Shopping cart

ประชุมสุดยอดอาเซียน 2568: ไทยชูประเด็นอะไรบ้าง?

สารบัญ

การประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาคที่กำหนดทิศทางความร่วมมือในหลากหลายมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงความมั่นคง สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน 2568: ไทยชูประเด็นอะไรบ้าง? คำถามนี้สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการกำหนดวาระและผลักดันประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งประเทศและประชาคมอาเซียนโดยรวม ท่ามกลางภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยได้เตรียมนำเสนอแนวทางที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในและการขยายความร่วมมือสู่ภายนอก เพื่อรับมือกับความท้าทายและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ร่วมกัน

ประเด็นสำคัญที่คาดว่าไทยจะผลักดันในเวทีอาเซียน

  • การเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของอาเซียน (ASEAN Unity): ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการรักษาความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียน เพื่อให้ภูมิภาคมีเสียงที่แข็งแกร่งและสามารถรับมือกับความท้าทายจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเชิงรุก: การขยายความร่วมมือกับคู่ค้านอกภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) และจีน เป็นวาระสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
  • การพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม: การผลักดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ให้เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาภูมิภาค สอดคล้องกับหัวข้อหลักของการประชุมที่เน้นความยั่งยืนและการมีส่วนร่วม
  • การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน: การให้ความสำคัญกับการหารือร่วมกับตัวแทนจากสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA), สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) และกลุ่มเยาวชน เพื่อให้การกำหนดนโยบายสะท้อนความต้องการอย่างรอบด้าน
  • การกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี: การใช้เวทีการประชุมสุดยอดเป็นโอกาสในการเจรจาทวิภาคีกับผู้นำประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ภาพรวมและความสำคัญของการประชุมสุดยอดอาเซียน

การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) คือการประชุมระดับสูงสุดของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นเวทีสำหรับผู้นำของประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ในการหารือและตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบาย ประเด็นปัญหา และความร่วมมือในทุกมิติของประชาคมอาเซียน ทั้งเสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม เวทีนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และสันติภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับปี 2568 ซึ่งจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ถือเป็นช่วงเวลาที่ภูมิภาคกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ดังนั้น การประชุมในปีนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในภูมิภาคและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมีหัวข้อหลักที่ครอบคลุมถึง “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability)

บทบาทของประเทศไทยในเวทีนี้มีความสำคัญในฐานะหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งและเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาค ท่าทีและข้อเสนอของไทยจึงได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยนโยบายต่างประเทศของไทยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลและความร่วมมือกับทุกฝ่าย การประชุมสุดยอดอาเซียน 2568 จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์และผลักดันวาระที่จะนำไปสู่ประโยชน์สุขร่วมกันของประชาชนในภูมิภาค

วาระหลักของไทย: การขับเคลื่อน ‘เอกภาพอาเซียน’ ท่ามกลางความท้าทาย

หนึ่งในประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดและคาดว่าจะผลักดันอย่างแข็งขันในการประชุมสุดยอดอาเซียน 2568 คือการเสริมสร้าง “ความเป็นเอกภาพของอาเซียน” (ASEAN Unity) แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญของความอยู่รอดและความก้าวหน้าของประชาคมอาเซียนมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบันกลับทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกและความท้าทายภายในที่ซับซ้อน

นิยามและความสำคัญของความเป็นเอกภาพในมิติอาเซียน

ความเป็นเอกภาพของอาเซียนไม่ได้หมายถึงการที่ทุกประเทศสมาชิกจะต้องมีความคิดเห็นตรงกันในทุกเรื่อง แต่หมายถึงความสามารถในการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วม แม้จะมีความแตกต่างทางด้านผลประโยชน์และมุมมองก็ตาม หัวใจหลักคือการยึดมั่นใน “วิถีอาเซียน” (ASEAN Way) ซึ่งเน้นการปรึกษาหารือ การสร้างฉันทามติ และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน

ความสำคัญของเอกภาพปรากฏชัดเจนเมื่ออาเซียนต้องเจรจาต่อรองกับประเทศมหาอำนาจหรือกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ การมีเสียงเดียว (One Voice) ทำให้อาเซียนมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นและสามารถปกป้องผลประโยชน์ของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เอกภาพยังเป็นรากฐานสำคัญของความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) ในสถาปัตยกรรมความมั่นคงและเศรษฐกิจของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก หากอาเซียนแตกแยก ก็จะเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้ามามีอิทธิพลและสร้างความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น

บริบทความท้าทายระดับโลกที่อาเซียนต้องเผชิญ

ปัจจุบัน อาเซียนกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ทดสอบความเป็นเอกภาพอย่างหนักหน่วง:

  • การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนได้สร้างแรงกดดันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเลือกข้าง ซึ่งขัดต่อหลักการความเป็นกลางและการสร้างสมดุลของอาเซียน
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจ: สงครามการค้า ภาวะเงินเฟ้อ และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศในภูมิภาค ทำให้ต้องหาแนวทางรับมือร่วมกัน
  • ประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค: สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาและข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ประเทศสมาชิก
  • ความท้าทายข้ามชาติ: ปัญหาเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และโรคระบาด ต้องการความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์ของไทยในการส่งเสริมความร่วมมือที่แข็งแกร่ง

ในฐานะสมาชิกที่แข็งขัน ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ประสานงานและสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ภายในอาเซียน กลยุทธ์ที่ไทยจะนำเสนอในการประชุมสุดยอดอาเซียน 2568 เพื่อเสริมสร้างเอกภาพ อาจครอบคลุมแนวทางต่อไปนี้:

  1. การส่งเสริมการหารืออย่างเปิดอก: สนับสนุนให้มีเวทีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ระหว่างผู้นำ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างตรงไปตรงมาและสร้างความไว้วางใจ
  2. การเน้นย้ำผลประโยชน์ร่วม: ผลักดันโครงการความร่วมมือที่ทุกประเทศสมาชิกได้รับประโยชน์ร่วมกัน เช่น การพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงอาเซียน (ASEAN Connectivity) การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสร้างเป้าหมายร่วมที่ดึงทุกฝ่ายเข้าหากัน
  3. การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับภาคีภายนอก: สนับสนุนให้อาเซียนมีความสัมพันธ์ที่สมดุลกับประเทศคู่เจรจาทุกฝ่าย ไม่เอนเอียงไปทางมหาอำนาจใดอำนาจหนึ่ง เพื่อรักษาความเป็นกลางและบทบาทแกนกลางของอาเซียน

การรักษาความเป็นเอกภาพในอาเซียน ไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต่อความอยู่รอดและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคในระยะยาว

มิติเศรษฐกิจ: การขยายความร่วมมือและโมเดล BCG

มิติเศรษฐกิจ: การขยายความร่วมมือและโมเดล BCG

นอกเหนือจากประเด็นด้านความมั่นคงและความเป็นเอกภาพแล้ว วาระด้านเศรษฐกิจถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ประเทศไทยจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการประชุมสุดยอดอาเซียน 2568 โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้แก่ภูมิภาค ผ่านการขยายความร่วมมือกับคู่ค้านอกอาเซียนและการส่งเสริมโมเดลการพัฒนาที่ยั่งยืน

การกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศ GCC และจีน

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง การกระจายความเสี่ยงและแสวงหาตลาดใหม่ ๆ เป็นสิ่งจำเป็น ประเทศไทยเล็งเห็นถึงศักยภาพของสองกลุ่มประเทศสำคัญ คือ กลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) และสาธารณรัฐประชาชนจีน

  • กลุ่มประเทศ GCC: ประกอบด้วยซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต กาตาร์ บาห์เรน และโอมาน กลุ่มประเทศนี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลกและมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่มีศักยภาพสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป้าหมายของอาเซียน ความร่วมมือระหว่าง ASEAN-GCC จะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานและดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ภูมิภาค
  • ประเทศจีน: ในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียน การรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การหารือจะมุ่งเน้นไปที่การอำนวยความสะดวกทางการค้า การยกระดับความตกลงการค้าเสรี ASEAN-China (ACFTA) และการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนเข้ากับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (MPAC)

การประชุม ASEAN-GCC Summit และ ASEAN-GCC-China Summit จึงเป็นเวทีที่ไทยจะผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

เป้าหมายความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือความผันผวน

เป้าหมายหลักของการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจคือการสร้าง “กันชน” เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นที่จะมีการหยิบยกขึ้นหารือ ได้แก่:

  • การสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน: แสวงหาความร่วมมือเพื่อรับประกันการเข้าถึงแหล่งอาหารและพลังงานในราคาที่เหมาะสม
  • การเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน: ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากแหล่งเดียว และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการผลิตภายในภูมิภาคและกับประเทศคู่ค้าที่หลากหลาย
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล: พัฒนากฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลร่วมกัน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยว: ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่ค้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคบริการ

การประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในเวทีภูมิภาค

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไทยจะนำเสนอคือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของไทยในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ไทยมองว่าโมเดลนี้สามารถเป็นคำตอบสำหรับความท้าทายด้านความยั่งยืนที่อาเซียนกำลังเผชิญ และสอดคล้องกับหัวข้อหลักของการประชุม

การประยุกต์ใช้โมเดล BCG ในระดับภูมิภาคจะเน้นไปที่:

  • เกษตรกรรมยั่งยืน: ส่งเสริมการทำเกษตรมูลค่าสูง การแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ และการลดของเสียในภาคการเกษตร
  • พลังงานสะอาด: ผลักดันการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • การจัดการขยะและของเสีย: สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการนำขยะและของเสียกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะปัญหาขยะทะเลซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของภูมิภาค
  • การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์: ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น

การผลักดันโมเดล BCG ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่ยังเป็นการสร้างจุดขายใหม่ให้กับภูมิภาคในฐานะแหล่งผลิตและแหล่งลงทุนที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยและอาเซียนในระยะยาว

การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน: แนวทางการพัฒนาที่ครอบคลุม

เพื่อให้การพัฒนาประชาคมอาเซียนเป็นไปอย่างยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง” (Inclusivity) โดยการเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ นอกจากภาครัฐ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางและอนาคตของภูมิภาค แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจว่าความท้าทายในปัจจุบันมีความซับซ้อนเกินกว่าที่รัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวจะแก้ไขได้

บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ ภาคธุรกิจ และเยาวชน

ในการประชุมสุดยอดอาเซียน 2568 ผู้นำไทยได้จัดสรรเวลาเพื่อหารือและรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนของกลุ่มสำคัญ 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีบทบาทที่แตกต่างกันในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน

ตารางเปรียบเทียบบทบาทและความสำคัญของภาคส่วนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนอาเซียน
ภาคส่วน ตัวแทน บทบาทและความสำคัญ
ฝ่ายนิติบัญญัติ สมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) มีบทบาทในการผลักดันให้ข้อตกลงและความร่วมมือของอาเซียนได้รับการรับรองและบังคับใช้เป็นกฎหมายภายในของแต่ละประเทศสมาชิก สร้างความสอดคล้องทางกฎหมายและสนับสนุนการรวมตัวของภูมิภาคในระดับปฏิบัติ
ภาคธุรกิจ สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) เป็นกระบอกเสียงของภาคเอกชน นำเสนอประเด็นปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน และการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้กฎระเบียบของอาเซียนเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
เยาวชน ผู้แทนเยาวชนอาเซียน (ASEAN Youth) สะท้อนมุมมอง ความต้องการ และวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นอนาคตของภูมิภาค การมีส่วนร่วมของเยาวชนมีความสำคัญต่อการสร้างประชาคมอาเซียนที่มีความยั่งยืนและตอบโจทย์คนทุกรุ่น

การหารือกับกลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการรับฟัง แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง ทำให้การดำเนินนโยบายของอาเซียนมีความรอบด้านและได้รับการยอมรับจากประชาชนในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างการตัดสินใจในระดับผู้นำกับการปฏิบัติจริงในระดับประชาชน

การทูตทวิภาคี: กลไกเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประเทศ

นอกเหนือจากการประชุมในภาพรวมของอาเซียนแล้ว เวทีการประชุมสุดยอดฯ ยังเปิดโอกาสให้ผู้นำได้มีปฏิสัมพันธ์และเจรจากันในระดับทวิภาคี (Bilateral) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกทางการทูตที่สำคัญอย่างยิ่ง ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการกระชับความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือเฉพาะด้านกับประเทศสมาชิกต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

ความสำคัญของการเจรจานอกรอบการประชุมสุดยอด

การหารือทวิภาคีนอกรอบการประชุม (Sideline Meeting) มีความสำคัญหลายประการ:

  • ความรวดเร็วและเป็นกันเอง: การหารือแบบตัวต่อตัวหรือในกลุ่มเล็กช่วยให้การเจรจาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นทางการ และสามารถพูดคุยในประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้ง่ายกว่าการประชุมในวงใหญ่
  • แก้ไขปัญหาเฉพาะจุด: ผู้นำสามารถหยิบยกประเด็นปัญหาระหว่างสองประเทศขึ้นมาหารือเพื่อหาทางแก้ไขร่วมกันได้อย่างทันท่วงที เช่น ปัญหาชายแดน การค้า หรือแรงงาน
  • เสริมสร้างความไว้วางใจส่วนบุคคล: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระดับผู้นำเป็นรากฐานสำคัญของความร่วมมือที่ราบรื่นและยั่งยืนระหว่างประเทศ
  • ต่อยอดความร่วมมือพหุภาคี: การตกลงในหลักการบางอย่างในระดับทวิภาคี สามารถนำไปสู่การผลักดันให้เป็นวาระของอาเซียนในภาพรวมได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างความร่วมมือเชิงลึกกับประเทศสมาชิก

จากการประชุมครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าผู้นำไทยได้มีการพบปะหารือกับผู้นำจากประเทศสมาชิกอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การพบปะกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ:

  • ความมั่นคงทางทะเล: แลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับมือกับความท้าทายทางทะเลร่วมกัน
  • การค้าและการลงทุน: ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมระหว่างกัน รวมถึงการเชิญชวนนักลงทุนฟิลิปปินส์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย
  • ความร่วมมือด้านแรงงาน: หารือแนวทางการดูแลแรงงานของทั้งสองประเทศให้ได้รับการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม
  • การท่องเที่ยว: ร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนอกภูมิภาค

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930