วันปลอดรถ กทม. 68: ปิดถนนไหนบ้าง-เดินทางยังไง?
- สรุปข้อมูลสำคัญสำหรับวันปลอดรถกรุงเทพ 2568
- ทำความรู้จัก Bangkok Car Free Day 2025: ความสำคัญและเป้าหมาย
- การปิดถนนและเส้นทางที่ได้รับผลกระทบในวันปลอดรถ กทม. 68
- วางแผนการเดินทางในกรุงเทพฯ: ตัวเลือกการเดินทางสาธารณะ
- ประโยชน์ของการเข้าร่วมวันปลอดรถและผลกระทบเชิงบวก
- ข้อควรรู้และคำแนะนำสำหรับประชาชน
- บทสรุป: ร่วมสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กิจกรรม “วันปลอดรถ” หรือ Car Free Day เป็นการรณรงค์ระดับโลกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือการเดินทางรูปแบบอื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สำหรับกรุงเทพมหานคร กิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหามลพิษและการจราจรที่หนาแน่น
สรุปข้อมูลสำคัญสำหรับวันปลอดรถกรุงเทพ 2568
- วันจัดกิจกรรม: วันที่ 22 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันเดียวกับการรณรงค์ทั่วโลก
- เป้าหมายหลัก: รณรงค์ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและการจราจรติดขัด พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเมือง
- แนวคิดการรณรงค์: “เดินสะดวก ปั่นสบาย เชื่อมต่อล้อ ราง เรือ” เน้นการเดินทางที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
- การปิดถนน: ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่มีการประกาศรายชื่อถนนที่จะปิดการจราจรอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองหรือบริเวณที่มีการจัดกิจกรรมหลัก
- การเดินทางที่แนะนำ: ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะเป็นหลัก เช่น รถไฟฟ้า BTS, รถไฟฟ้ามหานคร MRT, เรือโดยสาร และใช้จักรยานหรือการเดินเพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง
บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ วันปลอดรถ กทม. 68: ปิดถนนไหนบ้าง-เดินทางยังไง? เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางและมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยจะครอบคลุมถึงที่มาของโครงการ แนวทางการเดินทางทางเลือก และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเมืองในระยะยาว
ทำความรู้จัก Bangkok Car Free Day 2025: ความสำคัญและเป้าหมาย
Bangkok Car Free Day ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วันงดใช้รถ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการขับเคลื่อนเมืองไปสู่ความยั่งยืน การทำความเข้าใจที่มาและเป้าหมายของกิจกรรมจะช่วยให้เห็นภาพความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
ที่มาของวันปลอดรถโลก (World Car Free Day)
วันปลอดรถโลกมีจุดเริ่มต้นมาจากการตระหนักถึงผลกระทบของการใช้รถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ และปัญหาทางสังคม เช่น การจราจรติดขัด อุบัติเหตุ และการบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนเมือง การรณรงค์นี้จึงเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนได้ทดลองใช้ชีวิตโดยพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง และหันมาสำรวจทางเลือกในการเดินทางรูปแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่
กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีปัญหาการจราจรติดขัดรุนแรงที่สุดในโลก ได้เข้าร่วมการรณรงค์นี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น การจัดกิจกรรมในแต่ละปีจึงไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงวันเดียว แต่ต้องการสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางในระยะยาว
แนวคิดหลักประจำปี 2568: “เดินสะดวก ปั่นสบาย เชื่อมต่อล้อ ราง เรือ”
แนวคิดนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของกรุงเทพมหานครในการพัฒนาระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงและเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน โดยแต่ละองค์ประกอบมีความหมายดังนี้:
- เดินสะดวก: ส่งเสริมการพัฒนาทางเท้าที่กว้างขวาง ปลอดภัย และมีสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อให้การเดินเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางในระยะใกล้
- ปั่นสบาย: สนับสนุนการใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง โดยการพัฒนาเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัยและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ
- เชื่อมต่อล้อ ราง เรือ: เน้นการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารประจำทาง (ล้อ), ระบบรถไฟฟ้า (ราง), และเรือโดยสาร (เรือ) ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่น เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางจากต้นทางไปยังปลายทางได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว
วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมในกรุงเทพมหานคร
การจัดงาน Bangkok Car Free Day 2025 มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนหลายประการ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลดีต่อเมืองและผู้อยู่อาศัย:
- ลดมลพิษทางอากาศ: การลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนแม้เพียงหนึ่งวัน สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นละออง PM2.5 ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยให้อากาศในเมืองสะอาดขึ้น
- บรรเทาปัญหาการจราจร: เปิดโอกาสให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองที่รถไม่ติด และกระตุ้นให้เกิดการพิจารณาถึงแนวทางการจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
- ส่งเสริมสุขภาพของประชาชน: การเดินและปั่นจักรยานที่เพิ่มขึ้น เป็นการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมและช่วยลดความเครียดจากการขับรถ
- สร้างความตระหนักรู้: เป็นเวทีในการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการเดินทางอย่างยั่งยืน และทางเลือกต่าง ๆ ที่เมืองได้จัดเตรียมไว้ให้
การปิดถนนและเส้นทางที่ได้รับผลกระทบในวันปลอดรถ กทม. 68

หนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนคือเส้นทางที่จะมีการปิดการจราจร เพื่อให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในส่วนนี้จำเป็นต้องอาศัยการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการปิดการจราจร
ณ วันที่ 18 กันยายน 2568 ยังไม่มีการประกาศรายชื่อถนนที่จะทำการปิดการจราจรสำหรับกิจกรรม “วันปลอดรถ กทม. 68” อย่างเป็นทางการ โดยปกติแล้ว กรุงเทพมหานครจะประกาศข้อมูลดังกล่าวในช่วงเวลาที่ใกล้กับวันจัดกิจกรรม เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด
ประชาชนจึงควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อรับทราบข้อมูลที่แน่นอนและหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการเดินทาง
พื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปิดถนน: วิเคราะห์จากปีก่อนๆ
แม้จะยังไม่มีการยืนยัน แต่จากการจัดกิจกรรมในปีที่ผ่าน ๆ มา สามารถคาดการณ์พื้นที่ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบหรือถูกใช้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมหลักได้ ดังนี้:
- ย่านเมืองเก่าและพื้นที่ประวัติศาสตร์: บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เช่น ถนนราชดำเนิน หรือถนนหน้าพระลาน มักถูกเลือกให้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมหลัก เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ และสามารถจัดกิจกรรมเดินหรือปั่นจักรยานได้อย่างปลอดภัย
- ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD): พื้นที่อย่างสีลม สาทร หรือสุขุมวิท อาจมีการปิดถนนบางสายเพื่อรณรงค์ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกเมื่อปริมาณรถยนต์ลดลงในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น
- พื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมพิเศษ: อาจมีการปิดถนนในบริเวณที่มีการจัดงานอีเวนต์ คอนเสิร์ต หรือนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับวันปลอดรถโดยเฉพาะ
ข้อควรจำ: การคาดการณ์นี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากแนวโน้มในอดีต ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับการยืนยัน
ช่องทางการติดตามข้อมูลที่เป็นทางการ
เพื่อความถูกต้องของข้อมูล ประชาชนควรติดตามประกาศจากช่องทางต่อไปนี้ในช่วงใกล้วันที่ 22 กันยายน:
- เว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ของกรุงเทพมหานคร (BMA)
- สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.)
- สถานีวิทยุของตำรวจจราจร เช่น จส.100 และ สวพ.FM91
- สื่อมวลชนชั้นนำที่นำเสนอข่าวสารด้านการคมนาคม
วางแผนการเดินทางในกรุงเทพฯ: ตัวเลือกการเดินทางสาธารณะ
ในวันปลอดรถ การใช้ระบบขนส่งสาธารณะคือทางเลือกที่ดีที่สุด กรุงเทพฯ มีระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการเดินทางในพื้นที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ระบบรถไฟฟ้า (BTS และ MRT): หัวใจของการเดินทาง
รถไฟฟ้าถือเป็นแกนหลักของการเดินทางในกรุงเทพฯ เนื่องจากมีความรวดเร็ว ตรงต่อเวลา และมีโครงข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ ทั้งย่านที่อยู่อาศัย แหล่งทำงาน และสถานที่ท่องเที่ยว
- รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS): ประกอบด้วยสายสีเขียวอ่อน (สุขุมวิท) และสายสีเขียวเข้ม (สีลม) ซึ่งวิ่งผ่านใจกลางเมืองและเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ
- รถไฟฟ้ามหานคร (MRT): มีหลายสาย เช่น สายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเส้นทางวงแหวนรอบใจกลางกรุงเทพฯ และสายสีม่วงที่เชื่อมต่อพื้นที่ชานเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเข้าสู่ใจกลางเมือง
ในวันปลอดรถ อาจมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษหรือเพิ่มความถี่ในการให้บริการเพื่อรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ควรตรวจสอบประกาศจากผู้ให้บริการโดยตรง
การเดินทางทางน้ำ: เรือโดยสาร
กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงในฐานะ “เวนิสตะวันออก” และการเดินทางทางน้ำยังคงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการจราจรบนถนน
- เรือด่วนเจ้าพระยา: ให้บริการในแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่นนทบุรีทางตอนเหนือและราษฎร์บูรณะทางตอนใต้ โดยมีท่าเรือสำคัญที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า เช่น ท่าเรือสาทร (เชื่อมต่อ BTS สะพานตากสิน)
- เรือโดยสารคลองแสนแสบ: เป็นเส้นทางลัดที่รวดเร็วสำหรับการเดินทางในแนวตะวันออก-ตะวันตก ตัดผ่านใจกลางเมือง ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางได้อย่างมาก
ระบบรถโดยสารประจำทาง
รถโดยสารประจำทาง หรือรถเมล์ เป็นระบบขนส่งที่มีโครงข่ายครอบคลุมมากที่สุด เข้าถึงได้ทุกตรอกซอกซอย ปัจจุบันมีการพัฒนารถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของวันปลอดรถ
การเดินทางเชื่อมต่อ (First Mile – Last Mile)
เพื่อให้การเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวสมบูรณ์แบบ การเดินทางเชื่อมต่อจากบ้านไปยังสถานีขนส่งสาธารณะ (First Mile) และจากสถานีไปยังจุดหมายปลายทาง (Last Mile) เป็นสิ่งสำคัญ
- จักรยาน: เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการเดินทางในระยะสั้น ๆ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลายสถานีรถไฟฟ้ามีที่จอดจักรยานให้บริการ
- การเดิน: หากระยะทางไม่ไกลเกินไป การเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสำรวจเมืองและยังได้ออกกำลังกายไปในตัว
- รถจักรยานยนต์รับจ้าง: เป็นทางเลือกที่รวดเร็วสำหรับระยะทางสั้น ๆ และสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ระบบขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง
| รูปแบบการเดินทาง | ข้อดี | ข้อควรพิจารณา |
|---|---|---|
| รถไฟฟ้า (BTS/MRT) | รวดเร็ว, ตรงเวลา, สะอาด, ปลอดภัย, ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเมือง | อาจมีผู้ใช้บริการหนาแน่นเป็นพิเศษ, ค่าโดยสารสูงกว่ารูปแบบอื่น |
| เรือโดยสาร | หลีกเลี่ยงการจราจรทางบกได้สมบูรณ์, ประหยัดเวลา, ได้ชมทิวทัศน์ | เส้นทางจำกัดเฉพาะริมแม่น้ำและคลอง, อาจต้องเผชิญสภาพอากาศ |
| รถโดยสารประจำทาง | โครงข่ายครอบคลุมมากที่สุด, ค่าโดยสารประหยัด, เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ | ความไม่แน่นอนของเวลาเดินทางเนื่องจากการจราจร, ความสะดวกสบายอาจน้อยกว่า |
| จักรยาน/การเดิน | เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด, ดีต่อสุขภาพ, ไม่มีค่าใช้จ่าย | เหมาะกับระยะทางสั้น, ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความปลอดภัยของเส้นทาง |
ประโยชน์ของการเข้าร่วมวันปลอดรถและผลกระทบเชิงบวก
การเข้าร่วมกิจกรรมวันปลอดรถให้ประโยชน์มากกว่าแค่การลดจำนวนรถยนต์บนถนน แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ
ต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพอากาศ
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการปรับปรุงคุณภาพอากาศ การลดการใช้รถยนต์สันดาปภายในช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น PM2.5, คาร์บอนมอนอกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ แม้จะเป็นเพียงหนึ่งวัน แต่ก็ช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเดินทางและปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
การเปลี่ยนจากการนั่งขับรถมาเป็นการเดินหรือปั่นจักรยานมากขึ้นเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง (Active Lifestyle) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) นอกจากนี้ การลดความเครียดจากการเผชิญปัญหารถติดและการหาที่จอดยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอีกด้วย
ต่อเศรษฐกิจและสังคมเมือง
วันปลอดรถเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มีปฏิสัมพันธ์กับเมืองในมุมมองที่แตกต่างออกไป การเดินเท้าทำให้ผู้คนสามารถสังเกตเห็นร้านค้าและธุรกิจขนาดเล็กในชุมชนได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้กำหนดนโยบายให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนในการมีพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพและระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ
ข้อควรรู้และคำแนะนำสำหรับประชาชน
เพื่อให้การเข้าร่วมกิจกรรมวันปลอดรถเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด ควรมีการเตรียมตัวและวางแผนล่วงหน้า
- วางแผนเส้นทางล่วงหน้า: ตรวจสอบเส้นทางและตารางเวลาของระบบขนส่งสาธารณะที่จะใช้บริการ โดยใช้แอปพลิเคชันวางแผนการเดินทางหรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ
- เผื่อเวลาเดินทาง: แม้จะใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ในวันดังกล่าวอาจมีผู้ใช้บริการมากกว่าปกติ ควรเผื่อเวลาเดินทางให้มากขึ้นกว่าเดิม
- เตรียมบัตรโดยสาร: เตรียมบัตรโดยสารแบบเติมเงิน เช่น บัตรแรบบิท หรือบัตร MRT Plus เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง
- แต่งกายให้เหมาะสม: สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายและระบายอากาศได้ดี พร้อมรองเท้าที่เหมาะกับการเดิน
- เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น: ควรพกพาน้ำดื่ม, ร่ม หรือหมวกเพื่อป้องกันสภาพอากาศ และหน้ากากอนามัยหากจำเป็น
บทสรุป: ร่วมสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
วันปลอดรถ กทม. 68 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 22 กันยายน 2568 ถือเป็นโอกาสอันดีที่ชาวกรุงเทพฯ ทุกคนจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเมืองให้ดีขึ้น แม้ข้อมูลการปิดถนนจะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่หัวใจสำคัญของกิจกรรมคือการส่งเสริมให้ทุกคนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า BTS, MRT, เรือโดยสาร, หรือรถเมล์ ควบคู่ไปกับการเดินและปั่นจักรยานตามแนวคิด “เดินสะดวก ปั่นสบาย เชื่อมต่อล้อ ราง เรือ”
การสละความสะดวกสบายจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพียงหนึ่งวัน ไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหามลพิษและการจราจรได้ชั่วคราว แต่ยังเป็นการจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางในระยะยาว และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบคมนาคมที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนในอนาคต ขอเชิญชวนให้ทุกคนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการ และร่วมกันทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับคนทุกรุ่นต่อไป

