“`html
ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน
- ภาพรวมของเทคโนโลยี ‘เกราะเพชร AI’
- ภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัล: เหตุผลที่ต้องมีเกราะป้องกัน
- ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน คืออะไร
- เจาะลึกกลไกการทำงาน 3 ชั้นของ ‘เกราะเพชร AI’
- ประสิทธิภาพและการประยุกต์ใช้ AI ในบริบทสากล
- ความท้าทายและข้อควรพิจารณาของระบบป้องกันด้วย AI
- บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งความปลอดภัยทางการเงินดิจิทัล
ในยุคที่ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ภัยคุกคามจากมิจฉาชีพและแอปพลิเคชันดูดเงินได้ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นอย่างน่ากังวล เพื่อรับมือกับปัญหานี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือป้องกันเชิงรุก สร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับทรัพย์สินของประชาชน
ภาพรวมของเทคโนโลยี ‘เกราะเพชร AI’
- ‘เกราะเพชร AI’ คือระบบป้องกันมิจฉาชีพอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานและธุรกรรมการเงินแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับและยับยั้งภัยคุกคามทางการเงินออนไลน์
- ระบบดังกล่าวทำงานผ่านกลไกป้องกันหลายชั้น ประกอบด้วยการยืนยันตัวตนที่เข้มงวด, การตรวจจับมัลแวร์และแอปพลิเคชันต้องสงสัย, และการวิเคราะห์พฤติกรรมธุรกรรมที่ผิดปกติ
- เทคโนโลยีนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสถาบันการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
- ประสิทธิภาพของ AI ในการตรวจจับการฉ้อโกงได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยสามารถลดความเสียหายทางการเงินและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ
การมาถึงของโซลูชันอย่าง ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน ได้กลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการป้องกันเชิงรุก ระบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีป้องกันภัย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้กับการทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์ ซึ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันและอนาคต ด้วยความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวของ AI ทำให้เกราะป้องกันนี้สามารถพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับกลโกงรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัล: เหตุผลที่ต้องมีเกราะป้องกัน
การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลได้นำมาซึ่งความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะด้านการเงิน อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน หรือที่เรียกกันว่า “แอปดูดเงิน” ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของประชาชนจำนวนมาก
ทำไมการป้องกันแอปดูดเงินจึงสำคัญอย่างยิ่ง
แอปดูดเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาที่สร้างความรำคาญ แต่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งได้ในพริบตา มิจฉาชีพใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน (Social Engineering) ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันอันตรายลงบนสมาร์ทโฟน เมื่อติดตั้งสำเร็จ แอปเหล่านี้จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล และที่เลวร้ายที่สุดคือการทำธุรกรรมโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อจนหมด โดยที่เจ้าของบัญชีไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางด้านจิตใจ เหยื่อจำนวนมากต้องเผชิญกับความเครียด ความรู้สึกผิด และความหวาดระแวงในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลไปอีกนาน ดังนั้น การมีระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามที่มองไม่เห็นเหล่านี้
ใครบ้างที่ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ
ในความเป็นจริง ทุกคนที่ใช้สมาร์ทโฟนและทำธุรกรรมออนไลน์ล้วนมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ กลุ่มอาชญากรเหล่านี้ไม่ได้เลือกเหยื่อแบบสุ่ม แต่มีการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ พวกเขามักพุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่อาจมีความเปราะบางหรือขาดความระมัดระวัง เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี หรือกลุ่มคนที่กำลังมองหางาน, เงินกู้, หรือผลประโยชน์พิเศษต่างๆ ที่มิจฉาชีพนำมาใช้เป็นเหยื่อล่อ
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีก็สามารถตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน เนื่องจากกลโกงมีการพัฒนาให้แยบยลขึ้นเรื่อยๆ เช่น การสร้างหน้าเว็บไซต์ปลอมที่เหมือนของจริง (Phishing) หรือการใช้ข้อความ SMS หลอกลวง (Smishing) เพื่อส่งลิงก์สำหรับติดตั้งแอปอันตราย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพาความระมัดระวังส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป และจำเป็นต้องมีเกราะป้องกันทางเทคโนโลยีที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยสอดส่องและป้องกันภัยในระดับที่ลึกกว่า
จุดเปลี่ยนสำคัญ: การมาถึงของ AI เพื่อการป้องกันเชิงรุก
ในอดีต มาตรการป้องกันส่วนใหญ่มักเป็นการตั้งรับ (Reactive) กล่าวคือ การดำเนินการมักจะเกิดขึ้นหลังจากความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น การอายัดบัญชี หรือการติดตามเส้นทางการเงิน ซึ่งบ่อยครั้งก็สายเกินไปที่จะได้เงินคืน จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในระบบความปลอดภัยทางการเงิน
AI ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ไล่ตาม” อาชญากร มาเป็นการ “ดักจับ” และ “ป้องกัน” ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น
หน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของ AI และผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน เพื่อพัฒนาระบบป้องกันมิจฉาชีพอัจฉริยะ โครงการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยใช้ AI เป็นแกนหลักในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับรูปแบบพฤติกรรมที่น่าสงสัยและยับยั้งธุรกรรมที่ผิดปกติได้ทันท่วงที
ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน คืออะไร
คำว่า ‘เกราะเพชร AI’ เป็นชื่อที่ใช้อธิบายถึงระบบความปลอดภัยทางการเงินยุคใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันการโจรกรรมเงินออนไลน์ โดยเฉพาะจากแอปดูดเงินและมัลแวร์ต่างๆ แนวคิดหลักของระบบนี้คือการสร้างเกราะป้องกันหลายชั้นที่ทำงานประสานกันอย่างชาญฉลาด เพื่อให้การเจาะเข้ามาขโมยเงินจากบัญชีของผู้ใช้เป็นไปได้ยากที่สุด ระบบนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้แก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง
นิยามและความหมายของ ‘เกราะเพชร AI’
‘เกราะเพชร AI’ ไม่ใช่แอปพลิเคชันเดียว แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย (Security Framework) ที่ฝังตัวอยู่ในระบบของผู้ให้บริการทางการเงิน เช่น แอปพลิเคชันธนาคาร หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) โดยหนึ่งในผู้พัฒนาระบบนี้อย่างเป็นรูปธรรมคือ True Money ซึ่งได้เปิดตัวระบบความปลอดภัยภายใต้ชื่อ เกราะเพชร (True Money 3 x Protection)
หัวใจของระบบนี้คือ AI ที่ถูกฝึกฝนให้เรียนรู้และจดจำรูปแบบพฤติกรรมการใช้งานปกติของผู้ใช้แต่ละคน เช่น อุปกรณ์ที่ใช้เป็นประจำ, สถานที่ที่ทำธุรกรรมบ่อย, ช่วงเวลาที่ใช้งาน, และลักษณะของธุรกรรมที่ทำเป็นประจำ เมื่อมีกิจกรรมใดๆ ที่เบี่ยงเบนไปจากรูปแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ AI จะทำการประเมินความเสี่ยงและเข้าแทรกแซงทันที เช่น การขอการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งการระงับธุรกรรมนั้นชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหาย
เทคโนโลยีเบื้องหลังระบบป้องกันอัจฉริยะ
ความสำเร็จของระบบ ‘เกราะเพชร AI’ ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเพียงลำพัง แต่เกิดจากการผสมผสานความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลกอย่าง ชิลด์ (SHIELD) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงผ่านอุปกรณ์พกพา และ โซลอส (ZOLOZ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) เช่น การสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือ
การร่วมมือนี้ทำให้ ‘เกราะเพชร AI’ มีความสามารถที่หลากหลายและครอบคลุม:
- Device Intelligence: ระบบสามารถระบุและจดจำอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้งานเป็นประจำได้ หากมีการพยายามเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ระบบจะเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบ
- Biometric Authentication: การใช้ข้อมูลชีวมิติในการยืนยันตัวตน เช่น การสแกนใบหน้า เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการใช้รหัสผ่านหรือ PIN แบบเดิมๆ เพราะปลอมแปลงได้ยากกว่ามาก
- Malware and Anomaly Detection: AI จะคอยสอดส่องการทำงานของแอปพลิเคชันอื่นๆ ในเครื่อง หากตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น มีแอปพยายามบันทึกหน้าจอ หรือควบคุมเครื่องจากระยะไกล ระบบจะแจ้งเตือนและอาจบล็อกการทำธุรกรรมทันที
เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น คอยปกป้องผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นใจว่าเงินในบัญชีของผู้ใช้จะปลอดภัยจากการโจรกรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ
เจาะลึกกลไกการทำงาน 3 ชั้นของ ‘เกราะเพชร AI’
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของระบบป้องกันอัจฉริยะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถแบ่งกลไกการทำงานหลักของ ‘เกราะเพชร AI’ ออกเป็น 3 ชั้นป้องกันที่ทำงานต่อเนื่องและเสริมซึ่งกันและกัน ตั้งแต่ด่านแรกของการเข้าสู่ระบบไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทำธุรกรรม
ชั้นการป้องกัน | วัตถุประสงค์หลัก | วิธีการทำงาน |
---|---|---|
ชั้นที่ 1: การตรวจสอบตัวตน | ป้องกันการเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต | ใช้เทคโนโลยี Biometrics (สแกนใบหน้า/ลายนิ้วมือ) และ Device Intelligence เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัญชีตัวจริงที่ใช้งานจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ |
ชั้นที่ 2: การตรวจจับมัลแวร์ | สแกนหาแอปพลิเคชันอันตรายและการควบคุมระยะไกล | วิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันในเครื่อง เพื่อตรวจจับสัญญาณของมัลแวร์, แอปที่ขอสิทธิ์เกินจำเป็น, หรือแอปควบคุมหน้าจอ (Remote Access) |
ชั้นที่ 3: การวิเคราะห์ธุรกรรมด้วย AI | ยับยั้งธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ | AI เรียนรู้และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายปกติของผู้ใช้ หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ (เช่น จำนวนเงินสูงผิดปกติ, โอนไปยังบัญชีที่ไม่เคยรู้จัก) ระบบจะระงับธุรกรรมทันที |
ชั้นที่ 1: การตรวจสอบและยืนยันตัวตนที่เข้มงวด
ด่านแรกและสำคัญที่สุดคือการทำให้แน่ใจว่าผู้ที่กำลังพยายามเข้าใช้งานบัญชีคือเจ้าของตัวจริง ระบบ ‘เกราะเพชร AI’ ก้าวข้ามการใช้เพียงรหัสผ่าน (Password) หรือรหัส PIN ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือคาดเดาได้ง่าย ไปสู่การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) เช่น การสแกนใบหน้า หรือลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะบุคคลที่ลอกเลียนแบบได้ยากมาก นอกจากนี้ ระบบยังมีการตรวจสอบ “ลายนิ้วมือของอุปกรณ์” (Device Fingerprinting) เพื่อจดจำสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเครื่องประจำของผู้ใช้ หากมีการพยายามล็อกอินจากอุปกรณ์แปลกหน้า ระบบจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบที่ซับซ้อนขึ้นอีกขั้น เพื่อป้องกันการสวมรอยเข้าใช้งาน
ชั้นที่ 2: การตรวจจับมัลแวร์และแอปพลิเคชันต้องสงสัย
หลังจากผ่านด่านการยืนยันตัวตนเข้ามาแล้ว เกราะป้องกันชั้นที่สองจะเริ่มทำงานทันที โดยจะทำการสแกนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในอุปกรณ์ของผู้ใช้แบบเงียบๆ อยู่เบื้องหลัง AI จะคอยจับสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของ “แอปดูดเงิน” หรือมัลแวร์อื่นๆ สัญญาณเหล่านี้อาจรวมถึง:
- การขอสิทธิ์การเข้าถึงที่เกินความจำเป็น (Excessive Permissions): เช่น แอปเครื่องคิดเลขที่ขอสิทธิ์ในการอ่านรายชื่อผู้ติดต่อหรือควบคุมหน้าจอ
- การทำงานซ้อนทับบนแอปอื่น (Overlay Attacks): มัลแวร์อาจสร้างหน้าต่างปลอมขึ้นมาทับบนแอปธนาคารเพื่อขโมยรหัสผ่าน
- การเปิดใช้งาน Accessibility Service โดยไม่ทราบสาเหตุ: ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่แอปดูดเงินใช้ในการควบคุมโทรศัพท์จากระยะไกล
หากระบบตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยเหล่านี้ จะทำการแจ้งเตือนผู้ใช้และอาจบล็อกการทำงานของแอปพลิเคชันทางการเงินชั่วคราวจนกว่าจะแน่ใจว่าอุปกรณ์ปลอดภัย
ชั้นที่ 3: การวิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์ด้วย AI
นี่คือชั้นป้องกันที่แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะของ AI ได้อย่างชัดเจนที่สุด ในขณะที่ผู้ใช้กำลังจะทำธุรกรรม AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติในเสี้ยววินาทีเพื่อประเมินความเสี่ยง โดยเปรียบเทียบธุรกรรมปัจจุบันกับ “พฤติกรรมปกติ” ของผู้ใช้ที่ AI ได้เรียนรู้มา ตัวอย่างเช่น
- จำนวนเงิน: หากผู้ใช้ไม่เคยโอนเงินเกิน 5,000 บาท แต่จู่ๆ มีการพยายามโอนเงิน 100,000 บาท ระบบจะมองว่าเป็นความผิดปกติ
- ผู้รับโอน: การโอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่เคยทำธุรกรรมด้วยมาก่อนอาจถูกตั้งค่าให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- ช่วงเวลาและสถานที่: การทำธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเที่ยงคืนจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัย
หาก AI ประเมินแล้วว่าธุรกรรมมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ระบบจะทำการ “หยุด” ธุรกรรมนั้นไว้ทันที และอาจแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้เพื่อขอการยืนยันเพิ่มเติม นี่คือปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันไม่ให้เงินถูกโอนออกจากบัญชีได้สำเร็จ แม้ว่ามิจฉาชีพจะสามารถผ่านสองด่านแรกเข้ามาได้ก็ตาม
ประสิทธิภาพและการประยุกต์ใช้ AI ในบริบทสากล
เทคโนโลยี ‘เกราะเพชร AI’ ไม่ใช่แนวคิดที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสธารการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินทั่วโลก ประสิทธิภาพของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหารูปแบบที่ผิดปกติได้พิสูจน์แล้วว่าเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์และระบบแบบดั้งเดิมอย่างมาก
กรณีศึกษา: ความสำเร็จในการใช้ AI ปราบปรามการฉ้อโกง
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ AI มาใช้ในภาครัฐของสหรัฐอเมริกา เพื่อตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกงในโครงการช่วยเหลือต่างๆ ของรัฐบาล ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลคำขอรับความช่วยเหลือหลายล้านรายการ เปรียบเทียบข้อมูลข้ามหน่วยงาน และระบุรูปแบบที่น่าสงสัยซึ่งบ่งชี้ถึงการยื่นเอกสารเท็จหรือการสวมรอย ผลลัพธ์ที่ได้คือความสามารถในการตรวจจับและยับยั้งการฉ้อโกงคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการจัดการกับปัญหาที่มีความซับซ้อนและมีข้อมูลเกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับปัญหาการโจรกรรมทางการเงินออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มีธุรกรรมเกิดขึ้นหลายล้านรายการต่อวัน และมิจฉาชีพก็ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา