Shopping cart

กลโกง AI ปลอมเสียง รู้ทันก่อนหมดตัว

สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้พัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและน่ากังวลมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ กลโกง AI ปลอมเสียง รู้ทันก่อนหมดตัว ซึ่งเป็นวิธีการที่มิจฉาชีพนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างเสียงปลอมของบุคคลใกล้ชิดเพื่อหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน การทำความเข้าใจกลไกการทำงานและเรียนรู้วิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและสูญเสียทรัพย์สิน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของภัยคุกคามนี้ ประเด็นสำคัญที่ควรทำความเข้าใจประกอบด้วย:

  • เทคโนโลยี Voice Cloning: คือหัวใจสำคัญของกลโกงนี้ โดย AI สามารถวิเคราะห์และเลียนแบบเสียงของบุคคลเป้าหมายได้อย่างแม่นยำจากไฟล์เสียงสั้นๆ เพียง 30 วินาที
  • สถานการณ์บีบคั้น: มิจฉาชีพมักสร้างเรื่องราวฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ, การเจ็บป่วย, หรือการถูกจับกุม เพื่อสร้างแรงกดดันทางอารมณ์และทำให้เหยื่อไม่มีเวลาไตร่ตรอง
  • การใช้ Deepfake ประกอบ: ในบางกรณีมีการใช้เทคโนโลยี Deepfake ปลอมแปลงวิดีโอควบคู่ไปกับเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสูงสุดผ่านวิดีโอคอล
  • การตรวจสอบคือสิ่งสำคัญที่สุด: แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการ “ตั้งสติ” และ “ตรวจสอบ” โดยการวางสายแล้วโทรกลับไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยของบุคคลนั้นๆ โดยตรง
  • ภัยคุกคามต่อบุคคลและองค์กร: กลโกงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การหลอกลวงรายบุคคล แต่ยังสามารถขยายผลไปสู่การหลอกลวงในระดับองค์กรเพื่อสร้างความเสียหายทางธุรกิจได้อีกด้วย

เจาะลึกภัยคุกคามรูปแบบใหม่: กลโกง AI ปลอมเสียงคืออะไร?

เจาะลึกภัยคุกคามรูปแบบใหม่: กลโกง AI ปลอมเสียงคืออะไร?

กลโกง AI ปลอมเสียง คือการที่อาชญากรไซเบอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยุคใหม่ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงเพื่อสร้างเสียงสังเคราะห์ที่เลียนแบบเสียงของบุคคลจริง โดยมักจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือบุคคลที่เหยื่อให้ความไว้วางใจ จุดประสงค์หลักคือการสร้างสถานการณ์หลอกลวงเพื่อโน้มน้าวให้เหยื่อโอนเงิน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ

ความแตกต่างจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในอดีตคือความสมจริงของเสียงที่ใช้ ในอดีตมิจฉาชีพอาจใช้คนที่มีน้ำเสียงคล้ายคลึงหรือแสร้งทำเป็นเจ้าหน้าที่ แต่ปัจจุบัน AI สามารถสร้างเสียงปลอมที่มีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งน้ำเสียง จังหวะการพูด และสำเนียง ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของเสียงจริงจนแทบแยกไม่ออก ทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่ายขึ้นอย่างมาก

เทคโนโลยีเบื้องหลัง: Voice Cloning และ Deepfake

เทคโนโลยีที่เป็นแกนหลักของกลโกงประเภทนี้คือ Voice Cloning หรือ “การโคลนนิ่งเสียง” ซึ่งเป็นกระบวนการที่ AI เรียนรู้ลักษณะทางกายภาพของเสียงจากข้อมูลตัวอย่าง เช่น คลิปเสียงหรือวิดีโอที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มวิดีโอ หรือแม้กระทั่งข้อความเสียงที่ส่งหากัน

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ถึงขีดสุด มิจฉาชีพอาจใช้เทคโนโลยี Deepfake เข้ามาเสริม Deepfake คือการใช้ AI ในการสังเคราะห์สื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอ โดยสามารถตัดต่อใบหน้าของบุคคลหนึ่งไปใส่ในวิดีโอของอีกคนหนึ่งได้อย่างแนบเนียน เมื่อนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ร่วมกับ Voice Cloning มิจฉาชีพจะสามารถวิดีโอคอลหาเหยื่อ โดยปรากฏทั้งภาพและเสียงปลอมของบุคคลที่เหยื่อรู้จัก ทำให้การหลอกลวงมีความสมจริงและยากต่อการจับผิดยิ่งขึ้น

ความน่ากลัวของเสียงที่สมจริง

สิ่งที่ทำให้กลโกงนี้น่ากลัวคือความสามารถของ AI ในการจับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเสียง ไม่ว่าจะเป็นการเน้นคำ การหยุดเว้นจังหวะ หรือแม้แต่อารมณ์ในน้ำเสียง ทำให้เสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมานั้นมีความเป็นธรรมชาติสูง เมื่อเหยื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพร้อมกับเรื่องราวที่น่าตกใจ สัญชาตญาณและความเป็นห่วงมักจะเข้ามาแทนที่การใช้เหตุผล ทำให้มีโอกาสตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย

กระบวนการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยุค AI

กระบวนการของ มิจฉาชีพ AI มีขั้นตอนที่เป็นระบบและอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลัก ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการลงมือหลอกลวง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนหลักดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: การรวบรวมข้อมูลเสียง

จุดเริ่มต้นของกระบวนการคือการหา “วัตถุดิบ” ซึ่งก็คือไฟล์เสียงของบุคคลเป้าหมาย มิจฉาชีพจะรวบรวมเสียงจากแหล่งข้อมูลสาธารณะที่เข้าถึงได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต เช่น:

  • โซเชียลมีเดีย: คลิปวิดีโอ, สตอรี่ (Stories), หรือการไลฟ์สด (Live) ที่บุคคลเป้าหมายโพสต์ลงบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok
  • แพลตฟอร์มวิดีโอ: ช่อง YouTube หรือวิดีโอสาธารณะอื่นๆ ที่มีเสียงของเป้าหมายปรากฏอยู่
  • พอดแคสต์และการสัมภาษณ์: สื่อสาธารณะที่บุคคลเป้าหมายเคยให้สัมภาษณ์หรือจัดรายการ

สิ่งที่น่ากังวลคือ AI ในปัจจุบันต้องการข้อมูลเสียงเพียงสั้นๆ ประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที ก็เพียงพอที่จะนำไปวิเคราะห์และสร้างแบบจำลองเสียงที่มีคุณภาพสูงได้แล้ว

ขั้นตอนที่ 2: การสร้าง Voice Model

เมื่อได้ไฟล์เสียงมาแล้ว มิจฉาชีพจะนำเข้าสู่ซอฟต์แวร์ AI ที่เชี่ยวชาญด้าน Voice Cloning ระบบ AI จะทำการวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ของเสียงอย่างละเอียด เช่น ระดับความสูงต่ำของเสียง (Pitch), ความเร็วในการพูด (Pace), สำเนียง (Accent), และลักษณะการออกเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ (Intonation) จากนั้น AI จะสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของเสียงนั้นๆ ขึ้นมา หรือที่เรียกว่า “Voice Model”

เมื่อ Voice Model ถูกสร้างขึ้นเสร็จสมบูรณ์ มิจฉาชีพสามารถป้อนข้อความใดๆ เข้าไปในระบบ และ AI ก็จะอ่านข้อความนั้นออกมาเป็นเสียงของบุคคลเป้าหมายได้อย่างสมจริง

ขั้นตอนที่ 3: ปฏิบัติการหลอกลวง

นี่คือขั้นตอนสุดท้ายที่มิจฉาชีพจะนำเสียงปลอมมาใช้ติดต่อเหยื่อ โดยมักจะเลือกใช้สถานการณ์ที่บีบคั้นอารมณ์และสร้างความเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อมีเวลาคิดหรือตรวจสอบข้อมูล

“แม่ครับ ผมโดนจับ ช่วยโอนเงินประกันตัวด่วนเลย อย่าบอกพ่อนะ เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”

สถานการณ์ที่พบบ่อยคือการอ้างว่าบุคคลใกล้ชิดกำลังตกอยู่ในอันตราย เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง, ถูกตำรวจจับกุมในคดีร้ายแรง, หรือป่วยหนักกะทันหันและต้องการเงินค่ารักษาพยาบาลด่วน มิจฉาชีพจะใช้เสียงปลอมที่สร้างขึ้นมาพูดคุยกับเหยื่อ พร้อมทั้งเร่งรัดให้ทำการ หลอกโอนเงิน ไปยังบัญชีที่เตรียมไว้โดยเร็วที่สุด โดยมักจะกำชับว่า “อย่าบอกใคร” หรือ “เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ” เพื่อตัดโอกาสที่เหยื่อจะปรึกษาผู้อื่นและถูกยับยั้งได้ทัน

วิธีป้องกันตัวเองจากกลโกง AI ปลอมเสียง

แม้ว่าเทคโนโลยีของมิจฉาชีพจะมีความซับซ้อน แต่การป้องกันตัวเองสามารถทำได้ด้วยความรอบคอบและการมีสติ การเรียนรู้ วิธีป้องกันมิจฉาชีพ และสังเกตสัญญาณเตือนภัย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อได้อย่างมาก

สัญญาณเตือนภัยที่ต้องสังเกต

เมื่อได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ที่น่าสงสัย แม้ว่าเสียงจะคุ้นเคยเพียงใดก็ตาม ให้ลองสังเกตสิ่งผิดปกติเหล่านี้:

  • ความเร่งรีบผิดปกติ: มิจฉาชีพจะพยายามสร้างแรงกดดันให้เหยื่อตัดสินใจและดำเนินการโดยเร็วที่สุด เช่น “ต้องโอนภายใน 10 นาทีนี้”, “เดี๋ยวจะไม่ทันแล้ว”
  • การเล่าเรื่องที่น่าตกใจ: สถานการณ์ที่อ้างมักจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่กระตุ้นอารมณ์และความเห็นอกเห็นใจอย่างรุนแรง
  • การขอให้เก็บเป็นความลับ: การเน้นย้ำว่าห้ามบอกคนอื่นเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ความจริงถูกเปิดเผย
  • คุณภาพเสียงที่อาจไม่สมบูรณ์: แม้ AI จะทำได้ดี แต่ในบางครั้งอาจมีเสียงรบกวน, เสียงขาดๆ หายๆ หรือน้ำเสียงที่ราบเรียบผิดปกติ มิจฉาชีพมักอ้างว่าเป็นเพราะสัญญาณไม่ดี
  • การหลีกเลี่ยงการตอบคำถามส่วนตัว: หากลองถามคำถามที่รู้กันแค่สองคน เช่น “ครั้งล่าสุดที่เราไปเที่ยวด้วยกันที่ไหน” มิจฉาชีพมักจะตอบไม่ได้หรือพยายามบ่ายเบี่ยง

แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย

หากพบสัญญาณเตือนภัยดังกล่าว หรือรู้สึกไม่แน่ใจ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ทันที:

  1. ตั้งสติและอย่าเพิ่งโอนเงินเด็ดขาด: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมอารมณ์และระงับการทำธุรกรรมใดๆ ไว้ก่อน
  2. วางสายและโทรกลับเบอร์เดิม: ให้วางสายจากเบอร์ที่โทรเข้ามา แล้วโทรกลับไปยังเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลที่ถูกอ้างถึงซึ่งบันทึกไว้ในเครื่องโดยตรง เพื่อยืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้น
  3. ตรวจสอบข้อมูลกับบุคคลที่สาม: หากติดต่อบุคคลนั้นไม่ได้ ให้ลองโทรหาเพื่อนสนิทหรือสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เพื่อสอบถามว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
  4. ตรวจสอบชื่อบัญชีผู้รับโอน: ก่อนทำการโอนเงินทุกครั้ง ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อบัญชีปลายทางเป็นชื่อของบุคคลที่เรารู้จักจริง หากเป็นชื่อบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ให้สันนิษฐานว่าเป็นกลโกงทันที
  5. ตั้งคำถามเพื่อยืนยันตัวตน: ลองตั้งคำถามส่วนตัวที่เฉพาะเจาะจงซึ่ง AI หรือมิจฉาชีพไม่น่าจะรู้คำตอบได้

ผลกระทบในวงกว้างและการตระหนักรู้ของสังคม

กลโกง AI ปลอมเสียง ไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคามต่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความน่าเชื่อถือและความมั่นคงทางสังคม การที่เทคโนโลยีสามารถปลอมแปลงตัวตนของบุคคลได้อย่างง่ายดายสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับทั้งภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐ

ในภาคธุรกิจ การใช้ Voice Cloning สามารถนำไปสู่การหลอกลวงเพื่อให้พนักงานโอนเงินของบริษัท หรือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้าได้ สร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาล ขณะที่ในระดับสังคม การแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือนที่สร้างจาก Deepfake และเสียงปลอมอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความขัดแย้งได้

ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ การส่งเสริมให้เกิดความรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยี (Digital Literacy) จะเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญ ช่วยให้ผู้คนสามารถแยกแยะและรับมือกับข้อมูลหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว

บทสรุป: ตั้งสติคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

เทคโนโลยี AI เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งประโยชน์และโทษมหันต์ กลโกง AI ปลอมเสียง คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำนวัตกรรมมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อสร้างความเดือดร้อนและหลอกลวงผู้อื่น แม้ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลเพียงใด แต่เกราะป้องกันที่ดีที่สุดยังคงเป็นหลักการพื้นฐานที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ “การมีสติ” และ “การตรวจสอบ” ก่อนตัดสินใจ

การรับรู้ถึงการมีอยู่ของภัยคุกคามรูปแบบนี้ การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของมิจฉาชีพ และการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้เราสามารถปกป้องตนเองและคนรอบข้างให้ปลอดภัยจากการตกเป็นเหยื่อของการ หลอกโอนเงิน ในยุคดิจิทัลที่ความจริงและสิ่งลวงตาสามารถถูกสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย การตั้งคำถามและไม่เชื่ออะไรง่ายๆ คือทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในปัจจุบัน

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930