น้ำท่วมกรุงเทพฯ 2568: เช็คพื้นที่เสี่ยง-วิธีรับมือด่วน!
สถานการณ์น้ำในประเทศไทยเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่เสี่ยงและแนวทางการรับมือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ 2568
- ความเสี่ยงสูงสุดช่วงปลายปี: คาดการณ์ว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 จะเป็นช่วงที่น่ากังวลที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งอาจทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- สถานการณ์น้ำในเขื่อนน่าจับตา: ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีระดับน้ำสะสมสูงใกล้เคียงกับปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่
- พื้นที่นอกคันกั้นน้ำมีความเปราะบาง: ชุมชนและถนนที่ตั้งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำหลักของกรุงเทพมหานคร ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมโดยตรง
- ปัจจัยซ้อนทับเพิ่มความรุนแรง: ความเสี่ยงจะทวีความรุนแรงขึ้นหากปัจจัยต่างๆ เช่น ฝนตกหนัก น้ำเหนือไหลหลาก และน้ำทะเลหนุน เกิดขึ้นพร้อมกัน
- การเตรียมพร้อมเชิงรุกคือสิ่งจำเป็น: การติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และการเตรียมความพร้อมรับมือล่วงหน้า เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายได้
บทวิเคราะห์สถานการณ์ น้ำท่วมกรุงเทพฯ 2568: เช็คพื้นที่เสี่ยง-วิธีรับมือด่วน! ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยประกอบหลายด้าน ทั้งจากปริมาณน้ำฝนที่อาจตกหนักต่อเนื่อง, มวลน้ำเหนือจากเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีปริมาณสูง, และปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะรุนแรงเป็นพิเศษ ปัจจัยเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล บทความนี้จึงมุ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พร้อมทั้งแนวทางการเตรียมความพร้อมและวิธีรับมืออย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถวางแผนและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแจ้งเตือนภัย แต่ยังรวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมการป้องกันได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความแข็งแรงของแนวป้องกันน้ำท่วม การเตรียมแผนอพยพสำหรับชุมชนเสี่ยง หรือการเตรียมสิ่งของจำเป็นในภาวะฉุกเฉิน การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงและพื้นที่เปราะบางจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยในปี 2568 นี้
เจาะลึกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่

สถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพมหานครเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของปัจจัยทางธรรมชาติหลายประการ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงและคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น สำหรับปี 2568 มีปัจจัยหลักที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ 3 ประการด้วยกัน
ปริมาณน้ำฝนและอิทธิพลของพายุ
ปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยตรงถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุดที่มีผลต่อการระบายน้ำ หากมีฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้ระบบระบายน้ำของเมืองทำงานเกินขีดความสามารถและเกิดภาวะน้ำท่วมขังรอการระบายได้ นอกจากนี้ อิทธิพลของพายุหมุนเขตร้อนที่อาจพัดผ่านประเทศไทยในช่วงฤดูฝน ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถเพิ่มปริมาณฝนให้สูงขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้นไปอีก กรมอุตุนิยมวิทยาจึงมีการติดตามและพยากรณ์เส้นทางพายุอย่างใกล้ชิด เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมรับมือได้ล่วงหน้า
ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา
มวลน้ำจากภาคเหนือที่ไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ โดยปริมาณน้ำดังกล่าวจะถูกควบคุมและบริหารจัดการผ่านเขื่อนขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนภูมิพล (จังหวัดตาก) และเขื่อนสิริกิติ์ (จังหวัดอุตรดิตถ์) รวมถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (จังหวัดลพบุรี) ซึ่งทำหน้าที่รับน้ำจากลุ่มน้ำป่าสัก ข้อมูล ณ กลางปี 2567 พบว่าปริมาณน้ำสะสมในเขื่อนเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์สูง เทียบเท่ากับสถานการณ์ในปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ การที่เขื่อนมีปริมาณน้ำเก็บกักสูงหมายความว่าความสามารถในการรองรับน้ำฝนใหม่ที่จะตกลงมาเพิ่มเติมมีจำกัด ทำให้มีความจำเป็นต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมวลน้ำที่ระบายออกมานี้จะเดินทางลงมาสู่พื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครในที่สุด
ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง
ปัจจัยสุดท้ายซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ คือปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุน โดยปกติแล้วแม่น้ำเจ้าพระยาจะไหลระบายน้ำออกสู่ทะเลที่อ่าวไทย แต่ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง อิทธิพลของน้ำทะเลจะดันกลับเข้ามาในแม่น้ำ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างสูงขึ้นและบีบให้การระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบนทำได้ช้าลงอย่างมาก สำหรับปี 2568 มีการคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ระดับน้ำทะเลหนุนอาจสูงถึง 2 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ หากช่วงเวลาดังกล่าวประจวบเหมาะกับช่วงที่มีมวลน้ำเหนือไหลหลากลงมาพร้อมกัน จะทำให้เกิดภาวะ “คอขวด” ในการระบายน้ำ และเสี่ยงต่อการเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำอย่างรุนแรง
เปิดพิกัดพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานคร
แม้กรุงเทพมหานครจะมีระบบป้องกันน้ำท่วมที่ประกอบด้วยแนวคันกั้นน้ำและสถานีสูบน้ำ แต่ก็ยังมีพื้นที่บางส่วนที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงกว่าพื้นที่อื่น การระบุพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยและผู้ประกอบการสามารถเตรียมการป้องกันได้อย่างตรงจุด
กลุ่มเสี่ยงสูงสุด: ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ
พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือชุมชนและบ้านเรือนที่ตั้งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำถาวรริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่เหล่านี้จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้น โดยไม่มีปราการป้องกันใดๆ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่เรียกว่า “จุดฟันหลอ” ซึ่งเป็นช่องว่างหรือบริเวณที่แนวคันกั้นน้ำไม่ต่อเนื่องหรือมีสภาพชำรุด ทำให้เป็นจุดอ่อนที่น้ำสามารถไหลทะลักเข้ามาได้เมื่อระดับน้ำสูงถึงเกณฑ์วิกฤต
พื้นที่เสี่ยงในกลุ่มนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:
- ย่านพระราม 3: ตลอดแนวถนนพระราม 3 ที่ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนและสถานประกอบการจำนวนมากที่ตั้งอยู่ใกล้ริมน้ำ
- ย่านทรงวาด-ตลาดน้อย: เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมน้ำที่มีบ้านเรือนและอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำโดยตรง
- ย่านสามเสน: บริเวณถนนสามเสนบางช่วง โดยเฉพาะใกล้กับท่าเรือและชุมชนริมน้ำ
- ย่านซังฮี้: พื้นที่ใกล้เคียงสะพานกรุงธน (ซังฮี้) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีชุมชนพักอาศัยหนาแน่นริมแม่น้ำ
ถนนสายหลักที่มีประวัติน้ำท่วมขัง
นอกเหนือจากพื้นที่ริมแม่น้ำแล้ว ถนนสายหลักหลายสายในกรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและมักประสบปัญหาน้ำท่วมขังซ้ำซากเมื่อมีฝนตกหนัก แม้ว่าข้อมูลจากระบบตรวจวัดระดับน้ำท่วมถนนของกรุงเทพมหานคร ณ ปลายปี 2567 จะแสดงสถานะปกติที่ระดับ 0.0 เมตร แต่ถนนเหล่านี้ยังคงเป็นพื้นที่ที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่องในปี 2568 เนื่องจากเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญและมีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
ถนนสายหลักที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่:
- ถนนเอกชัย
- ถนนพหลโยธิน (โดยเฉพาะบริเวณวงเวียนบางเขนและแยกเกษตร)
- ถนนเพชรเกษม
- ถนนลาดพร้าว (โดยเฉพาะช่วงโชคชัย 4 ถึงแยกรัชดา-ลาดพร้าว)
- ถนนศรีนครินทร์
- ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล
- ถนนสุขุมวิท (โดยเฉพาะบริเวณซอยย่อยและพื้นที่ต่ำ)
- ถนนพัฒนาการ
แนวทางเตรียมความพร้อมและรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบเป็นหัวใจสำคัญในการลดความสูญเสียและผลกระทบจากอุทกภัย ทุกภาคส่วนตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐ จำเป็นต้องมีแผนการรับมือที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้จริง
| ภาคส่วน | การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า | การปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ |
|---|---|---|
| ประชาชนทั่วไป | ติดตามข่าวสาร, เตรียมชุดยังชีพฉุกเฉิน, ขนย้ายของขึ้นที่สูง, จัดเก็บเอกสารสำคัญในที่ปลอดภัย | อพยพไปยังศูนย์พักพิงที่ปลอดภัยเมื่อมีประกาศ, งดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า, ติดตามประกาศจากทางการ |
| ชุมชนในพื้นที่เสี่ยง | จัดทำแนวป้องกันน้ำชั่วคราว (กระสอบทราย), จัดเวรยามเฝ้าระวังระดับน้ำ, ซักซ้อมแผนอพยพ | ช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง, ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น, แจ้งเตือนสถานการณ์ในชุมชน |
| หน่วยงานภาครัฐ | ตรวจสอบและซ่อมแซมคันกั้นน้ำ, พร่องน้ำในคลอง, เตรียมเครื่องสูบน้ำ, จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ | ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย, จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว, ประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและต่อเนื่อง |
การเตรียมความพร้อมสำหรับประชาชนทั่วไป
สำหรับระดับครัวเรือน การเตรียมตัวล่วงหน้าสามารถทำได้ดังนี้:
- จัดเตรียมชุดยังชีพฉุกเฉิน: ควรมีน้ำดื่มสะอาด, อาหารแห้งที่เก็บได้นาน, ยารักษาโรคประจำตัว, ชุดปฐมพยาบาล, ไฟฉายพร้อมถ่าน, วิทยุพกพา, และแบตเตอรี่สำรองสำหรับโทรศัพท์มือถือ
- ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง: ควรย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, และของมีค่าอื่นๆ ขึ้นไปไว้บนชั้นสองของบ้านหรือที่สูงพ้นจากระดับน้ำที่คาดว่าจะท่วมถึง
- ป้องกันเอกสารสำคัญ: นำเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, โฉนดที่ดิน, และสมุดบัญชีธนาคาร ใส่ในซองพลาสติกกันน้ำและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้า: เรียนรู้วิธีการตัดสวิตช์ไฟหลักของบ้าน (คัทเอาท์) เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรเมื่อน้ำท่วม
ข้อควรปฏิบัติสำหรับชุมชนในพื้นที่เสี่ยง
ความร่วมมือภายในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ชุมชนควรมีการรวมกลุ่มเพื่อวางแผนและดำเนินการป้องกัน เช่น การจัดทำแนวป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวโดยใช้กระสอบทราย, การจัดตั้งทีมอาสาสมัครเพื่อเฝ้าระวังระดับน้ำและแจ้งเตือนภัย, และที่สำคัญคือการจัดทำแผนอพยพที่ชัดเจน โดยระบุเส้นทางและสถานที่ปลอดภัยสำหรับสมาชิกในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก, ผู้สูงอายุ, และผู้ป่วยติดเตียง
บทบาทของหน่วยงานภาครัฐในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมชลประทาน มีบทบาทสำคัญในการเตรียมการเชิงโครงสร้าง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและซ่อมบำรุงแนวคันกั้นน้ำถาวรให้มีความมั่นคงแข็งแรง, การขุดลอกคูคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ, และการเตรียมความพร้อมของสถานีสูบน้ำและเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ให้สามารถใช้งานได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ นอกจากนี้ การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและปฏิบัติตามคำแนะนำได้อย่างถูกต้อง
การติดตามสถานการณ์และข้อมูลล่าสุด
ในยุคดิจิทัล การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับภัยพิบัติ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำได้จากหลายช่องทาง โดยควรเลือกรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวปลอมที่อาจสร้างความสับสนและตื่นตระหนก
หนึ่งในเครื่องมือที่มีประโยชน์คือแอปพลิเคชัน ThaiWater ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) แอปพลิเคชันนี้รวบรวมข้อมูลสำคัญไว้อย่างครบวงจร ทำให้ผู้ใช้สามารถ:
- ติดตามสถานการณ์ฝน: ตรวจสอบกลุ่มเมฆฝนและคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้าได้แบบเรียลไทม์
- ตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำและคลอง: ดูข้อมูลระดับน้ำจากสถานีวัดน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงในเขตกรุงเทพฯ
- ตรวจสอบสถานะเขื่อน: ติดตามปริมาณน้ำไหลเข้า-ออก และปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนสำคัญทั่วประเทศ
รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำปี 2568 ชี้ว่าระดับน้ำในเขื่อนหลักและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นมีความรุนแรงเทียบเท่าปี 2554 การเตรียมพร้อมรับมืออย่างรัดกุมจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้
การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวประกอบกับการติดตามประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์ป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพมหานคร จะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเตรียมการรับมือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
บทสรุป: การเตรียมความพร้อมคือกุญแจสำคัญ
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ น้ำท่วมกรุงเทพฯ 2568 มีแนวโน้มความเสี่ยงสูง โดยมีปัจจัยซ้อนทับหลายประการที่อาจนำไปสู่การเกิดอุทกภัยรุนแรงได้ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะมีปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่อยู่ในระดับสูงเทียบเท่าปี 2554 พื้นที่เสี่ยงสำคัญยังคงเป็นชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและถนนสายหลักที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้นี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนก แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและหันมาให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน ตั้งแต่การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ การเตรียมความพร้อมในระดับครัวเรือน การวางแผนป้องกันในระดับชุมชน ไปจนถึงการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของภาครัฐ การวางแผนที่ดีและการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

