, หรือเงินอุดหนุนที่ต้องจัดสรรให้กับหน่วยงานต่างๆ ในระหว่างปีงบประมาณ การมีงบกลางในสัดส่วนที่สูงช่วยให้รัฐบาลมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญได้อย่างทันท่วงที
อันดับ 2: กระทรวงการคลัง – หัวใจหลักของเศรษฐกิจไทย
กระทรวงการคลังได้รับงบประมาณ 397,856 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ งบประมาณส่วนนี้ถูกนำไปใช้ในหลายภารกิจ ตั้งแต่การบริหารหนี้สาธารณะ, การดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, การบริหารรายได้แผ่นดินผ่านกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร, ไปจนถึงการกำกับดูแลสถาบันการเงินและตลาดทุน นอกจากนี้ งบของกระทรวงการคลังยังรวมถึงเงินอุดหนุนให้กับหน่วยงานในกำกับดูแลและรัฐวิสาหกิจต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินภารกิจในการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น งบประมาณของกระทรวงการคลังจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
อันดับ 3: กระทรวงศึกษาธิการ – การลงทุนเพื่อทรัพยากรมนุษย์
ด้วยงบประมาณ 355,108 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการยังคงเป็นกระทรวงที่ได้รับความสำคัญในลำดับต้นๆ อยู่เสมอ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ งบประมาณก้อนใหญ่นี้จะถูกกระจายไปยังหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปจนถึงอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน, ปรับปรุงหลักสูตร, จัดหาอุปกรณ์และสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย, สนับสนุนโครงการอาหารกลางวัน, และพัฒนาศักยภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษา การจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาในระดับสูงจึงเป็นความหวังในการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
อันดับ 4: กระทรวงมหาดไทย – กลไกดูแลทุกข์สุขประชาชนทั่วประเทศ
กระทรวงมหาดไทยได้รับงบประมาณ 301,265 ล้านบาท เนื่องจากมีภารกิจที่กว้างขวางและครอบคลุมการดูแลประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ งบประมาณส่วนนี้ถูกใช้ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาคผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ, การสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น เทศบาลและ อบต. เพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง, การดูแลระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน, การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ บทบาทของกระทรวงมหาดไทยจึงเปรียบเสมือนกลไกหลักของภาครัฐที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ทำให้การจัดสรรงบประมาณในระดับสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึง
การเปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 2569 เทียบกับปีก่อนหน้า: สะท้อนลำดับความสำคัญของรัฐบาล
นอกจากการพิจารณาวงเงินรวมแล้ว การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของงบประมาณเมื่อเทียบกับปี 2568 ยังช่วยให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของนโยบายรัฐบาลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกระทรวงส่วนใหญ่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็มีอัตราการเพิ่มที่แตกต่างกันไป
การปรับเพิ่มงบประมาณในกระทรวงต่างๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถบ่งชี้ถึงทิศทางที่รัฐบาลกำลังมุ่งเน้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคน การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบราชการ
กระทรวงศึกษาธิการเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับการเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญถึง 14,333 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงนโยบายที่มุ่งปฏิรูปการศึกษาหรือยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนอย่างจริงจัง ขณะที่กระทรวงการคลังที่ได้งบเพิ่ม 8,197 ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทยที่ได้เพิ่ม 6,852 ล้านบาท ก็สอดคล้องกับภารกิจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน บางกระทรวง เช่น กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับการเพิ่มงบประมาณไม่ถึงหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งอาจตีความได้ว่าภารกิจเดิมยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีโครงการขนาดใหญ่ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในปีงบประมาณนี้
ผลกระทบของงบประมาณ 2569 ต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่สำคัญที่สุดคือ งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชนนั้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไร การจัดสรรงบประมาณในแต่ละด้านล้วนมีความเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของทุกคนโดยตรง
ด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิต
งบประมาณที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อครอบครัวที่มีบุตรหลานในวัยเรียน งบที่เพิ่มขึ้นอาจหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัยขึ้น, โครงการพัฒนาทักษะใหม่ๆ, การปรับปรุงอาคารสถานที่, หรือการเพิ่มจำนวนครูในโรงเรียนที่ขาดแคลน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและอนาคตของเยาวชนไทยโดยตรง นอกจากนี้ งบประมาณในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข (แม้ไม่ได้อยู่ใน 4 อันดับแรก) ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงยาและบริการทางการแพทย์ของประชาชนทุกคน
ด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน
รายจ่ายลงทุนกว่า 8.6 แสนล้านบาท คือหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย งบประมาณส่วนนี้จะถูกใช้ในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เช่น การขยายโครงข่ายรถไฟฟ้า, การสร้างถนนและมอเตอร์เวย์, การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ยังก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมหาศาลในภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลดีต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง
ด้านความมั่นคงและบริการสาธารณะ
งบประมาณของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ มีผลต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยตรง รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ นอกจากนี้ งบประมาณที่กระจายไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาชุมชน เช่น การสร้างสวนสาธารณะ, การปรับปรุงตลาด, การจัดการขยะ, และการซ่อมแซมถนนในหมู่บ้าน ซึ่งล้วนเป็นบริการสาธารณะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระดับท้องถิ่นอย่างแท้จริง
บทสรุป: ทิศทางประเทศไทยผ่านตัวเลขงบประมาณ 2569
ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่มีวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท ได้ฉายภาพทิศทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน โดยรัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการศึกษาเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์, การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจผ่านกระทรวงการคลัง, และการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึงผ่านกลไกของกระทรวงมหาดไทย การจัดสรรงบประมาณนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับประชาชน การทำความเข้าใจรายละเอียดของงบประมาณคือการตระหนักว่าเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปใช้อย่างไรและจะส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างไรในอนาคต การติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐตลอดทั้งปีจึงเป็นหน้าที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเม็ดเงินมหาศาลนี้จะถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

