Shopping cart






นำร่องแล้ว! ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ บริษัทไหนบ้างเข้าร่วม?


นำร่องแล้ว! ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ บริษัทไหนบ้างเข้าร่วม?

สารบัญ

แนวคิดเรื่องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กำลังกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญในแวดวงธุรกิจและการจ้างงานทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไปพร้อมกัน รูปแบบการทำงานนี้จึงเป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวาง

  • แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เป็นกระแสระดับโลกที่ได้รับการพิสูจน์ความสำเร็จผ่านโครงการนำร่องขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร
  • หลักการสำคัญคือ “100-80-100” ซึ่งหมายถึงการรับค่าจ้าง 100%, ทำงาน 80% ของเวลาเดิม แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพการทำงานไว้ที่ 100%
  • ผลการทดลองในต่างประเทศชี้ให้เห็นถึงประโยชน์หลายด้าน เช่น พนักงานมีสุขภาวะที่ดีขึ้น ลดภาวะหมดไฟ และองค์กรสามารถรักษาพนักงานและดึงดูดผู้มีความสามารถได้ดีขึ้น
  • สำหรับประเทศไทย แม้จะมีการพูดคุยถึงนโยบายนี้อย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับรายชื่อบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำร่องที่ชัดเจน
  • การเปลี่ยนแปลงสู่การทำงาน 4 วันจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร การวัดผลที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าชั่วโมงการทำงาน และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ภาพรวมของแนวโน้มการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

นำร่องแล้ว! ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ บริษัทไหนบ้างเข้าร่วม? กลายเป็นคำถามสำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านการทำงานในยุคปัจจุบัน แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นนโยบายที่ถูกนำมาทดลองและปรับใช้อย่างจริงจังในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) พร้อมทั้งท้าทายความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า “การทำงานนานขึ้นเท่ากับผลผลิตที่มากขึ้น” กระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงผลักดันอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังการระบาดใหญ่ ที่ทำให้องค์กรและพนักงานต่างทบทวนนิยามของ “สถานที่ทำงาน” และ “ประสิทธิภาพ” กันใหม่

แม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากภาครัฐหรือหน่วยงานใดเกี่ยวกับรายชื่อบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำร่องในระดับประเทศ แต่ข้อมูลจากการทดลองในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร ได้ให้ภาพที่ชัดเจนถึงศักยภาพและผลลัพธ์ในเชิงบวกของโมเดลนี้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับองค์กรไทยที่กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เหตุผลที่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจทั่วโลก

เหตุผลที่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจทั่วโลก

ความสนใจในการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีรากฐานมาจากความต้องการของทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างในโลกสมัยใหม่ บุคคลที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มพนักงาน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และสุขภาวะทางจิตใจเป็นอย่างมาก การมีวันหยุดเพิ่มขึ้นหนึ่งวันเปิดโอกาสให้พวกเขามีเวลาสำหรับครอบครัว งานอดิเรก การพักผ่อน หรือการพัฒนาตนเอง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout)

ในฝั่งขององค์กรเองก็เล็งเห็นถึงประโยชน์เช่นกัน บริษัทที่เปิดรับนโยบายนี้มักจะกลายเป็น “บริษัทน่าทำงาน” ที่สามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ ท่ามกลางตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง การนำเสนอรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นถือเป็นจุดขายที่สำคัญ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ว่าพนักงานที่มีความสุขและได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมักจะมีสมาธิและแรงจูงใจในการทำงานสูงขึ้น นำไปสู่ผลิตภาพ (Productivity) ที่ไม่ลดลง หรือในบางกรณีอาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

ช่วงเวลาที่แนวคิดนี้ได้รับความนิยมพุ่งสูงขึ้นคือช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการปรับตัวสู่การทำงานทางไกล (Remote Work) และการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Work) องค์กรต่าง ๆ ได้เรียนรู้ว่าประสิทธิภาพการทำงานไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 5 วันต่อสัปดาห์เสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเวลาและพลังงานอย่างชาญฉลาด ทำให้การลดชั่วโมงทำงานกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้จริง

เจาะลึกโมเดลการทำงาน 4 วัน: หลักการและผลลัพธ์จากโครงการนำร่อง

เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องศึกษาหลักการพื้นฐานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการทดลองที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบให้หลายองค์กรทั่วโลกได้ศึกษาและพิจารณาปรับใช้

นิยามและหลักการสำคัญของ 4 Day Work Week

หัวใจสำคัญของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่ได้หมายถึงการบีบอัดชั่วโมงทำงานของ 5 วันให้เหลือเพียง 4 วัน (Compressed Workweek) ซึ่งอาจทำให้พนักงานต้องทำงานหนักขึ้นในแต่ละวัน แต่เป็นโมเดลที่มุ่งเน้นการลดชั่วโมงทำงานโดยรวม โดยที่ยังคงได้รับค่าจ้างเท่าเดิม หลักการที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายคือโมเดล “100-80-100” ซึ่งหมายถึง:

  • 100% Pay: พนักงานได้รับค่าตอบแทนเต็มจำนวน 100% เท่าเดิม
  • 80% Time: พนักงานทำงานเพียง 80% ของชั่วโมงทำงานปกติ (เช่น จาก 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เหลือ 32 ชั่วโมง)
  • 100% Productivity: พนักงานยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานหรือผลผลิตให้ได้ 100% เท่าเดิม

โมเดลนี้ท้าทายให้ทั้งองค์กรและพนักงานต้องทำงานอย่างชาญฉลาดขึ้น (Work Smarter, Not Harder) โดยการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดการประชุมที่ไม่จำเป็น และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เท่าเดิมได้โดยใช้เวลาน้อยลง

การเปลี่ยนแปลงสู่การทำงาน 4 วัน ไม่ใช่แค่การลดวันทำงาน แต่คือการปฏิวัติวิธีคิดเกี่ยวกับการวัดผลงาน โดยเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับ “เวลาที่ใช้ไป” มาเป็นการให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง”

กรณีศึกษาความสำเร็จ: โครงการนำร่องในสหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักร ถือเป็นผู้นำในการทดลองและผลักดันนโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยมีข้อมูลและผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือมายืนยันความสำเร็จ โครงการนำร่องที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2022 โดยมีบริษัทเข้าร่วมถึง 61 แห่ง และพนักงานเกือบ 3,000 คน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง โดยพบว่า:

  • การคงนโยบายถาวร: หลังสิ้นสุดการทดลอง 6 เดือน บริษัทจำนวน 56 แห่งจาก 61 แห่ง (คิดเป็น 92%) ตัดสินใจใช้นโยบายทำงาน 4 วันต่อไป และในจำนวนนี้มี 18 บริษัทที่ประกาศใช้เป็นนโยบายถาวรทันที
  • ประสิทธิภาพและรายได้: บริษัทที่เข้าร่วมรายงานว่าระดับประสิทธิภาพการทำงานยังคงที่ และบางแห่งยังรายงานว่ารายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
  • สุขภาวะของพนักงาน: พนักงานรายงานว่าระดับความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อัตราการลาป่วยลดลง และความพึงพอใจในงานและชีวิตโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ องค์กรอย่าง 4 Day Week Foundation ยังได้จัดโครงการทดลองกับบริษัทอีก 17 แห่ง และพนักงานเกือบ 1,000 คน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือบริษัททั้ง 17 แห่งตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้โมเดลการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แบบถาวร ข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ยังระบุว่ามีบริษัทในสหราชอาณาจักรแล้วกว่า 200 แห่ง ที่นำระบบนี้ไปใช้อย่างถาวรกับพนักงานราว 5,000 คน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าแนวคิดนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างเป็นรูปธรรม

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับพนักงานและองค์กร

จากข้อมูลการทดลอง สามารถสรุปประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้ดังนี้:

สำหรับพนักงาน:

  • Work-Life Balance ที่ดีขึ้น: การมีวันหยุดเพิ่มช่วยให้พนักงานมีเวลาจัดการธุระส่วนตัว ดูแลครอบครัว และพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
  • ลดความเครียดและภาวะหมดไฟ: ชั่วโมงการทำงานที่ลดลงช่วยลดแรงกดดันและความเหนื่อยล้าสะสม ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
  • เพิ่มแรงจูงใจและความผูกพันต่อองค์กร: พนักงานรู้สึกว่าองค์กรใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพวกเขา ซึ่งนำไปสู่ความภักดีและความทุ่มเทในการทำงานที่มากขึ้น

สำหรับองค์กร:

  • การดึงดูดและรักษาบุคลากร: นโยบายนี้กลายเป็นสวัสดิการที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำให้องค์กรได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถ
  • ผลิตภาพที่คงที่หรือเพิ่มขึ้น: การทำงานที่กระชับและมีเป้าหมายชัดเจนขึ้น ช่วยให้พนักงานมีสมาธิและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่จำกัด
  • ภาพลักษณ์องค์กรที่ดี: การเป็นองค์กรที่ก้าวหน้าและให้ความสำคัญกับพนักงานช่วยสร้างชื่อเสียงที่ดีในตลาดแรงงาน
ตารางเปรียบเทียบระหว่างโมเดลการทำงาน 5 วัน และ 4 วันต่อสัปดาห์ ตามข้อมูลจากโครงการนำร่อง
ปัจจัย โมเดลการทำงาน 5 วัน (ดั้งเดิม) โมเดลการทำงาน 4 วัน (สมัยใหม่)
เวลาทำงานต่อสัปดาห์ ประมาณ 40 ชั่วโมง ประมาณ 32 ชั่วโมง (ลดลง 20%)
ค่าตอบแทน 100% 100% (ไม่ลดลง)
ผลผลิต (Productivity) ระดับมาตรฐาน คงที่ หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ความสมดุลในชีวิต มีความท้าทายในการจัดสรรเวลา ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สุขภาวะพนักงาน มีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟและความเครียด ความเครียดลดลง สุขภาพจิตดีขึ้น
การดึงดูดและรักษาบุคลากร เป็นมาตรฐานทั่วไป มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง

สถานการณ์ในประเทศไทย: ความเป็นไปได้และความท้าทาย

เมื่อหันกลับมามองที่บริบทของประเทศไทย แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ยังอยู่ในช่วงของการพูดคุยและศึกษาความเป็นไปได้ แม้จะยังไม่มีโครงการนำร่องระดับชาติที่ชัดเจน แต่ก็ถือเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนทำงาน

กระแสการพูดคุยและแนวโน้มในไทย

ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อบริษัทในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการนำร่องทำงาน 4 วันอย่างเป็นทางการตามข้อมูลสาธารณะ อย่างไรก็ตาม มีบริษัทเอกชนบางแห่ง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ที่เริ่มทดลองใช้นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การให้มีวันหยุดเพิ่ม หรือการลดชั่วโมงทำงานโดยสมัครใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของพนักงานยุคใหม่

ในส่วนของนโยบายรัฐบาล ก็มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณาเป็นระยะๆ โดยมองว่าอาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการได้ หากประชาชนมีวันหยุดยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้เป็นนโยบายระดับชาติยังคงต้องพิจารณาถึงผลกระทบในมิติอื่นๆ อย่างรอบด้าน

อุปสรรคและความท้าทายในการปรับใช้

การนำโมเดลการทำงาน 4 วันมาปรับใช้ในบริบทของไทยนั้นมีความท้าทายหลายประการที่ต้องพิจารณา:

  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมการทำงาน: วัฒนธรรมการทำงานในหลายองค์กรของไทยยังคงให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวในที่ทำงานและการใช้เวลาทำงานเป็นตัวชี้วัดความขยัน การเปลี่ยนไปวัดผลจากผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวจึงต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทัศนคติครั้งใหญ่
  • ความเหมาะสมกับประเภทธุรกิจ: โมเดลนี้อาจเหมาะสมกับงานในสำนักงานหรืองานที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายกว่า แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ หรือการดูแลสุขภาพ ที่ต้องมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาจจำเป็นต้องมีการวางแผนและจัดการกำลังคนในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า
  • กรอบกฎหมายแรงงาน: ต้องมีการพิจารณาว่ากฎหมายแรงงานปัจจุบันรองรับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ได้มากน้อยเพียงใด และจำเป็นต้องมีการแก้ไขหรือออกมาตรการเสริมเพื่อคุ้มครองสิทธิของทั้งลูกจ้างและนายจ้างหรือไม่
  • ความพร้อมด้านเทคโนโลยี: การทำงานให้มีประสิทธิภาพในเวลาที่สั้นลงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นภาระด้านการลงทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง

การเตรียมความพร้อมสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

ไม่ว่านโยบายนี้จะเกิดขึ้นจริงในวงกว้างเมื่อใด การเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งองค์กรและพนักงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานแห่งอนาคตได้อย่างราบรื่น องค์กรควรเริ่มจากการทบทวนกระบวนการทำงานปัจจุบัน หาจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมวัฒนธรรมที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าชั่วโมงการทำงาน ในขณะเดียวกัน พนักงานก็ควรพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการเวลา การสื่อสารที่กระชับ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตนเอง

บทสรุปและทิศทางอนาคตของสัปดาห์การทำงาน

สรุปแล้ว คำถามที่ว่า “นำร่องแล้ว! ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ บริษัทไหนบ้างเข้าร่วม?” ในบริบทของประเทศไทย ณ เวลานี้ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ กระแสโลกกำลังมุ่งไปสู่รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานมากขึ้น กรณีศึกษาความสำเร็จจากสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ ได้พิสูจน์แล้วว่าโมเดลนี้ไม่เพียงแต่เป็นไปได้ แต่ยังสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายอีกด้วย

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับใช้ แต่แนวคิดเรื่องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ได้จุดประกายให้เกิดการทบทวนนิยามของ “การทำงาน” ครั้งสำคัญ นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงอนาคตของตลาดแรงงาน ที่ซึ่ง Work-Life Balance ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างองค์กรที่น่าทำงานและยั่งยืนในระยะยาว การติดตามและศึกษาแนวโน้มนี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้ประกอบการและคนทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในไม่ช้า


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930