“`html
ตร. ใช้ AI ‘พยัคฆ์’ ชี้เป้าอาชญากรรม
การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่ได้เริ่มนำร่องโครงการเพื่อยกระดับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมของการใช้ AI ในงานตำรวจ
การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานตำรวจ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรับมือกับอาชญากรรมที่ซับซ้อนขึ้นในยุคดิจิทัล โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจดังนี้:
- การทำนายอาชญากรรม: สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ริเริ่มใช้ระบบ AI เช่น ‘พยัคฆ์ AI’ และ ‘ตาสับปะรด’ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมในอดีตและข้อมูลจากกล้องวงจรปิด เพื่อระบุพื้นที่และช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดเหตุการณ์ล่วงหน้า
- เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวน: มีการจัดอบรมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้ความสามารถในการใช้ AI เพื่อช่วยในกระบวนการสอบสวน ซึ่งข้อมูลระบุว่าสามารถเพิ่มความเร็วในการทำงานได้ถึง 3 เท่า ช่วยลดภาระงานและทำให้การรวบรวมหลักฐานมีความแม่นยำมากขึ้น
- ความท้าทายด้านจริยธรรม: แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็นำมาซึ่งข้อถกเถียงในประเด็นความเป็นส่วนตัว สิทธิมนุษยชน และความเสี่ยงจากการเกิดอคติในข้อมูล (Data Bias) ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
- การรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่: นอกจากจะเป็นผู้ใช้งานแล้ว ตำรวจยังต้องเผชิญกับอาชญากรที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ เช่น การสร้าง Deepfake เพื่อหลอกลวงหรือสร้างความเสียหาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องปรับตัวและหาทางป้องกัน
การที่ ตร. ใช้ AI ‘พยัคฆ์’ ชี้เป้าอาชญากรรม นับเป็นก้าวสำคัญของการนำเทคโนโลยีเชิงรุกมาใช้ในงานตำรวจของไทย ระบบดังกล่าวทำงานโดยการวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมจำนวนมหาศาล ร่วมกับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น กล้องวงจรปิด เพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่สามารถทำนายแนวโน้มการเกิดอาชญากรรมในพื้นที่และเวลาที่เฉพาะเจาะจงได้ การพัฒนานี้มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงานของตำรวจจากการตั้งรับ (Reactive) มาเป็นการป้องกันเชิงรุก (Proactive) ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดอัตราการเกิดเหตุและสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีที่ทรงพลังนี้ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและความท้าทายที่ต้องมีการกำกับดูแลอย่างรอบคอบ
ทำไมเทคโนโลยี AI จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของตำรวจไทย
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีปริมาณมหาศาลและอาชญากรรมมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น วิธีการทำงานแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
เหตุผลหลักที่ทำให้ AI มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อวงการตำรวจ มาจากการที่อาชญากรรมในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกกายภาพอีกต่อไป ภัยคุกคามทางไซเบอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อก่อเหตุ มีความซับซ้อนและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่กำลังคนเพียงอย่างเดียวจะติดตามได้ทัน AI สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) จากหลายแหล่งที่มาได้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่สถิติอาชญากรรมย้อนหลัง, ข้อมูลการจราจร, ภาพจากกล้องวงจรปิดหลายพันตัว ไปจนถึงข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะบนโซเชียลมีเดีย เพื่อค้นหารูปแบบ (Pattern) หรือความเชื่อมโยงที่มนุษย์อาจมองข้ามไป
เทคโนโลยีนี้จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายภาคส่วน ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะมีเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไปที่จะได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นจากการป้องกันอาชญากรรมก่อนที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงศักยภาพและข้อจำกัดของ AI เพื่อสร้างกรอบกฎหมายและแนวปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างโปร่งใสและไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
พยัคฆ์ AI และระบบปัญญาประดิษฐ์ในมือตำรวจ
การนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่มีการนำไปปฏิบัติจริงแล้วในหลายโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบยุติธรรมอัจฉริยะที่สามารถรับมือกับความท้าทายของโลกสมัยใหม่ได้อย่างทันท่วงที
นิยามและหลักการทำงานของ AI ทำนายอาชญากรรม
AI ทำนายอาชญากรรม หรือ Predictive Policing AI คือเทคโนโลยีที่ใช้อัลกอริทึมและแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตและปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการเกิดอาชญากรรมในอนาคต หลักการทำงานของมันไม่ได้เป็นการทำนายว่า “ใคร” จะเป็นผู้ก่อเหตุ แต่เป็นการชี้เป้าว่า “ที่ไหน” และ “เมื่อไหร่” ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น
ระบบจะรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น:
- ข้อมูลสถิติอาชญากรรม: ประเภทของคดี, สถานที่เกิดเหตุ, วันและเวลาที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง
- ข้อมูลสภาพแวดล้อม: แผนที่เมือง, ตำแหน่งของสถานบันเทิง, ธนาคาร, หรือจุดเสี่ยงอื่นๆ
- ข้อมูลเรียลไทม์: ภาพจากกล้องวงจรปิด, ข้อมูลสภาพการจราจร, หรือแม้กระทั่งข้อมูลจากโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ
แนวคิดนี้มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังอย่าง ‘Minority Report’ ที่มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อหยุดยั้งอาชญากรรมก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง AI ไม่ได้มองเห็นอนาคต แต่เป็นการคำนวณความน่าจะเป็นจากข้อมูลที่มีอยู่มหาศาล ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการวางกำลังหรือจัดสายตรวจให้ตรงจุดมากขึ้น
โครงการนำร่องและการขยายผลในปัจจุบัน
ในประเทศไทยมีการนำ AI มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการของตำรวจภูธรภาค 2 ที่ได้จัดการอบรมการใช้ AI เพื่อพัฒนางานสอบสวน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าพอใจอย่างยิ่ง โดยมีการระบุว่าเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นถึง 3 เท่า และช่วยยกระดับคุณภาพของงานสอบสวนให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มตัว โครงการนี้มีแผนที่จะขยายผลไปทั่วทั้งภาค เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบยุติธรรมอัจฉริยะ
นอกเหนือจากงานสอบสวนแล้ว ยังมีระบบที่มุ่งเน้นการป้องกันเหตุโดยตรง เช่น ระบบ ‘ตาสับปะรด’ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำนายและชี้เป้าโจรล่วงหน้า โดยใช้หลักการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อป้องกันอาชญากรรมก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตำรวจไทยในการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและดูแลความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะยังต้องเผชิญกับคำถามและความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัวและสิทธิส่วนบุคคลก็ตาม
ประสิทธิภาพและความท้าทาย: ดาบสองคมของ AI ตำรวจ
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ การนำ AI มาใช้ในงานตำรวจมีทั้งคุณและโทษ การทำความเข้าใจทั้งสองด้านอย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำไปสู่การใช้งานที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและลดผลกระทบเชิงลบให้น้อยที่สุด
ประโยชน์และศักยภาพในการป้องกันเหตุ
ศักยภาพของ AI ในการยกระดับงานตำรวจนั้นมีมหาศาล ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นกำลังพลหรือยานพาหนะสายตรวจ แทนที่จะต้องสุ่มตรวจหรือลาดตระเวนไปทั่วทุกพื้นที่ AI สามารถชี้เป้า “Hotspot” หรือพื้นที่เสี่ยงสูงที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษได้ ซึ่งนำไปสู่:
- การป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก: การปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง ณ เวลาที่เหมาะสม สามารถยับยั้งผู้ที่คิดจะก่อเหตุได้ก่อนที่จะลงมือ
- การตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น: เมื่อมีข้อมูลบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ศูนย์บัญชาการสามารถสั่งการให้หน่วยที่ใกล้ที่สุดเข้าตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที
- การวิเคราะห์คดีที่มีประสิทธิภาพ: AI สามารถช่วยนักสืบวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของคดีต่างๆ ที่อาจดูไม่เกี่ยวข้องกันในตอนแรก โดยการค้นหารูปแบบของคนร้ายหรือวิธีการก่อเหตุที่คล้ายคลึงกัน
- ลดภาระงานเอกสาร: ในงานสอบสวน AI สามารถช่วยถอดเสียง สรุปคำให้การ หรือคัดแยกเอกสารหลักฐานจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาไปทุ่มเทกับงานที่ต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ได้มากขึ้น
ความเสี่ยงและข้อกังวลที่ต้องพิจารณา
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะประเด็นด้านอคติและความเป็นส่วนตัว ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือ อคติในข้อมูล (Data Bias) หากข้อมูลอาชญากรรมในอดีตที่นำมาป้อนให้ AI เรียนรู้นั้นสะท้อนถึงอคติของสังคมหรือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในอดีต (เช่น การจับกุมในบางพื้นที่หรือกับคนบางกลุ่มมากกว่าปกติ) AI ก็จะเรียนรู้และขยายอคตินั้นต่อไป ผลลัพธ์คือระบบอาจชี้เป้าพื้นที่ของกลุ่มคนเปราะบางหรือชนกลุ่มน้อยบ่อยเกินความจริง นำไปสู่การตรวจตราที่เข้มงวดเกินจำเป็นและสร้างวงจรของการไม่ไว้วางใจระหว่างตำรวจกับประชาชน
นอกจากนี้ ประเด็นด้าน ความเป็นส่วนตัวและการเฝ้าระวัง (Privacy and Surveillance) ก็เป็นข้อถกเถียงที่สำคัญ การที่บริษัทสตาร์ทอัพบางแห่งรวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ มาวิเคราะห์เพื่อประเมินความเสี่ยง ก่อให้เกิดคำถามว่าเส้นแบ่งระหว่างการรักษาความปลอดภัยสาธารณะกับการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอยู่ตรงไหน การติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวนมากและการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าอย่างแพร่หลาย อาจสร้างสังคมแห่งการสอดส่องที่ทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
มิติการพิจารณา | ข้อดีและศักยภาพ | ข้อควรระวังและความท้าทาย |
---|---|---|
ประสิทธิภาพ | เพิ่มความเร็วในการสืบสวนสอบสวนได้ถึง 3 เท่า จัดสรรทรัพยากรได้ตรงจุดมากขึ้น | ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงและมีการบำรุงรักษาระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง |
ความแม่นยำ | สามารถวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหารูปแบบที่มนุษย์อาจมองข้าม ช่วยลดความผิดพลาดจากปัจเจกบุคคล | ความแม่นยำขึ้นอยู่กับคุณภาพและความสมบูรณ์ของข้อมูล หากข้อมูลมีอคติ ผลลัพธ์ก็จะเอนเอียงตามไปด้วย |
สิทธิมนุษยชน | อาจช่วยลดการเผชิญหน้าที่ไม่จำเป็นและลดการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ หากใช้ในการวางแผนอย่างรัดกุม | เสี่ยงต่อการสร้างโปรไฟล์ที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Profiling) และการเลือกปฏิบัติกับบางกลุ่มคน |
ความเป็นส่วนตัว | ช่วยให้การสืบสวนมุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยที่มีข้อมูลสนับสนุนชัดเจน ลดการรบกวนผู้บริสุทธิ์ | ต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการเฝ้าระวังและการละเมิดข้อมูล |
เมื่อ AI กลายเป็นอาวุธของอาชญากร
ในขณะที่ตำรวจกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปราม ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มอาชญากรก็ได้เริ่มนำเทคโนโลยีเดียวกันนี้มาใช้เป็นอาวุธเพื่อสร้างภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่รับมือได้ยากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ตำรวจต้องปรับตัวเพื่อเป็นทั้งผู้ใช้และผู้รับมือกับเทคโนโลยีนี้ไปพร้อมกัน
ภัยคุกคามยุคใหม่: Deepfake และการหลอกลวงออนไลน์
หนึ่งในภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดซึ่งเกิดจาก AI คือ “Deepfake” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างสื่อสังเคราะห์ที่สามารถสร้างภาพ วิดีโอ หรือเสียงปลอมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้อย่างสมจริงจนแทบแยกไม่ออก ในปี 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาเตือนถึงการใช้เทคโนโลยีนี้ในการก่ออาชญากรรมอย่างแพร่หลาย
รูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อยคือ:
- การปลอมเป็นบุคคลใกล้ชิด: อาชญากรอาจใช้ AI เลียนแบบเสียงของคนในครอบครัวหรือเพื่อน โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเร่งด่วน ทำให้เหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินให้
- การสร้างข่าวปลอมและทำลายชื่อเสียง: สามารถสร้างคลิปวิดีโอปลอมของบุคคลสาธารณะ นักการเมือง หรือผู้บริหารระดับสูง เพื่อปล่อยข่าวลวง สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งปั่นป่วนตลาดหุ้น
- การแบล็กเมล์และฉ้อโกง: มีการใช้ AI สร้างภาพหรือคลิปลามกอนาจารปลอมโดยใช้ใบหน้าของเหยื่อ (โดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียง) เพื่อนำไปขู่กรรโชกทรัพย์
ความท้าทายของอาชญากรรมประเภทนี้คือการพิสูจน์ความจริงทำได้ยาก และความเสียหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างในโลกออนไลน์
แนวทางการรับมือและป้องกันของเจ้าหน้าที่
เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจาก AI เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถของตนเองให้ก้าวทันเทคโนโลยี การรับมือไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสืบสวนจับกุมหลังเกิดเหตุ แต่ยังรวมถึงการป้องกันและการให้ความรู้แก่ประชาชน
แนวทางสำคัญในการรับมือประกอบด้วย:
- การพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ: ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่สามารถตรวจจับสื่อสังเคราะห์หรือ Deepfake ได้อย่างแม่นยำ
- การสืบสวนทางดิจิทัล: เพิ่มทักษะให้แก่เจ้าหน้าที่ด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล (Digital Forensics) เพื่อสามารถแกะรอยหาต้นตอของผู้สร้างและเผยแพร่เนื้อหาปลอมได้
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: เนื่องจากอาชญากรรมไซเบอร์มักเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ การประสานงานกับหน่วยงานตำรวจในต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามผู้กระทำผิดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- การสร้างความตระหนักรู้: การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับกลโกงของมิจฉาชีพที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ เพื่อให้ทุกคนมีสติและสามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะหลงเชื่อ
บทบาทของตำรวจในยุค AI จึงซับซ้อนขึ้นอย่างมาก พวกเขาต้องเป็นผู้ใช้นวัตกรรมอย่างมีจริยธรรม ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้พิทักษ์ประชาชนจากภัยมืดที่มาพร้อมกับนวัตกรรมนั้นด้วย
บทสรุปและทิศทางอนาคตของการใช้ AI ในงานตำรวจ
การที่ตำรวจไทยนำปัญญาประดิษฐ์อย่าง ‘พยัคฆ์ AI’ มาใช้ในการชี้เป้าและทำนายอาชญากรรม ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ป้องกันเหตุร้าย และสร้างสังคมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่มาพร้อมกับความท้าทายด้านจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และความเท่าเทียม
ทิศทางในอนาคตของการใช้ AI ในงานตำรวจจึงต้องดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความสมดุล โดยจำเป็นต้องมีการสร้างกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งานเทคโนโลยีเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง โดยไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การตรวจสอบและปรับปรุงอัลกอริทึมเพื่อลดอคติ การเปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และการลงทุนในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความเข้าใจทั้งด้านเทคนิคและจริยธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างระบบตำรวจอัจฉริยะที่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม การเดินทางนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น และความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้ “ดาบสองคม” นี้อย่างชาญฉลาดและรอบคอบที่สุด
“`