‘All Eyes on Rafah’ คืออะไร? สรุปที่มาไวรัลทั่วโลก
ปรากฏการณ์ ‘All Eyes on Rafah’ คืออะไร และเหตุใดวลีนี้จึงกลายเป็นกระแสไวรัลที่แพร่สะพัดไปทั่วแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลกอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะเจาะลึกถึงที่มา ความหมาย และผลกระทบของสโลแกนทรงพลังนี้ ซึ่งเริ่มต้นจากคำพูดของเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก และถูกขยายผลด้วยภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องให้ประชาคมโลกหันมาสนใจสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมืองราฟาห์ ฉนวนกาซา
ประเด็นสำคัญจากปรากฏการณ์ All Eyes on Rafah
- ‘All Eyes on Rafah’ เป็นสโลแกนทางการเมืองและแฮชแท็กที่ใช้เพื่อดึงความสนใจของนานาชาติมายังวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมืองราฟาห์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนระหว่างฉนวนกาซาและอียิปต์
- ต้นกำเนิดของวลีนี้มาจากคำกล่าวของ Richard “Rik” Peeperkorn ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งกล่าวว่า “All eyes are on Rafah” เพื่อเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการรุกคืบทางทหาร
- การแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว (ไวรัล) เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2024 โดยมีปัจจัยสำคัญคือภาพที่สร้างด้วย AI ซึ่งมีข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ ถูกแชร์บน Instagram มากกว่า 47 ล้านครั้งภายในเวลาอันสั้น
- การเลือกใช้ภาพ AI แทนภาพถ่ายจริงจากเหตุการณ์ เป็นกลยุทธ์ที่อาจมีขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์หรือการปิดกั้นเนื้อหาที่มีความรุนแรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้สารเข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้ง่ายขึ้น
- บุคคลที่มีชื่อเสียงและอินฟลูเอนเซอร์ระดับโลกมีบทบาทสำคัญในการขยายผลแคมเปญนี้ ทำให้เกิดการรับรู้และบทสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในระดับสากล
ถอดรหัส ‘All Eyes on Rafah’ คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วลี ‘All Eyes on Rafah’ ได้ปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ ตั้งแต่ Instagram Stories ไปจนถึงโพสต์บน X (Twitter) และวิดีโอ TikTok วลีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแฮชแท็กธรรมดา แต่เป็นสโลแกนที่ทรงพลังซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของประชาคมโลกต่อสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเมืองราฟาห์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยาวนานระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ การทำความเข้าใจที่มาและความหมายของวลีนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามข่าวต่างประเทศและตระหนักถึงพลังของโซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม
ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าข้อความที่เรียบง่ายสามารถกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวระดับโลกได้อย่างไร เมื่อถูกนำเสนอในเวลาและรูปแบบที่เหมาะสม
จุดกำเนิดของวลีที่เขย่าโลกโซเชียล
จุดเริ่มต้นของวลี ‘All Eyes on Rafah’ ไม่ได้มาจากนักเคลื่อนไหวหรืออินฟลูเอนเซอร์ แต่มาจากคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานระหว่างประเทศ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 นาย Richard “Rik” Peeperkorn ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวในที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ (UN) ว่า “All eyes are on Rafah” คำพูดดังกล่าวมีขึ้นเพื่อแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อแผนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลที่อาจเกิดขึ้นในเมืองราฟาห์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่พักพิงของพลเรือนชาวปาเลสไตน์กว่าล้านคน ที่อพยพมาจากพื้นที่อื่นในฉนวนกาซา
แม้คำพูดนี้จะถูกกล่าวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่มันเริ่มกลายเป็นกระแสอย่างแท้จริงในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2024 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการรุกคืบในพื้นที่ราฟาห์ สถานการณ์ที่ตึงเครียดและการโจมตีทางอากาศที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือนซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง ได้กระตุ้นให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใช้วลีนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจและแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
บริบทความขัดแย้งในฉนวนกาซาและเมืองราฟาห์
เพื่อที่จะเข้าใจความสำคัญของสโลแกนนี้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องเข้าใจบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ของเมืองราฟาห์ ราฟาห์ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของฉนวนกาซา มีพรมแดนติดกับประเทศอียิปต์ ทำให้เป็นจุดผ่านแดนสำคัญสำหรับการลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่พื้นที่ และเป็นเส้นทางอพยพหลักสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางออกจากฉนวนกาซา
ก่อนการรุกคืบทางทหารในเดือนพฤษภาคม เมืองราฟาห์กลายเป็นที่หลบภัยสุดท้ายของชาวปาเลสไตน์จำนวนมหาศาลที่ต้องพลัดถิ่นจากพื้นที่ตอนเหนือและตอนกลางของฉนวนกาซาตามคำสั่งอพยพของกองทัพอิสราเอล ประชากรในพื้นที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดยัดเยียดและขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นอย่างรุนแรง การโจมตีพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลเรือนที่ไม่มีที่ไปจึงสร้างความกังวลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติอย่างกว้างขวาง สโลแกน ‘All Eyes on Rafah’ จึงเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าทุกสายตาทั่วโลกกำลังจับจ้องไปยังการกระทำและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เปราะบางแห่งนี้
ภาพ AI: จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดไวรัลระดับโลก

ปัจจัยที่ผลักดันให้แคมเปญ ‘All Eyes on Rafah’ ประสบความสำเร็จและกลายเป็นไวรัลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือการใช้ภาพที่สร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภาพดังกล่าวไม่ได้แสดงความรุนแรงหรือภาพจริงที่น่าสลดใจจากพื้นที่ขัดแย้ง แต่ใช้การนำเสนอเชิงสัญลักษณ์ที่ทรงพลังและเข้าถึงง่าย ทำให้ผู้คนรู้สึกสะดวกใจที่จะแชร์ต่อโดยไม่ละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
ลักษณะของภาพและสถิติการแชร์ที่น่าทึ่ง
ภาพ AI ที่กลายเป็นไวรัลนั้นมีองค์ประกอบที่เรียบง่ายแต่สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน โดยเป็นภาพมุมสูงที่มองเห็นทะเลเต็นท์ที่พักพิงชั่วคราวเรียงรายกันสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนค่ายผู้อพยพในเมืองราฟาห์ เต็นท์บางส่วนถูกจัดเรียงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษขนาดใหญ่ที่อ่านได้ว่า “ALL EYES ON RAFAH” พื้นหลังเป็นภาพภูเขาที่ดูสงบ ตัดกับข้อความที่เรียกร้องความสนใจอย่างเร่งด่วน
ความสำเร็จของภาพนี้สามารถวัดได้จากสถิติการแชร์ที่ปรากฏบนแพลตฟอร์ม Instagram ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ทำให้ภาพนี้แพร่กระจายออกไป มีรายงานว่าภาพดังกล่าวถูกแชร์ผ่านฟีเจอร์ Instagram Stories มากกว่า 45-47 ล้านครั้งภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ตัวเลขนี้สะท้อนถึงพลังการสื่อสารของภาพที่สามารถข้ามกำแพงภาษาและวัฒนธรรม และกระตุ้นให้ผู้คนมีส่วนร่วมในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มแชร์
เหตุผลเบื้องหลังการใช้ภาพ AI แทนภาพจริง
การตัดสินใจใช้ภาพที่สร้างโดย AI แทนที่จะเป็นภาพถ่ายจริงจากพื้นที่สงคราม ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญและเป็นประเด็นที่น่าสนใจ มีการวิเคราะห์ถึงเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้ภาพลักษณะนี้หลายประการ:

