Shopping cart

มิลานแฟชั่นวีค! 5 เทรนด์เด่น Spring/Summer 2026

สารบัญ


มิลานแฟชั่นวีค (Milan Fashion Week) เป็นหนึ่งในสี่งานแสดงแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งจัดขึ้นสองครั้งต่อปีในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เพื่อนำเสนอคอลเล็กชั่นล่าสุดจากแบรนด์ชั้นนำและดีไซเนอร์หน้าใหม่ งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำหรับแฟชั่นอิตาลีเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกำหนดทิศทางเทรนด์แฟชั่นทั่วโลกสำหรับฤดูกาลถัดไปอีกด้วย



ประเด็นน่าสนใจจากรันเวย์มิลาน

  • การกลับมาของงานฝีมือ: เทคนิคงานปัก (Embroidery) ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความหรูหราและความพิเศษให้กับเสื้อผ้า ตั้งแต่ลุคสบายๆ ไปจนถึงชุดราตรี
  • ความลื่นไหลทางเพศ: ผ้าลูกไม้และโครเชต์ที่เคยถูกจำกัดอยู่ในแฟชั่นสตรี ถูกนำเสนอในคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าชายอย่างโดดเด่น สะท้อนแนวคิดความเท่าเทียมและความเป็นอิสระในการแสดงออก
  • พลังแห่งลายพิมพ์และสีสัน: ลายพิมพ์ที่หลากหลาย เช่น ลายเสือดาว ลายดอกไม้ และลายเรขาคณิต ถูกนำมาใช้สร้างความมีชีวิตชีวา ควบคู่ไปกับการใช้สีสันสดใสและโทนพาสเทลที่ทำให้ฤดูกาลนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น
  • แรงบันดาลใจจากทั่วโลก: ดีไซเนอร์หลายคนนำเรื่องราวและวัฒนธรรมจากสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ สร้างสรรค์คอลเล็กชั่นที่มีความหมายและหลากหลาย


บทสรุปเทรนด์สำคัญจาก Milan Fashion Week SS26

เมื่อรันเวย์แห่งเมืองหลวงแฟชั่นของอิตาลีได้ปิดฉากลง สิ่งที่ทิ้งไว้คือภาพร่างของทิศทางแฟชั่นในอนาคตอันใกล้ สำหรับ มิลานแฟชั่นวีค! 5 เทรนด์เด่น Spring/Summer 2026 ได้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความคลาสสิกที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์แฟชั่นอิตาลี และความกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายขนบเดิม งานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอเสื้อผ้า แต่ยังเป็นการบอกเล่าเรื่องราวผ่านวัสดุ สีสัน และซิลูเอต ที่สะท้อนถึงสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้ที่ติดตามวงการแฟชั่นจะได้เห็นการตีความความหรูหราในรูปแบบใหม่ ความลื่นไหลทางเพศที่ไม่จำกัดกรอบ และการเฉลิมฉลองความหลากหลายผ่านแรงบันดาลใจจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลายเป็นแนวทางสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

Milan Fashion Week (MFW) สำหรับฤดูกาล Spring/Summer 2026 ถือเป็นเวทีสำคัญที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Gucci, Prada, Dolce & Gabbana และอีกมากมาย ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ของตนเอง เทรนด์ที่เกิดขึ้นบนรันเวย์มิลานมักมีอิทธิพลอย่างสูงต่อตลาดแฟชั่นระดับโลก ตั้งแต่แบรนด์ไฮสตรีทไปจนถึงสไตล์ส่วนตัวของผู้คนทั่วไป การทำความเข้าใจเทรนด์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนการได้เห็นภาพอนาคตของสิ่งที่เราจะได้สวมใส่ และเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสไตลิสต์ บรรณาธิการนิตยสาร หรือแม้แต่ผู้บริโภคที่ต้องการปรับปรุงตู้เสื้อผ้าให้ทันสมัยอยู่เสมอ



เทรนด์ที่ 1: การกลับมาของงานฝีมือสุดประณีต (Embroideries)

ความหมายและการตีความบนรันเวย์

ในยุคที่แฟชั่นหมุนเร็ว (Fast Fashion) เข้ามามีบทบาท การกลับมาของงานฝีมืออย่างงานปัก (Embroidery) บนรันเวย์ MFW SS26 เปรียบเสมือนการย้ำเตือนถึงคุณค่าของความประณีตและระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าแต่ละชิ้น เทรนด์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชุดราตรีหรูหรา แต่ยังถูกนำมาผสมผสานกับเสื้อผ้าสไตล์เมือง (Urban wear) และชุดลำลอง เพื่อยกระดับให้ไอเท็มธรรมดากลายเป็นผลงานศิลปะที่สวมใส่ได้ การปักลวดลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ สัตว์ หรือสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นการเพิ่มมิติและเรื่องราวให้กับเสื้อผ้า ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกเชื่อมโยงกับชิ้นงานนั้นๆ มากขึ้น นับเป็นการต่อต้านกระแสการบริโภคแบบใช้แล้วทิ้ง และหันมาให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าที่มีคุณภาพและสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน

ตัวอย่างจากแบรนด์ชั้นนำ

หลายแบรนด์ในมิลานได้นำเสนองานปักในรูปแบบที่น่าสนใจและแตกต่างกันไป Dolce & Gabbana ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราและกลิ่นอายแบบซิซิลี ได้นำเสนองานปักบนชุดที่ดูคล้ายชุดนอนผ้าไหม มอบความรู้สึกหรูหราแต่ผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน ขณะที่แบรนด์สตรีทแวร์สุดขบถอย่าง Doublet ได้สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ด้วยการปักลวดลายปลาและขวดพลาสติกลงบนเสื้อสเวตเตอร์ถัก ซึ่งเป็นการเสียดสีประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างมีสไตล์ การใช้งานปักในรูปแบบที่หลากหลายนี้แสดงให้เห็นว่าเทคนิคดั้งเดิมสามารถปรับตัวเข้ากับบริบทของแฟชั่นสมัยใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

การประยุกต์ใช้สู่แฟชั่นในชีวิตประจำวัน

สำหรับผู้บริโภคทั่วไป เทรนด์งานปักสามารถนำมาปรับใช้ได้ไม่ยาก อาจเริ่มต้นจากไอเท็มชิ้นเล็กๆ เช่น เสื้อยืดที่มีลายปักบริเวณอก, กางเกงยีนส์ที่ตกแต่งด้วยงานปักดอกไม้ หรือกระเป๋าผ้าที่มีการปักลวดลายเก๋ๆ ไอเท็มเหล่านี้สามารถเพิ่มลูกเล่นและความน่าสนใจให้กับการแต่งตัวในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ท้องถิ่นที่ทำงานฝีมือยังเป็นการสนับสนุนช่างฝีมือและส่งเสริมแฟชั่นที่ยั่งยืนอีกด้วย



เทรนด์ที่ 2: ทลายกรอบทางเพศ: ผ้าลูกไม้และโครเชต์ในแฟชั่นชาย

เทรนด์ที่ 2: ทลายกรอบทางเพศ: ผ้าลูกไม้และโครเชต์ในแฟชั่นชาย

นิยามใหม่ของความงามแบบบุรุษ

ประวัติศาสตร์แฟชั่นได้แบ่งแยกวัสดุบางประเภทตามเพศอย่างชัดเจน และผ้าลูกไม้ (Lace) ก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตาม รันเวย์ Spring/Summer 2026 ได้ทลายกำแพงดังกล่าวลงอย่างสิ้นเชิง การนำผ้าลูกไม้และงานถักโครเชต์มาใช้ในคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าชายเป็นการตั้งคำถามต่อบรรทัดฐานเดิมๆ เกี่ยวกับความเป็นชาย และนำเสนอความงามในรูปแบบที่ลื่นไหลและเปิดกว้างมากขึ้น เทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ผู้คนมีความกล้าที่จะแสดงออกถึงตัวตนที่หลากหลาย ไม่ยึดติดกับกรอบที่สังคมกำหนด เสื้อเชิ้ตลูกไม้หรือกางเกงโครเชต์สำหรับผู้ชายจึงไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเท่าเทียมและความเป็นอิสระ

ภาพสะท้อนจากรันเวย์มิลาน

บนแคทวอล์กของ Egonlab นายแบบได้ปรากฏตัวในลุคที่ผสมผสานความโรแมนติกและความเซ็กซี่ผ่านเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าลูกไม้โปร่งบาง ซึ่งเผยให้เห็นสรีระร่างกายอย่างงดงาม การใช้ผ้าลูกไม้ในบริบทของแฟชั่นชายครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ดู “หวาน” แต่กลับสร้างมิติของความแข็งแกร่งที่มาพร้อมกับความอ่อนโยน เป็นการนำเสนอความเป็นชายในมุมมองใหม่ที่ซับซ้อนและน่าสนใจกว่าเดิม แนวทางนี้สอดคล้องกับทิศทางของแบรนด์ใหญ่อย่าง Gucci ภายใต้การนำของดีไซเนอร์คนใหม่ ที่มักจะเล่นกับความคลุมเครือทางเพศอยู่เสมอ



เทรนด์ที่ 3: พลังแห่งลายพิมพ์: ความสดใสที่หลากหลาย

ลายพิมพ์เด่นประจำซีซั่น SS26

ลายพิมพ์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สามารถสร้างชีวิตชีวาและบอกเล่าเรื่องราวให้กับเสื้อผ้าได้เสมอ ในซีซั่น Spring/Summer 2026 ความหลากหลายของลายพิมพ์ได้ถูกนำเสนออย่างเต็มที่ ตั้งแต่ ลายเสือดาว (Leopard Print) ที่มอบความรู้สึกทรงพลังและเย้ายวน, ลายดอกไม้ (Floral Print) ที่สื่อถึงความเบ่งบานของฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึง ลายรูปทรงเรขาคณิต (Geometric Print) ที่ให้ความรู้สึกทันสมัยและมีโครงสร้างที่ชัดเจน การกลับมาของลายพิมพ์เหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะกลับไปสู่ความสนุกสนานและการมองโลกในแง่ดีหลังผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย

การสร้างสรรค์ของแบรนด์ระดับโลก

แบรนด์ต่างๆ ได้นำลายพิมพ์มาตีความในแบบฉบับของตนเอง Kenzo และ Bluemarble นำเสนอลายพิมพ์ที่สดใสและมีพลัง ในขณะที่ Louis Vuitton (ในฝั่งบุรุษ) และ Dolce & Gabbana ได้นำเสนอลายพิมพ์คลาสสิกอย่างลายเสือดาวและลายดอกไม้ในบริบทใหม่ที่น่าสนใจ การใช้ลายพิมพ์แบบทั้งตัว (Head-to-toe) หรือการผสมผสานลายพิมพ์ที่แตกต่างกันในลุคเดียว (Print-on-print) ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เห็นได้บ่อยครั้งบนรันเวย์ ซึ่งต้องอาศัยความกล้าและความเข้าใจในเรื่องของสีและสัดส่วนเป็นอย่างดี

ภาพรวมของ Milan Fashion Week Spring/Summer 2026 คือการผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับความสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย โดยยังคงไว้ซึ่งความสดใส ความสนุกสนาน และการเปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม



เทรนด์ที่ 4: การเฉลิมฉลองของสีสัน: จากสดใสสู่พาสเทลละมุน

พาเหรดสีสันสุดเจิดจ้า

ฤดูกาล Spring/Summer 2026 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของสีสันอย่างแท้จริง โทนสีสดใสจัดจ้าน (Vibrant Tones) ได้รับความนิยมอย่างสูงบนรันเวย์มิลาน สีเขียวแอปเปิ้ล (Apple Green) ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น, สีชมพูลูกกวาด (Candy Pink) ที่ดูสนุกสนานและอ่อนเยาว์ ถูกนำมาใช้สร้างลุคที่โดดเด่นและน่าจดจำ แบรนด์อย่าง Jacquemus (แม้จะจัดแสดงที่ปารีส แต่มีอิทธิพลต่อเทรนด์โดยรวม) ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของสีสันในการสร้างบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก การใช้สีที่โดดเด่นเช่นนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างความแตกต่างและแสดงออกถึงบุคลิกภาพผ่านการแต่งกาย

ความนุ่มนวลของโทนสีพาสเทล

ควบคู่ไปกับสีสันที่สดใส โทนสีพาสเทล (Pastel Tones) ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ลุคที่ดูนุ่มนวลและโรแมนติก สีม่วงลาเวนเดอร์ (Lavender) ที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย และสีพีช (Peach) ที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับลุคในฤดูร้อนที่ต้องการความสบายตาแต่ยังคงไว้ซึ่งความเก๋ไก๋ Jeanne Friot เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่น่าสนใจ โดยนำองค์ประกอบสีจากธงภาคภูมิใจของคนข้ามเพศ (สีฟ้าอ่อน, ชมพูอ่อน และสีขาว) มาใช้ในคอลเล็กชั่น ซึ่งเป็นการใช้สีเพื่อสื่อสารข้อความทางสังคมที่ลึกซึ้ง นอกจากนี้ โทนสีม่วงในเฉดต่างๆ ยังเป็นอีกหนึ่งสีที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ โดยสื่อถึงความเป็นตัวตน ความลึกซึ้งทางจิตใจ และการแสดงออกทางอารมณ์

ตารางสรุปเทรนด์สีที่โดดเด่นใน Milan Fashion Week Spring/Summer 2026
ประเภทโทนสี ตัวอย่างสี ความรู้สึกและอารมณ์
สีสดใส (Vibrant Tones) เขียวแอปเปิ้ล, ชมพูลูกกวาด, ส้มสด สนุกสนาน, มีพลัง, โดดเด่น, มองโลกในแง่ดี
สีพาสเทล (Pastel Tones) ม่วงลาเวนเดอร์, พีช, ฟ้าอ่อน, มิ้นต์ นุ่มนวล, โรแมนติก, สงบ, อ่อนโยน
สีม่วง (Purple Shades) ม่วงลาเวนเดอร์, ม่วงเข้ม, ม่วงอมแดง ลึกลับ, สร้างสรรค์, มีความเป็นตัวของตัวเอง, จิตวิญญาณ


เทรนด์ที่ 5: แรงบันดาลใจข้ามพรมแดนวัฒนธรรม

การเดินทางผ่านผืนผ้าและดีไซน์

ในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างไร้พรมแดน แฟชั่นได้กลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ดีไซเนอร์หลายคนได้ออกเดินทาง (ทั้งในโลกจริงและในจินตนาการ) เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจจากสถานที่และวัฒนธรรมที่แตกต่าง นำมาสู่คอลเล็กชั่นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความหลากหลาย เทรนด์นี้สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะเข้าใจและเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรม การนำองค์ประกอบจากวัฒนธรรมอื่นมาใช้ในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นลายผ้า เทคนิคการทอ หรือโครงสร้างของเสื้อผ้า เป็นการสร้างบทสนทนาข้ามวัฒนธรรมที่น่าสนใจ

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในแฟชั่น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคอลเล็กชั่นของ Paul Smith ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปยังตลาดในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ สีสันที่สดใส ลวดลายแบบวินเทจ และบรรยากาศที่คึกคักของตลาด ถูกนำมาถ่ายทอดลงบนเสื้อผ้าที่ผสมผสานความคลาสสิกแบบอังกฤษเข้ากับกลิ่นอายแบบตะวันออกกลางได้อย่างลงตัว การออกแบบในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่สร้างสรรค์ความงามในรูปแบบใหม่ แต่ยังเป็นการเปิดมุมมองให้ผู้คนได้รู้จักและชื่นชมวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่



เทรนด์อื่นๆ ที่น่าจับตามองใน MFW SS26

นอกเหนือจาก 5 เทรนด์หลักที่กล่าวมาข้างต้น รันเวย์มิลานยังมีแนวโน้มย่อยอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน การนำเสนอเสื้อผ้าลุคสปอร์ต (Sportswear) ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ถูกยกระดับด้วยวัสดุที่หรูหราและการตัดเย็บที่ประณีตมากขึ้น นอกจากนี้ ลุคเดนิมเต็มตัว (Denim-on-Denim) ก็กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งยีนส์สีเข้ม สีฟอก และการใช้เทคนิคปะติดปะต่อ (Patchwork) เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับไอเท็มสุดคลาสสิกนี้



บทสรุปทิศทางแฟชั่น Spring/Summer 2026

สรุปได้ว่า เทรนด์แฟชั่นจาก Milan Fashion Week Spring/Summer 2026 มุ่งเน้นไปที่การแสดงออกถึงตัวตนอย่างอิสระและการเฉลิมฉลองความหลากหลายในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการให้คุณค่ากับงานฝีมือ, การทลายกรอบทางเพศ, การใช้สีสันและลายพิมพ์อย่างสนุกสนาน หรือการเปิดรับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมทั่วโลก เทรนด์เหล่านี้กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์แฟชั่นในอีกไม่ช้า และจะเป็นแนวทางให้ผู้ที่รักการแต่งตัวได้นำไปปรับใช้เพื่อสร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองต่อไป การติดตามความเคลื่อนไหวจากรันเวย์ระดับโลกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่น แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมผ่านเลนส์ของเสื้อผ้าและสไตล์

สั่งเสื้อ

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930